จังหวัดพัทลุงเป็นแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญอีกแห่งของภาคใต้ มีพื้นที่ปลูกข้าวราว 3 แสนไร่ แต่ด้วยสภาพอากาศ “ฝนแปดแดดสี่” ของภาคใต้ส่งผลกระทบไม่น้อยต่อเกษตรกรที่สูญเสียทั้งพืชอาหารบริโภคและรายได้จากการจำหน่ายข้าว ปี 2557 ชาวตำบลชัยบุรี อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง รู้จัก “ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน” หลังจากที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุงได้ขอสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์จากมูลนิธิชัยพัฒนา นำไปแจกจ่ายให้เกษตรกรได้เพาะปลูก ดังที่ “บ้านโคกฉิ่ง” หมู่ 11 ตำบลชัยบุรี แหล่งผลิตพันธุ์ข้าวนี้ที่มี สมมาตร มณีรัตน์ และทวี บุษราภรณ์ สองเกษตรกรผู้เชี่ยวชาญการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของบ้านโคกฉิ่ง รับหน้าที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์เมื่อปี 2560 บนพื้นที่ปลูกคนละ 5 ไร่ ก่อนส่งต่อเมล็ดพันธุ์ให้สมาชิก “วิสาหกิจกลุ่มข้าวหอมชลสิทธิ์บ้านโคกฉิ่ง” นำไปเพาะปลูกเพื่อบริโภค “กลุ่มมีสมาชิก 21 คน ส่วนใหญ่จะปลูกข้าวหอมชลสิทธิ์ไว้กินในครัวเรือน มีบางรายที่ปลูกได้มาก ก็จะขาย และมีสมาชิกเริ่มสนใจปลูกเพื่อทำเมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้น” ปรีชา อ่อนรักษ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจข้าวหอมชลสิทธิ์บ้านโคกฉิ่ง บอกเล่าถึงการปลูกข้าวหอมชลสิทธิ์ของสมาชิกกลุ่ม ซึ่งนอกจากเป็นประธานของกลุ่มฯ แล้ว ปรีชา ยังทำหน้าที่นักการตลาดให้กลุ่มฯ รับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิกและหาตลาดจำหน่าย โดยเขาประกันราคาข้าวให้สมาชิกที่ 8,000 บาท/ตัน ก่อนนำไปสีและจำหน่ายเป็นข้าวสารราคากิโลกรัมละ 30 บาท หากแพ็คสุญญากาศจำหน่ายกิโลกรัมละ 50 บาท ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์รับซื้อเมล็ดพันธุ์สด (ไม่อบแห้ง) ในราคากิโลกรัมละ 10 บาท และจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 18 บาท ซึ่งรายได้จากการขายข้าวสารและเมล็ดพันธุ์จะนำมาเฉลี่ยเป็นเงินปันผลให้สมาชิก ก่อนหน้าที่สมาชิกกลุ่มฯ ได้รู้จักพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ พันธุ์ข้าวที่ปลูกในพื้นที่มีหลากหลายทั้งพันธุ์พิษณุโลก พันธุ์ชัยนาท พันธุ์หอมปทุม รวมถึงพันธุ์พื้นเมืองอย่างเล็บนกและสังข์หยด
“หอมชลสิทธิ์” ข้าวทนน้ำท่วม หอม นุ่ม ด้วยคุณภาพ
![“หอมชลสิทธิ์” ข้าวทนน้ำท่วม หอม นุ่ม ด้วยคุณภาพ “หอมชลสิทธิ์” ข้าวทนน้ำท่วม หอม นุ่ม ด้วยคุณภาพ](https://www.nstda.or.th/agritec/wp-content/uploads/2019/06/pic-homchonlasit-kokjing-1-750x350.jpg)