(11 มีนาคม 2568) ณ บ้านกุดเสถียร ตำบลสร้างมิ่ง อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร น.ส.วิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และผู้อำนวยการ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) นำสื่อมวลชนร่วมงานวันเก็บเกี่ยวถั่วเขียว KUML และเปิดตัวศูนย์เรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML ระดับชุมชน จากงานวิจัยสู่แปลงผลิตด้วยความรู้และเทคโนโลยี โดยมีนายสันชัย พัฒนะวิชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร เป็นประธานเปิดงาน

น.ส.วิราภรณ์ กล่าวว่า สท. สวทช. ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน กลุ่มส่งเสริมพืชน้ำมันและพืชตระกูลถั่ว สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร และสำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธร จัดงานวันเก็บเกี่ยวถั่วเขียว KUML และเปิดตัวศูนย์เรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML ระดับชุมชน จากงานวิจัยสู่แปลงผลิตด้วยความรู้และเทคโนโลยี เพื่อเผยแพร่งานวิจัยและเทคโนโลยีของ สวทช. ให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์จริง สร้างกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวพันธุ์ KUML ที่มีองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML อินทรีย์ให้ได้มาตรฐานและคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ สามารถขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ และสามารถเก็บและรักษาเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เอง ตามหลักวิชาการให้เป็นที่รู้จักของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสร้างเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียว KUML ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อลดการเผา บำรุงดิน และเกิดการสร้างอาชีพและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร ปัจจุบันมีเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียวใน 3 จังหวัดพื้นที่ทุ่งกุลาฯ (ยโสธร ศรีสะเกษ สุรินทร์ ) โดยในปี 2569 จังหวัดยโสธร จะเพิ่มจาก 350 ไร่ เป็น 1,000 ไร่ ตอบโจทย์การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในโครงการทุ่งกุลาม่วนซื่น ตามกลยุทธ์การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ของ สวทช.

สวทช.-ผนึก ธ.ก.ส. –เกษตรจ.ยโสธร นำเก็บถั่วเขียวKUML 350 ไร่

น.ส.ณิฎฐา คุ้มโต นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สท. สวทช. กล่าวเสริมว่า ปี 2567 สวทช. ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ขับเคลื่อนการดำเนินงานพืชหลังนาร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธร ในฤดูกาลผลิตปี 2567/2568 สวทช. ได้สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML จำนวน 1,750 กิโลกรัม และไรโซเบียม สำหรับพื้นที่ปลูก 350 ไร่ พร้อมทั้งจัดอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวพันธุ์ KUML แบบครบวงจร โดยมีสำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธรได้คัดเลือกพื้นที่และเกษตรกร จำนวน 14 กลุ่ม จาก 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอค้อวัง อำเภอมหาชนะชัย อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอเมืองยโสธร อำเภอทรายมูล อำเภอกุดชุม อำเภอไทยเจริญ และอำเภอเลิงนกทา เข้าร่วมโครงการ การปลูกถั่วเขียวนอกจากสร้างรายได้ให้เกษตรกรแล้วยังช่วยปรับปรุงบำรุงดินเพื่อเตรียมการเพาะปลูกข้าวในฤดูกาลถัดไป ทั้งนี้ สท. ได้อบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่เกษตรเพื่อให้สามารถส่งเสริมให้พี่น้องเกษตรกรปลูกถั่วเขียวพันธุ์ KUML ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถกระจายสู่ทุกอำเภอภายในจังหวัดยโสธร โดยมี สหกรณ์เกษตรอินทรีย์เลิงนกทา จำกัด เป็นตลาดรับซื้อผลผลิตถั่วเขียว KUML

กรมส่งเสริมการเกษตร นำร่อง 32 จังหวัด ปลูกถั่วเขียวเป็นพืชหลังนา เพื่อเกษตรปลอดภัย

นายวีรศักดิ์ บุญเชิญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า นโยบายการส่งเสริมพืชหลังนาของกรมส่งเสริมการเกษตรและความร่วมมือกับ สวทช. ในการขยายผลการผลิตถั่วเขียว KUML แบบครบวงจรนั้น สวทช. ได้ดำเนินงานร่วมกับกลุ่มส่งเสริมพืชน้ำมันและพืชตระกูลถั่ว สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร ที่ดำเนินงานส่งเสริมการปลูกถั่วเขียวเป็นพืชหลังนา และมีกลไกการทำงานเชื่อมโยงกับสำนักงานเกษตรจังหวัด ทั้งสิ้น 32 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ ตาก นครสวรรค์ น่าน พะเยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง สุโขทัย อุตรดิตถ์ ชัยนาท ลพบุรี อุทัยธานี กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ เลย ศรีสะเกษ สุรินทร์ หนองบัวลำภู อุดรธานี อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ และมหาสารคาม ภายใต้ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร กิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชตระกูลถั่ว ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น ด้านการเกษตร แผนแม่บทย่อย: เกษตรปลอดภัย

“โครงการนี้มีการพัฒนาต้นแบบเกษตรกร แปลงเรียนรู้ และพื้นที่ต้นแบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวในระดับชุมชน มุ่งหวังการสร้างกลุ่มผู้ผลิตถั่วเขียวเข้าโรงงานอุตสาหกรรมที่มีผลผลิตสูง (grain) ตรงกับความต้องการของตลาด และสร้างกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวระดับชุมชน (seed) ลดการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ดีมีคุณภาพ โดยในโครงการจะดำเนินงานใน 1 จังหวัดนำร่อง คือ จังหวัดยโสธร เนื่องจากเป็นนโยบายการขับเคลื่อนของจังหวัดที่จะส่งเสริมให้ “ยโสธรเมืองเกษตรอินทรีย์ เมืองแห่งวิถีอีสาน” โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพการบริหารทรัพยากรการเกษตรเป็นเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นและไม่กระทบสิ่งแวดล้อม และพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกร การลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์สอดคล้องตามแนวทางวิถีท้องถิ่น สร้างความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน โดยมีการบรรจุถั่วเขียว เป็น 1 ใน 10 ชนิดสินค้าสำคัญที่จะขับเคลื่อนในรูปโครงการ ในปีงบประมาณ 2569”

เกษตรจังหวัดยโสธร เล็งขยายพื้นที่ปลูกจาก 350 ไร่ เป็น 1,000 ไร่ ในปี 69

นายนพดล ผุดผ่อง เกษตรจังหวัดยโสธร กล่าวว่า จังหวัดยโสธร มีพื้นที่เกษตรทั้งหมด 1.7 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ปลูกข้าว 1.35 ล้านไร่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำนาอาศัยน้ำฝนและมีพื้นที่ชลประทานเพียง 7% ของทั้งจังหวัด จึงมองว่าเกษตรกรจะมีอาชีพเสริมได้อย่างไร จึงเลือกพืชถั่วเขียวซึ่งเป็นพืชอายุสั้น เก็บเกี่ยวได้ช่วง 65-75 วัน และตลาดมีความต้องการจำนวนมาก ที่สำคัญเป็นพืชบำรุงดิน สำนักงานเกษตรจังหวัดจึงกำหนดเป็นแผนพัฒนาเพื่อปลูกถั่วเขียวระดับจังหวัดในปี 2569

“ในปี 2568 เรานำร่องเครือข่ายเกษตรกรปลูกถั่วเขียว KUML ที่ สวทช. และ ม.เกษตร กำแพงแสน นำมาถ่ายทอดความรู้ครบวงจร ตั้งแต่การปลูก ดูแล เก็บเกี่ยวและการคัดเมล็ดพันธุ์ จำนวนมากกว่า 350 ไร่ใน 8 อำเภอ จาก 9 อำเภอของจ.ยโสธร โดยให้เกษตรกรรวมกลุ่มตามความสมัครใจ ปัจจุบันมี 15 กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียว ใน จ.ยโสธร โดยปีนี้ สวทช. สนับสนุนเมล็ดพันธุ์กลุ่มละ 5 ไร่ เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้ว เกษตรกรต้องคืนเมล็ดพันธุ์ให้กลุ่มเพื่อขยายผลการปลูกในปีถัด ๆ ไป โดยตั้งเป้าว่าปีหน้าจะปลูกถั่วเขียว KUML ทั้งจังหวัดเป็นพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ เพื่อเป้าหมายเป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวของ จ.ยโสธร”

โครงการนี้ฯ เกษตรกรให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมีอุปสรรคเรื่องลมแรงและความหนาวที่ยาวนาน (ช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 2568) ซึ่งเป็นปัญหาของการเจริญเติบโตของถั่วเขียว แต่กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียว KUML ก็ไม่ท้อและต้องการจะปลูกอีกในฤดูกาลถัดไป เพราะเป็นพืชอายุสั้น ช่วยบำรุงดินและที่สำคัญเมื่อเกษตรกรปลูกพืชหลังนาหลังการเก็บเกี่ยวข้าวแล้วจะช่วยลดการเผาในพื้นที่เกษตร เป็นผลดีต่อการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตามการทำงานร่วมกับ สวทช. ทำให้เกษตรจังหวัดและกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นข้อดีต่อพี่น้องเกษตรกรทุกด้าน เพราะ สวทช. มีองค์ความรู้ มีสื่อการเรียนรู้และให้ความรู้เกษตรกรเข้าใจได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีปัจจัยการผลิตบางส่วนมาสนับสนุน นอกจากให้ความรู้เกษตรกรแล้ว เจ้าหน้าที่เกษตรยังได้รับการฝึกอบรมด้วย อีกทั้งยังเชื่อมโยงทุนสนับสนุนจาก ธ.ก.ส. มาร่วมเป็นพันธมิตรด้านเงินทุนให้พี่น้องเกษตรกร 

ชาวนายโสธร ปลื้มปลูกถั่วเขียว KUML แค่ 2 เดือนสร้างรายได้เพิ่มหลักหมื่นต่อครัวเรือน

นางจันทพร ประทาน หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธร กล่าวเสริมว่า การส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกพืชหลังนา สำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธรบูรณาการการทำงานกับ สวทช. เป็นปีที่สอง ซึ่งนโยบายของจังหวัดอยากให้เกษตรกรปลูกพืชน้ำน้อย เพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกรส่งเสริมให้เกษตรกรลดการเผาตอซังและมีรายได้เพิ่มในฤดูแล้ง โดยในปีต่อไปเกษตรกรจะเริ่มคัดเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML ไว้เป็นพันธุ์ปลูกเพื่อสร้างความมั่นคงเรื่องเมล็ดพันธุ์ และปลูกในต้นปี 2569 ซึ่งจะนำร่องปลูกทุกอำเภอตามนโยบายของจังหวัดยโสธร

ด้าน นายกฤษณ์ เสาประธาน ประธานสหกรณ์เกษตรอินทรีย์เลิงนกทาและไทยเจริญ จำกัด จ.ยโสธร และเป็นหนึ่งในเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียว KUML กล่าวว่า ด้วยสหกรณ์ฯ เห็นว่าถั่วเขียวเป็นพืชบำรุงดินตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ อีกทั้งยังขายได้ราคา มีรายได้เสริมช่วงพักนา จึงส่งเสริมให้สมาชิกในกลุ่มฯ ปลูกถั่วเขียวเป็นหลัก เพื่อมีรายได้เสริมและดีกว่าปล่อยนาทิ้งร้างว่างเปล่า

“เมื่อก่อนเราไม่มีความรู้เรื่องการปลูกถั่วเขียวก็หว่านไปตามธรรมชาติ ผลผลิตไม่ได้ แถมมีพันธุ์ถั่วหินปนบ้าง เมล็ดเล็กไม่มีใครรับซื้อ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว สวทช. มาให้ความรู้ แนะนำวิธีการปลูก ให้คลุกไรโซเบียมก่อนปลูกแล้วไถกลบ หว่านและปั่น ทำให้ถั่วเขียวต้านทานโรคได้ดี และรากต้นถั่วเขียวจะมีปมและหาอาหารในดินได้เก่งขึ้น ต้นถั่วเขียวตั้งตรงแข็งแรง ที่สำคัญเมล็ดพันธุ์ KUML สุกแก่ค่อนข้างพร้อมกันช่วยให้เก็บเกี่ยวง่ายขึ้น เมล็ดใหญ่ ฝักใหญ่ แถมให้น้ำหนักดีมาก”

นายมณี แสงแก้ว สมาชิกเกษตรอินทรีย์เลิงนกทาและไทยเจริญ จำกัด จ.ยโสธร กล่าวเสริมว่า ปลูกสายพันธุ์ถั่วเขียว KUML มา 2 ปีแล้ว เมล็ดใหญ่น้ำหนักเยอะ ถึงปลูกน้อย ก็ได้น้ำหนักเยอะกว่าสายพันธุ์ท้องตลาดทั่วไป เมื่อก่อนปลูกพันธุ์อื่น ๆ น้ำหนักน้อยแถมต้องรอว่าใครจะรับซื้อ แต่สายพันธุ์ KUML นี้ ปลูกแล้วรอเก็บขายกับสหกรณ์ฯ ได้เลย ทั้งขายง่าย ได้เงินง่าย ถือเป็นรายได้เพิ่มหลังการทำนา ดินดีขึ้นช่วยให้ข้าวได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น จากเมื่อก่อนไม่ปลูกถั่วเขียวได้ 300 กิโลกรัมต่อไร่ ตอนนี้หลังปลูกถั่วเขียวผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 500-600 กิโลกรัมต่อไร่

เช่นเดียวกับ นางลัดดา พันธ์ศรี ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตปุ๋ยอินทรีย์และข้าวอินทรีย์บ้านคำครตา อ.ทรายมูล จ.ยโสธร กล่าวว่า ทำเกษตรอินทรีย์รับรองมาตรฐานสากล EU ตั้งแต่ปี 2559 การทำข้าวอินทรีย์หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าว ต้องปลูกพืชบำรุงดินมาโดยตลอด จนกระทั่งปี 2567 รู้จักกับ สวทช. และเริ่มหันมาปลูกถั่วเขียว KUML เป็นพืชบำรุงดิน ซึ่งนอกจากได้ช่วยปรับปรุงดิน ยังช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวอินทรีย์ขึ้น และการปลูกถั่วเขียว KUML ยังช่วยสร้างรายได้เศรษฐกิจระดับฐานรากให้เกษตรกรช่วงพักนาได้ดี

“ปีที่แล้วปลูกถั่วเขียว KUML 5 ไร่ ได้ผลผลิต 700 กิโลกรัม มีรายได้ช่วง 2 เดือนมากถึง 22,000 บาท และแบ่งเมล็ดไว้ทำพันธุ์ปลูกในปี 2568 อีก 60 กิโลกรัม ซึ่งวันนี้เป็นวันเก็บเกี่ยวผลผลิตของฤดูกาลผลิต 2568 แล้ว แม้ว่าปีนี้ถั่วเขียวจะเจอฤดูหนาวที่ยาวนานและมีลมแรง แต่ส่วนตัวและสมาชิกในกลุ่มฯ ยังมั่นใจที่จะปลูกถั่วเขียว KUML ต่อไป เพราะช่วยให้มีรายได้เสริม และช่วยบำรุงดินตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์เป็นอย่างดี”

ธ.ก.ส. หนุน สวทช. ขยายองค์ความรู้ให้กลุ่มเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนพักชำระหนี้

นายเสกสรรค์ จันทร์ขวาง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า การสนับสนุนจากสำนักวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ที่ต้องการมุ่งนำองค์ความรู้การผลิตถั่วเขียวและโมเดลตลาดนำการผลิต ยกระดับเครือข่ายเกษตรกรของ ธ.ก.ส. ให้มีความสามารถผลิตถั่วเขียวหลังนาเป็นอาชีพเสริม สร้างกลุ่มผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพให้เกิดความยั่งยืนในพื้นที่ รวมถึงการสร้างเครือข่ายเกษตรกรผลิตถั่วเขียว (Grain) ส่งให้กับภาคเอกชนในพื้นที่ สามารถยกระดับรายได้ของเกษตรกรได้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ตลอดปี 2567 ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจแก่องค์กรและลูกค้าด้วยนวัตกรรม ด้วยการขยายผลนวัตกรรมเกษตรสู่การใช้ประโยชน์ โดยได้ดำเนินโครงการขับเคลื่อนนวัตกรรมเกษตรร่วมกับภาคีเครือข่ายภายนอก ผ่านรูปแบบการสนับสนุนทุนวิจัยและค้นหานวัตกรรมให้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนและพัฒนางานวิจัยที่เหมาะสมกับบริบทการเกษตรในประเทศไทย ทั้งนี้การดำเนินงานดังกล่าว ธ.ก.ส. หน่วยงานภาครัฐในท้องถิ่น สามารถนำไปองค์ความรู้และเทคโนโลยีดังกล่าวใช้ขยายผลให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนพักชำระหนี้ได้ โดยค้นหาและคัดเลือกนวัตกรรมเกษตรพร้อมใช้ที่เหมาะสมต่อกลุ่มเป้าหมาย อาทิ เกษตรกร ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการทำการเกษตรให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ส่งผลให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป

# # #

ที่มา ข่าวประชาสัมพันธ์ สวทช. www.nstda.or.th

เกษตรกรยโสธรเฮ ปลูก ‘ถั่วเขียว KUML’ 2 เดือน สร้างรายได้หลักหมื่น สวทช.-ธ.ก.ส.-สนง.เกษตรยโสฯ นำปลูกครบวงจร ขยายปลูกพันไร่ ปี 69