เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 ณ แปลงเกษตรกรต้นแบบ (นายรังสรรค์ อยู่สุข) หมู่ 10 ต.นาคาย อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี: นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นประธานเปิดงานวันถ่ายทอดผลงานวิจัยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตามค่าวิเคราะห์ดินสำหรับมันสำปะหลังอินทรีย์สู่เกษตรกรเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ (Field Day) ประจำปี 2567 โดยมีนางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. เกษตรจังหวัดอุบลราชธานี ภาคเอกชนและเกษตรกรในพื้นที่เข้าร่วมงาน
นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตรมีความมุ่งมั่นส่งเสริมให้เกษตรกรมีความเข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้ มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยได้รับการส่งเสริมพัฒนาขีดความสามารถการผลิตและจัดการสินค้าตามความต้องการของตลาดได้ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยได้รับบริการทางการเกษตรและองค์ความรู้จากการศึกษา วิจัยและพัฒนางานด้านส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อให้เกษตรกรสามารถผลิตปัจจัยทางการเกษตรที่มีคุณภาพและมาตรฐาน งานวันถ่ายทอดผลงานวิจัยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตามค่าวิเคราะห์ดินสำหรับมันสำปะหลังอินทรีย์สู่เกษตรกรเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ (Field Day) ประจำปี 2567 ในครั้งนี้ กรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับ สวทช. สวก. และภาคเอกชนในพื้นที่ขับเคลื่อนภารกิจในปี 2567 โดยนำนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานส่งเสริมการเกษตรเชิงพื้นที่ สร้างสินค้าเกษตรมูลค่าสูง (High Value) ควบคู่ไปกับการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า ทำเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Low Carbon) และเพิ่มพื้นที่สีเขียวในภาคการเกษตรที่ขับเคลื่อนตามนโยบาย BCG Economy Model เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน สมดุล ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม
“หน่วยงานภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานภาคีต่างๆ ได้บูรณาการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่สำคัญ คือ “เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น” เนื่องจากสถานการณ์การผลิตสินค้าเกษตรในปัจจุบันแข่งขันค่อนข้างสูงทั้งด้านปริมาณและด้านคุณภาพ ขณะที่เกษตรกรส่วนใหญ่ยังผลิตและจำหน่ายสินค้าเกษตรแบบรายย่อย ทำมากแต่ได้ผลตอบแทนน้อย ขาดโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน ปัจจัยการผลิตและตลาด ที่สำคัญที่สุดเกษตรกรผลิตสินค้าไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ขาดการรวมกลุ่ม จึงทำให้ยากต่อการจัดการผลผลิต จากสภาพปัญหาที่เกษตรกรต้องเผชิญอยู่ จึงบูรณาการจัดกิจกรรมถ่ายทอดความรู้แบบเห็นของจริง เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรได้เรียนรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับพื้นที่และได้รับบริการด้านการเกษตร เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการวางแผนการผลิต เข้าถึงตลาดและปัจจัยการผลิต ลดความเสี่ยงการทำการเกษตร ตามนโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” หากเกษตรกรนำองค์ความรู้ที่เหมาะสมไปประยุกต์ใช้ในแปลงของตนเอง จะทำให้ลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าสินค้า ยกระดับสินค้าสู่มาตรฐานและต่อยอดถึงการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ที่บริหารจัดการกลุ่ม และช่วยเพิ่มโอกาสการพัฒนาสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้นต่อไป” นายพีรพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย
นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. มีทีมนักวิชาการทำโครงการการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังในระบบอินทรีย์ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต เพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้เกษตรกรและถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้การผลิตมันสำปะหลังในระบบเกษตรอินทรีย์ ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต เนื่องจากปัญหาการผลิตมันสำปะหลังเคมี เกษตรกรมักประสบปัญหาความผันผวนของราคา รายได้น้อย ต้นทุนสูง ดังนั้นการผลิตมันสำปะหลังในระบบเกษตรอินทรีย์จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการสร้างรายได้ให้เกษตรกร เนื่องจากมันสำปะหลังอินทรีย์สามารถจำหน่ายได้ในราคาสูง เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร โดยมี บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นภาคเอกชนในพื้นที่ต้องการมันสำปะหลังอินทรีย์ปีละไม่น้อยกว่า 300,000 ตัน แต่ปัญหาคือการปรับเปลี่ยนการปลูกมันสำปะหลังจากแปลงเคมีมาผลิตตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เกษตรกรยังขาดองค์ความรู้การเลือกใช้พันธุ์มันสำปะหลัง การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ การจัดการโรคและแมลงในระบบอินทรีย์ รวมทั้งการขอขึ้นทะเบียนมาตรฐานอินทรีย์
“การผลักดันและส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงองค์ความรู้เพื่อผลิตมันสำปะหลังให้ได้ตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ จึงเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยยกระดับรายได้ของเกษตรกรและทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์เพียงพอต่อความต้องการของตลาด เป็นไปตามนโยบายของกระทรวง อว. ที่มุ่งเน้นการทำวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตรงความต้องการ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ ภายใต้หลักการสำคัญ คือ “เอกชนนำ รัฐสนับสนุน” น.ส.วิราภรณ์ กล่าว
นายชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. กล่าวว่า สวทช. ดำเนินโครงการดังกล่าวภายใต้ความร่วมมือระหว่าง บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรยโสธร และสำนักงานเกษตรจังหวัดอุบลราชธานี โดยร่วมกันกำหนดเป้าหมาย ถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้การผลิตมันสำปะหลังในระบบเกษตรอินทรีย์ให้เกษตรกรในเครือข่ายพื้นที่เป้าหมายจังหวัดอุบลราชธานีและยโสธร ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต ไม่น้อยกว่า 100 คน เพิ่มพื้นที่ผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์รวม 500 ไร่ ให้ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (ระยะปรับเปลี่ยน) ผลผลิตมันสำปะหลังไม่น้อยกว่า 1,500 ตัน มีการประกันราคารับซื้อและหน่วยงานสำนักงานเกษตรจังหวัดร่วมขับเคลื่อนการขยายผลในพื้นที่และสร้างเครือข่ายผู้ผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการฯ ได้คัดเลือกพื้นที่สำหรับขับเคลื่อนการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร ตำบลนาคาย อำเภอตาลสุมและตำบลสำโรง อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มเกษตรกรตำบลคูเมือง ตำบลฟ้าหยาด อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร กลุ่มเกษตรกรตำบลหนองไฮ อำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน 160 คน พื้นที่ปลูก 738 ไร่
“จากการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาของเกษตรกรกับการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์จังหวัดอุบลราชธานีและยโสธร พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจการขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เกษตรกรคุ้นเคยกับการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีการป้องกันศัตรูพืช และเกษตรกรขาดองค์ความรู้ในการผลิตมันสำปะหลังในระบบเกษตรอินทรีย์ทำให้ผลผลิตต่ำและต้นทุนสูง โครงการฯ จึงได้กำหนดขั้นตอนการส่งต่อความรู้ให้เกษตรกร โดยจัดทำแปลงต้นแบบการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม จำนวน 36 แปลง ปรับใช้เทคโนโลยีการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน 1 ไร่ เปรียบเทียบกับการใช้ปุ๋ยเดิมของเกษตรกร เพื่อให้เป็นแหล่งถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ และดำเนินงานถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตในหลักสูตรการอบรมเชิงปฏิบัติการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ให้กับเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย”
นายชวินทร์ กล่าวต่อว่า ทีมนักวิชาการ สวทช. และพันธมิตรร่วมกันกำหนดหัวข้อการดำเนินการ ได้แก่ การผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์และการรับรองมาตรฐานอินทรีย์ การตรวจวิเคราะห์ดินและการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตามค่าวิเคราะห์ดินด้วยเทคโนโลยี Smart NPK และการป้องกันกำจัดโรคไวรัสใบด่างมันสำปะหลังด้วยชุดตรวจโรคไวรัสใบด่างมันสำปะหลังแบบ Strip Test โดยได้จัดอบรมให้เกษตรกรรวม 160 คน ผลการดำเนินงาน พบว่า 80% ของแปลงต้นแบบที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตามค่าวิเคราะห์ดิน มีค่าวิเคราะห์ดินที่ดีขึ้น จำนวนหัวตัวเหง้าเพิ่มขึ้น ปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 20-30% ชี้ให้เห็นว่าการลงทุนเพิ่มจากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตามค่าวิเคราะห์ดินนั้นให้ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นตามมาด้วย สำหรับแผนการดำเนินงานต่อไปจะขยายผลจากแปลงต้นแบบร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนเป็นแผนงานจังหวัดต่อไป