กรุงเทพฯ —24 มีนาคม 2565 — ที่งาน Adobe Summit ซึ่งเป็นการประชุมด้านประสบการณ์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก อะโดบี (Nasdaq:ADBE) ได้เปิดตัวนวัตกรรมหลายรายการ รวมถึงการบูรณาการระบบ และการลงทุนเพื่อช่วยให้แบรนด์ต่างๆ ประสบความสำเร็จในเมตาเวิร์ส (Metaverse)
ด้วยการต่อยอดจากเทคโนโลยีที่อะโดบีนำเสนอในปัจจุบันสำหรับการสร้างสรรค์ประสบการณ์ 3D แบบ immersive รวมถึงแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ และประสบการณ์ดิจิทัล อะโดบีได้เผยโฉมนวัตกรรมใหม่สำหรับการออกแบบ สร้าง และนำเสนอประสบการณ์แบบเสมือนจริงที่ชวนดื่มด่ำให้แก่ผู้ใช้งานหลายล้านคน นอกจากนี้ การบูรณาการใหม่ๆ บน Adobe Creative Cloud และ Adobe Experience Cloud จะช่วยองค์กรธุรกิจในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมสามารถสร้างและปรับแต่งคอนเทนต์ 3D และทำ personalization โดยใช้โซลูชั่นของอะโดบี
นอกจากนี้ อะโดบีได้นำเสนอ playbook สำหรับแบรนด์ต่างๆ พร้อมทั้งพรีวิว Substance 3D Modeler รวมไปถึงเครื่องมือ Augmented Reality (AR) สำหรับการช้อปปิ้ง และอะโดบียังได้ร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำ เช่น The Coca-Cola Company, Epic Games, NASCAR และ NVIDIA ในการพัฒนาเทคโนโลยีและประสบการณ์ต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเมตาเวิร์ส:
- การสร้างคอนเทนต์ 3D และคอนเทนต์ immersive อื่นๆ: ประสบการณ์แบบ immersive ในปัจจุบัน รวมถึงเกม ประสบการณ์ช้อปปิ้งและการเรียนรู้แบบอินเทอร์แอคทีฟ โดยมากแล้วถูกสร้างขึ้นโดยใช้เครื่องมือการสร้างคอนเทนต์ 3D และคอนเทนต์เสมือนจริงของอะโดบี นั่นคือ Substance 3D และ Aero และทุกวันนี้แบรนด์ชั้นนำใช้เวิร์กโฟลว์การออกแบบ 3D เช่น การถ่ายภาพแบบเสมือนจริงโดยใช้เครื่องมืออย่าง Substance Stager เพื่อให้สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์และผลิตคอนเทนต์ด้านการตลาดได้ดีขึ้น รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบเสมือนจริง: ปัจจุบันอะโดบีทำงานร่วมกับองค์กรธุรกิจหลายพันแห่งเพื่อขับเคลื่อนร้านค้าออนไลน์และประสบการณ์อี-คอมเมิร์ซอื่นๆ ความเชี่ยวชาญในส่วนนี้ รวมถึงการบูรณาการระหว่างระบบคลาวด์ ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์แบบ immersive ซึ่งลูกค้าจะสามารถเลือกซื้อสินค้าทั้งแบบเสมือนจริงและสินค้าของจริงได้ในโลกดิจิทัล
- ความสามารถในการพกพาอัตลักษณ์และทรัพยากรแบบเสมือนจริง: วันนี้อะโดบีเสริมสร้างขีดความสามารถให้แก่แบรนด์ต่างๆ ในการนำเสนอประสบการณ์ดิจิทัลแบบเฉพาะบุคคลที่ครอบคลุมทุกช่องทางการติดต่อ ทุกที่ทุกเวลา ด้วยการพัฒนาต่อยอดจากความเชี่ยวชาญที่มีอยู่ อะโดบีช่วยให้ผู้ใช้ในเมตาเวิร์ส และประสบการณ์ immersive สามารถออกแบบอัตลักษณ์และทรัพยากรทางออนไลน์ของตนเอง และใช้แอสเซ็ท (Asset) ที่ปรับแต่งนี้ภายในโลกเสมือนจริง
สก็อต เบลสกี้ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์และรองประธานบริหารฝ่าย Adobe Creative Cloud กล่าวว่า
“Metaverse และประสบการณ์เสมือนจริงอื่นๆ จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการนำเสนอฟีเจอร์ที่พร้อมสรรพ ผ่านการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล มีคอนเทนต์แบบอินเทอร์แอคทีฟ และดึงดูดใจ ดังนั้นเพื่อที่จะเป็นผู้นำในเมตาเวิร์ส แบรนด์ต่างๆ จึงควรเริ่มต้นสร้างคอนเทนต์ 3D และคอนเทนต์ immersive ตั้งแต่ตอนนี้ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เตรียมพร้อมสำหรับอนาคตแล้ว ยังช่วยให้การออกแบบผลิตภัณฑ์และการสร้างแอสเซ็ทด้านการตลาดและอี-คอมเมิร์ซปรับปรุงดีขึ้น รวดเร็วมากขึ้น และมีค่าใช้จ่ายถูกลง”
เมตาเวิร์สประกอบด้วยประสบการณ์ immersive ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารกันในโลกเสมือนจริง โดยทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรมแห่งอนาคต รวมถึงประสบการณ์ร่วมกันหลากหลายรูปแบบสำหรับการทำงาน การเล่นเกม อี-คอมเมิร์ซ ระบบหุ่นยนต์ การฝึกอบรมสำหรับยานพาหนะไร้คนขับ และการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน เป็นต้น
อะโดบีบูรณาการเครื่องมือด้านครีเอทีฟสำหรับคอนเทนต์ 3D และคอนเทนต์ immersive เข้ากับ Adobe Experience Cloud โดยในขั้นแรกเป็นการบูรณาการสำหรับ Adobe Commerce, Adobe Experience Manager, Adobe Analytics และ Adobe Target ก่อนหน้านี้ อะโดบีได้ปรับปรุงให้กลมกลืนมากขึ้นสำหรับคอนเทนต์ เอฟเฟ็กต์ และฟีเจอร์ 3D บนแอพพลิเคชั่น Creative Cloud
อนิล จักรวารธี ประธานฝ่ายธุรกิจประสบการณ์ดิจิทัลของอะโดบี กล่าวว่า “เนื่องจากเว็บมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดความต้องการเพิ่มมากขึ้นสำหรับประสบการณ์ immersive ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งครอบคลุมอี-คอมเมิร์ซ ฟังก์ชั่นที่รองรับผู้ใช้งานหลายคน และความสามารถในการครอบครองและส่งออกอัตลักษณ์และทรัพยากรของคุณเองที่ผ่านการปรับแต่งเป็นพิเศษในโลกเสมือนจริง Adobe Experience Cloud คือเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์ immersive แบบเฉพาะบุคคลตามลักษณะที่ว่านี้”
การตอบรับจากลูกค้า
“ที่ Coca-Cola เรามุ่งมั่นที่จะรักษาคุณค่าของงานออกแบบและงานสร้างสรรค์ทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและโลกดิจิทัล” ราฟา อาบรู รองประธานฝ่ายออกแบบทั่วโลกของ The Coca-Cola Company กล่าว “อะโดบีมอบการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลสำหรับผลิตภัณฑ์ของเรา และเรามุ่งหวังที่จะทำงานร่วมกับอะโดบีเพื่อขยายแบรนด์ Coca-Cola ไปสู่โลกเสมือนจริงด้วยการนำเสนอประสบการณ์ immersive”
“ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนาเกม สถาปนิก หรือนักออกแบบยานยนต์ ผู้บริโภคในทุกวันนี้ต้องการประสบการณ์แบบอินเทอร์แอคทีฟเสมือนจริง” มาร์ค เปอตี รองประธานฝ่ายระบบนิเวศ Unreal Engine ของ Epic Games กล่าว “เราร่วมมือกับอะโดบีเพื่อพัฒนาเครื่องมือใหม่ที่จะช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์ 3D แบบเรียลไทม์ เพื่อขยายขอบเขตของการแสดงผลภาพที่สมจริงเหมือนภาพถ่าย”
“ที่ NASCAR เรามุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ระดับสุดยอดให้แก่แฟนๆ ของเรา ไม่ว่าจะอยู่ในสนามแข่ง รับชมจากที่บ้าน หรือติดต่อสื่อสารกับเราในโลกเสมือนจริง” ไวแอตต์ ฮิคส์ กรรมการผู้จัดการของ NASCAR Digital Media กล่าว “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ร่วมมือกับอะโดบีในการนำเสนอประสบการณ์แบบ immersive ให้แก่ผู้ชมบนทุกแพลตฟอร์ม”
“NVIDIA ดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อสร้างเทคโนโลยีพื้นฐานที่จะช่วยให้องค์กร นักพัฒนา และศิลปิน สามารถสร้างและเชื่อมต่อถึงกันภายในโลกเสมือนจริง การทำงานร่วมกับอะโดบีเพื่อกำหนดมาตรฐานเปิดสำหรับ 3D เช่น Universal Scene Description จะช่วยให้ทีมงานฝ่ายออกแบบและฝ่ายวิศวกรรมของเราสามารถโยกย้ายแอสเซ็ท 3D ไปยังส่วนต่างๆ ในโลกเสมือนจริง” ริชาร์ด เคอริส รองประธานฝ่ายแพลตฟอร์มการพัฒนา Omniverse ของ NVIDIA กล่าว
รายงาน Metaverse Playbook
ที่งาน Adobe Summit อะโดบีได้จัดทำรายงานคู่มือ “Metaverse Playbook” [ดาวน์โหลดได้ที่นี่] เพื่อช่วยให้เอเจนซี่และแบรนด์ต่างๆ สามารถปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านการออกแบบในสภาพแวดล้อม 3D และแบบ immersive ซึ่งจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับงานโปรดักชั่นด้านการตลาด รวมไปถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ และอื่นๆ นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังระบุข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ เกี่ยวกับอีโคฟซิสเต็มส์หลักของพาร์ทเนอร์เพื่อช่วยให้แบรนด์ต่างๆ เตรียมความพร้อมสำหรับเมตาเวิร์สได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
อะโดบีเปิดพรีวิวนวัตกรรมแบบ Immersive
ในปีนี้ อะโดบีมีแผนที่จะขยายความสามารถด้าน 3D ใน Substance 3D Collection ซึ่งปัจจุบันประกอบด้วย Substance 3D Stager, Painter, Sampler, Designer และ 3D Asset Library พร้อมด้วยแอพใหม่ Substance 3D Modeler ทำให้คอลเลกชั่นดังกล่าวเป็นโซลูชั่นแบบครบวงจรเพียงหนึ่งเดียวสำหรับภาพและประสบการณ์ 3D ทั้งนี้ เครื่องมือ 3D ของอะโดบีได้รับการใช้งานอย่างกว้างขวางในเกม immersive ชั้นนำเช่น Fortnite, Roblox, Halo และ Flight Simulator และยังถูกใช้ในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ด้านความบันเทิงที่เหนือชั้นอย่าง Dune, The Mandalorian และ Blade Runner 2049
อะโดบีมีแผนที่จะรวมคอนเทนต์ เอฟเฟ็กต์ และฟีเจอร์ 3D เข้ากับแอพพลิเคชั่น Creative Cloud หลังจากที่ล่าสุดได้รวมไว้บน Illustrator และ After Effects นอกจากนี้ อะโดบียังนำเสนอ Adobe Aero ซึ่งเป็นเครื่องมือชั้นนำในการสร้างประสบการณ์ Augmented Reality
ในช่วง “Sneaks” ของงาน Adobe Summit อะโดบีได้พรีวิวเครื่องมือด้าน Immersive ที่ก้าวล้ำจากห้องปฏิบัติการวิจัยของอะโดบี เช่น เครื่องมือที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจนำเสนอประสบการณ์อี-คอมเมิร์ซใแบบเมตาเวิร์ส รวมถึงประสบการณ์ดิจิทัลแบบเสมือนจริงอื่นๆ พร้อมกันนี้ อะโดบีจะพรีวิวเทคโนโลยี AR Shopping ซึ่งจะช่วยให้นักการตลาดสามารถใส่มาร์คเกอร์ AR ไว้ในภาพดิจิทัลบนเว็บไซต์ และลูกค้าก็จะสามารถถ่ายภาพสินค้าทางออนไลน์ แล้วตรวจสอบขนาดที่แน่ชัดและความพอดีเมื่อลองสวมใส่หรือตั้งวางที่บ้านผ่านภาพจำลอง ซึ่งนับเป็นการผสานรวมโลกเสมือนจริงและโลกแห่งความเป็นจริงเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการของอะโดบีที่เกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์สได้ที่ www.adobe.com/metaverse.html