ปราการแรกสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งองค์การสหประชาชาติ (UN) คือ SDGs (Sustainable Development Goals) ข้อที่ 3 ที่ว่าด้วยเรื่องสุขภาวะ Good Health & Well-being ที่มุ่งหมายกันว่าจะสามารถนำพาสู่การบรรลุเป้าหมายจนครบ 17 ข้อให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2573 หรือในอีก 8 ปีข้างหน้า
ในยุคสมัยของการแพร่ระบาดของเชื้อโรคอุบัติใหม่ อย่างเช่น COVID-19 ที่นับวันจะกลายพันธุ์ และขยายขอบเขตออกไปเรื่อยๆ ทำให้ทุกคนยังคงต้องรักษาระยะห่างอยู่กับตัวเองและครอบครัวเช่นปัจจุบัน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ในการดูแลตัวเองและครอบครัว เพื่อการมีสุขภาวะที่ยั่งยืน
ทำให้ศาสตร์แห่ง “การสาธารณสุขมูลฐาน” (Primary Health Care – PHC) ยังคงมีความสำคัญในโลกยุคปัจจุบัน โดยพบว่าเรื่องของสุขภาพ ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรสาธารณสุข แต่เป็นเรื่องของทุกคนในสังคมที่จะต้องร่วมใส่ใจดูแล
รองศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ภูดิท เตชาติวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน (AIHD) มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงนิยามของ PHC ว่า เป็นแนวคิด หลักการ และกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสุขภาพของทุกประเทศทั่วโลกในการบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ซึ่งสถาบันฯ ถือเป็นภารกิจสำคัญในการประสานเครือข่ายพันธมิตร ทั้งในและต่างประเทศ ร่วมผลิตและพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพ และองค์ความรู้ในการนำหลักการ PHC สู่การปฏิบัติ และขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ
“ขณะนี้เรามีงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจาก สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เกี่ยวกับการประเมินนโยบายคณะกรรมการคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) โดยมีการเสนอเพื่อการจัดตั้งคณะกรรมการคุณภาพชีวิตระดับจังหวัด (พชจ.) เพื่อเป็นกลไกเสริมหนุนการขับเคลื่อน พชอ. เพื่อให้เกิดผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับชุมชนต่อไป นอกจากนี้ มีงานวิจัยเพื่อพัฒนาบทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) เพื่อให้เป็นกลไกสำคัญแห่งการบรรลุเป้าหมาย SDGs ต่อไป ซึ่งจะทำให้ อสม. มีการเคลื่อนย้ายบทบาทจากการเป็นผู้ช่วยแพทย์ มาเน้นการให้ความรู้ด้านสุขภาวะแก่ประชาชน และการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆในการจัดกิจกรรมและสร้างนโยบายสุขภาวะ เพื่อการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ซึ่งเน้นการ “สร้าง” ก่อน “ซ่อม” สุขภาพ”
“ตัวอย่างเทศกาลสงกรานต์ของไทยซึ่งมีการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในอัตราสูงทุกปี ไม่เพียงแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเท่านั้นที่จะต้องคอยไป standby ในจุดเสี่ยงที่มักเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง แต่ควรเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนที่จะต้องมาร่วมด้วยช่วยกันรณรงค์การขับขี่ปลอดภัย และการมีท้องถนนที่ปลอดภัย ตลอดจนการใช้ท้องถนนกันอย่างไม่ประมาท”
“ซึ่งเป้าหมายของสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน (AIHD) มหาวิทยาลัยมหิดล ไม่ได้หยุดเพียงแค่การเป็นสถาบันการศึกษาซึ่งเป็นเสาหลักของระบบสาธารณสุขมูลฐานของประเทศไทย แต่ได้ขยายขอบเขตสู่ภูมิภาค โดยมีการจัดตั้ง “Asean Primary Healthcare Research & Information Center” ที่รวบรวมเอาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาวะของภูมิภาคอาเซียน มาร่วมทำงานวิชาการเพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมาย “สุขภาพดีถ้วนหน้า” (Health for All) ของ องค์การอนามัยโลก (WHO) และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งองค์การสหประชาชาติ (UN) บรรลุครบ 17 ข้อให้ได้ภายในปีพ.ศ.2573 ได้ต่อไป”
“เราจะทำให้เรื่องของการมีสุขภาพดีอย่างถ้วนหน้า และการบรรลุเป้าหมาย SDGs เป็นเรื่องของทุกคน ไม่มีใครรู้ว่าเราต้องการอะไร เท่ากับที่ตัวของเรารู้ และไม่มีใครสามารถดูแลเราได้ดีเท่ากับตัวของเราเอง เพราะฉะนั้นการจะดูแลอย่างไรให้ตัวของเราเองและสังคมอยู่รอดปลอดภัยอย่างยั่งยืน จึงเป็นความรับผิดชอบของทุกคน สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน (AIHD) มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมทำหน้าที่ “ปัญญาของแผ่นดิน” ตามปณิธานของมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อมอบองค์ความรู้ด้านสาธารณสุขมูลฐาน เพื่อให้ทุกคนสามารถแสดงบทบาทของตนเองในการดูแลและพัฒนาสุขภาพของตนเองและครอบครัว เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างรากฐานสู่สังคมสุขภาวะที่ยั่งยืนตลอดไป” รองศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ภูดิท เตชาติวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามข่าวสารที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ที่ www.mahidol.ac.th
สัมภาษณ์ และเขียนข่าวโดย
ฐิติรัตน์ เดชพรหม นักประชาสัมพันธ์ (ชำนาญการ)
ออกแบบแบนเนอร์โดย
วรรณพร ยังศิริ นักวิชาการสารสนเทศ
งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป สำนักงานอธิการบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล โทร. 0-2849-6210