เรื่องโดย ป๋วย อุ่นใจ
“ทำแล็บวันนี้ดูไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย ทำไมต้องบังคับให้ใส่เสื้อกาวน์ด้วย” นักศึกษาคนหนึ่งย้อนถามเสียงแข็งกร้าว หมายประท้วงที่ต้องใส่เสื้อกาวน์ในการทำปฏิบัติการ หลังจากที่ผมเดินไปเตือนเรื่องการใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลในการทำปฏิบัติการด้านวิทยาศาสตร์
“เสื้อกาวน์เป็นอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (personal protective equipment) หรือ PPE แบบหนึ่งนะครับ ทำอะไรในห้องแล็บก็ควรใส่แหละครับ เพื่อป้องกันตัวน้องเอง” ผมอธิบาย
“แต่ยังไงผมก็ไม่เห็นด้วยกับการบังคับใส่เสื้อกาวน์นะครับ ผมว่าการทดลองก็ไม่ได้มีอันตรายอะไร” น้องยังคงเสียงแข็ง สายตาจับจ้องมาที่ผม
ผมยิ้มมุมปากก่อนจะถามกลับไปสั้น ๆ “น้องรู้เหรอครับว่าในห้องนี้มีใครทดลองอะไรมาก่อนบ้าง อาจจะมีเชื้อก่อโรคหรือสารกัมมันตรังสีก็ได้ !?”
“ผมไม่ทราบ แต่คิดว่าไม่มีนะครับ เสื้อกาวน์นี่จำเป็นจริง ๆ หรือ ?” น้องยังคงสู้ไม่ถอย
“ถ้ากฎของห้องแล็บบังคับ ก็ใส่เถอะครับ น้องมองไม่เห็นเชื้อโรคนี่ หรือว่าเห็น ? เพื่อความปลอดภัยของตัวน้องเอง และพอทำทดลองเสร็จก็เก็บให้เรียบร้อย อย่าเอาความเสี่ยงไปแพร่ต่อข้างนอกนะครับ ป้องกันตัวเราแล้ว ต้องรับผิดชอบต่อสังคมด้วย” ผมตอบยิ้ม ๆ “ยิ่งต่อไปจะต้องทำงานกับคนป่วย เจอเชื้ออะไรต่อมิอะไร น้องควรทำให้เป็นนิสัยครับ…สรุปวันนี้ต้องใส่เสื้อกาวน์นะครับ” ผมตัดบท สีหน้าน้องยังคงไม่เห็นด้วย แต่ในที่สุดก็ยอมหยิบมาใส่แต่โดยดี
บทสนทนานี้ผุดขึ้นมาในหัวผมทันทีที่กองบรรณาธิการสาระวิทย์แจ้งว่า ฉบับนี้เน้นเรื่อง Biosafety (ความปลอดภัยทางชีวภาพ)
สำหรับผมความปลอดภัยทางชีวภาพเป็นเรื่องที่เราต้องคำนึงถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้ที่ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่าย ที่จริงผมเพิ่งจะเขียนบทความลงคอลัมน์ทะลุกรอบ มติชนสุดสัปดาห์ไปเมื่อช่วงวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมานี้เอง เรื่อง “ไบโอแฮ็กเกอร์ กับ ชีวะ (ห้าม) ลอกเลียนแบบ…“ (ใครสนใจไปตามอ่านได้ที่ : https://www.matichonweekly.com/column/article_827257) ซึ่งกล่าวถึง โจ เซย์เนอร์ (Jo Zayner) ไบโอแฮกเกอร์ชื่อดังที่พยายามจะโชว์ให้ทุกคนเห็นว่างานวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงอย่างเช่นการตัดต่อดัดแปลงพันธุกรรม การแก้ไขยีน หรือแม้แต่การเปลี่ยนอัตลักษณ์ไมโครไบโอมของตัวเองให้เหมือนของคนอื่นนั้นเป็นอะไรที่ทุกคนสามารถทำได้เองที่บ้าน
โจทดลองไลฟ์สดการทดลองประหลาด ๆ ของเขาเป็นระยะ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างยีสต์หมักเบียร์เรืองแสง การพยายามที่จะตัดต่อพันธุกรรมตัวเอง การล้างจุลินทรีย์ในลำไส้ของตัวเองด้วยการกินยาปฏิชีวนะ การปรับเปลี่ยนไมโครไบโอมในลำไส้ของตัวเขาเองด้วยการกินอุจจาระของเพื่อน ซึ่งถ้ามองในมุมนึงก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจ โจออกมาแถลงว่าสิ่งที่เขาพยายามที่จะทำคือการ democratize science หรือการทำให้วิทยาศาสตร์เป็นของทุกคน
ทุกคนสามารถทดลองทุกอย่างเองได้ที่บ้าน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ การทดลองแบบนี้เป็นการทดลองที่มีความเสี่ยงสูงทั้งต่อตัวเขาเองและต่อสังคม เพราะหากตัวเขาเองหรือใครก็ตามที่พยายามทำแบบเขา ทดลองแล้วพลาดไปติดเชื้อก่อโรครุนแรงขึ้นมาก็อาจจะเป็นภัยต่อคนใกล้ตัว และถ้าเชื้อมีระยะพักตัวนาน กว่าจะออกอาการก็แพร่เชื้อออกไปแล้วสู่สังคมโดยไม่รู้ตัว ก็อาจเป็นภัยต่อสาธารณะด้วย คือการทดลองบางอย่างก็ไม่ควรลอกเลียนแบบที่บ้าน เพราะถ้ามองในอีกมุม การมองข้ามความเสี่ยงต่อสังคมก็คือความไม่รับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงกว่าที่คิด และนั่นคือต้นเหตุที่ทำให้หลายประเทศเริ่มหันมาสนใจและพยายามกระตุ้นให้เกิดความตระหนักเกี่ยวกับ RRI หรือ Responsible Research and Innovation หรือการทำวิจัยและสร้างนวัตกรรมอย่างมีความรับผิดชอบ !
นอกจากต้องวิจัยที่สร้างประโยชน์และตอบโจทย์ให้สังคมแล้ว อีกหนึ่งประเด็นที่พูดถึงกันมากที่สุดในมุม RRI ก็คือการป้องกันและเฝ้าระวังผลกระทบเชิงลบของเทคโนโลยี นวัตกรรมต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และมวลมนุษยชาติ แน่นอนว่า RRI นั้นครอบคลุมในทุกศาสตร์ของงานวิจัย แต่จะแอ็กทิฟมากเป็นพิเศษในเรื่องชีววิทยาสังเคราะห์ การแพทย์ และเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ควบคุมได้ยากและน่ากลัวหากเอาไปใช้ในทางที่ผิด
ผู้อ่านอาจเคยได้ยินเรื่องราวของโศกนาฎกรรม “กาฬมรณะ” หรือว่า black death ที่เป็นหนึ่งในมหากาพย์การระบาดโรคที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด และสร้างความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ เรื่องราวนี้น่าตกใจเพราะจุดเริ่มต้นของ “กาฬมรณะ” ที่เป็นแท้จริงแล้วคือ ผลพวงของ “การประทุษร้ายทางชีวภาพ” ในระหว่างการทำสงคราม ที่ส่งผลกระทบขยายวงต่อเนื่องร้ายแรงจนกลายเป็นโดมิโน
นี่คือหนึ่งในตัวอย่างของหายนะที่เกิดจากการเอาเทคโนโลยีชีวภาพไปใช้ในทางที่ผิด ในช่วงปีทศวรรษที่ 1340s ผืนแผ่นดินแห่งคาบสมุทรไครเมีย (Crimean peninsula) กำลังร้อนระอุ ความขัดแย้งในแนวคิดทางศาสนาระหว่างชาวอิตาลีกับชาวมองโกลได้จุดชนวนทำให้จานี เบก (Jani Beg) ผู้นำแห่งกองทัพอูลูกอูลูส (Ulug Ulus) หรือกองทัพทองคำ (Golden Horde) แห่งจักรวรรดิมองโกล ตัดสินใจประกาศสงครามและกรีฑาทัพเข้าบุกยึดเมืองคัฟฟา (Caffa) ที่เป็นเมืองท่าสำคัญของอิตาลีในเวลานั้น (ปัจจุบันคือเมืองฟีโอโดเซีย (Feodosia) ประเทศยูเครน) แต่ทว่าการบุกยึดเมืองคัฟฟานั้นกลับเป็นภารกิจที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ป้อมปราการที่ใหญ่โตตระหง่านและการตั้งรับที่เข้มงวดของกองทัพพิทักษ์เมืองของเจนัว (Genoa) เป็นอุปสรรคสำคัญที่ช่วยปกป้องเอกราชและชีวิตผู้คนแห่งคัฟฟา กองกำลังที่คร่ำหวอดอยู่กับสงครามอย่างกองทัพทองคำของจานี เบก ไม่อาจจะทะลุทะลวงผ่านแนวตั้งรับและป้อมปราการที่เข้มแข็งนี้เข้าไปได้ ในศึกนี้เขาเจอทางตัน ไม่ว่าจะงัดเอายุทธการและเล่ห์เพทุบายใดออกมาใช้ การบุกยึดคัฟฟาก็ยังไม่เป็นผล
จนในที่สุดการศึกที่ยืดเยื้อก็เริ่มส่งผลกระทบกับกองทัพของเขาเองอย่างร้ายกาจ เพราะพอเวลาผ่านไปนานเข้า การจัดการต่าง ๆ ในค่ายทหารที่เคยเข้มงวดเริ่มหละหลวม การจัดการเสบียงและของเสียปฏิกูลที่ไม่ดีทำให้เกิดการระบาดของหนูในค่ายทหาร และไม่ช้าไม่นานการระบาดของสัตว์ไม่พึงประสงค์ก็นำพาเอาโรคร้ายอย่างกาฬโรคเข้ามาบ่อนทำลายกองทัพแห่งมองโกล ถึงขั้นนี้กองทัพที่เคยสง่างามน่าเกรงขามก็เริ่มระส่ำระสาย ไพร่พลเริ่มเสียขวัญ ผู้คนเริ่มเอาใจออกห่าง ทหารเริ่มล้มตายมิต่างใบไม้ที่ปลิดขั้วร่วงลงมาจากต้น แค่ชั่วระยะสั้น ๆ “มฤตยูสีดำ” ก็ได้พรากชีวิตมากมายไปจากกองกำลังทองคำ
ในการศึกครั้งนั้นกองทัพมองโกลต้องเผชิญกับโรคระบาดร้ายแรงที่อุบัติขึ้นอย่างไม่คาดคิด ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ชีวิตของเหล่าทหารอันเกรียงไกรของกองทัพทองคำก็สูญไปราวอสนีบาตฟาดใส่ ร่างของพวกเขามีก้อนเนื้อปูดโปนขึ้นตามข้อ รอยดำปรากฏขึ้นบนใบหน้า พวกเขามีอาการไข้รุนแรง ร่างกายเริ่มเปื่อยเน่า เกินกว่าที่ผู้ใดจะเยียวยา แม้แต่แพทย์หรือเทพเจ้าก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
ในช่วงเวลาที่สถานการณ์สงครามอันยืดเยื้อกำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤตที่สุด จานี เบก จอมทัพมากประสบการณ์ก็คิดกลศึกสุดวิตถารขึ้นมาได้ เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เขาสั่งไพร่พลให้บรรจุซากศพทหารที่เน่าเปื่อยขึ้นไปบนเครื่องยิงหิน แล้วดีดซากศพผู้ติดเชื้อเข้าไปในเมืองคัฟฟา ห่าฝนซากศพร่วงหล่นลงที่ในเมืองราวกับฉากหนังสยองขวัญ กลิ่นเหม็นเน่าโชยคละคลุ้งไปทั่ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนในเมืองตื่นตระหนก พวกเขารีบขนซากศพที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคไปโยนทิ้งทะเลให้เร็วที่สุดเพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อ แม้ว่าพวกเขาจะทำทุกอย่างที่ควรทำไปหมดแล้ว แต่มาตรการรับมือยุทธการศพบินของมองโกลนั้นกลับไม่ประสบผล โรคระบาดเริ่มแพร่กระจายไปในเมืองคัฟฟา ผู้คนแห่งคัฟฟาทุกข์ทรมาน จนในที่สุดสงครามก็ยุติในปี ค.ศ. 1347 จานี เบกยอมถอนทัพ
แต่แม้ว่าไฟสงครามแห่งประวัติศาสตร์จะสิ้นสุดลง แต่รายการของการสูญเสียนั้นยังไม่จบ พระกาฬยังคงคืบคลานกลืนกินชีวิตของผู้คนในคัฟฟาอย่างไม่หยุดยั้ง จนประชาชนที่เหลืออยู่ของคัฟฟาจำต้องอพยพออกจากเมืองเพื่อหลบหนีไปจากโรคร้าย แต่นั่นกลับทำให้สถานการณ์ยิ่งบานปลายขยายใหญ่โต เพราะกาฬโรคได้แอบแฝงติดไปกับผู้อพยพที่แตกกระสานซ่านเซ็นออกไปในทุกสารทิศ จากคัฟฟาสู่คอนสแตนติโนเปิล แล้วกระจายไปทั่วยุโรปลามไปจนถึงเอเชีย ประมาณการเอาไว้ว่าการระบาดครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตไปมากถึง 75-200 ล้านคน หรือราว 30-60 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในยุโรป ถือเป็นโศกนาฎกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่มีต้นกำเนิดมาจากอาวุธชีวภาพ (ศพติดเชื้อ) และเนื่องจากหลักฐานที่มีทั้งหมดที่ถูกบันทึกไว้โดย กาบรีเอเล เด มุสซี (Gabriele de’ Mussi) บ่งชี้ว่าต้นเหตุของโรคนั้นน่าจะเป็นแบคทีเรีย Yersinia pestis ที่ก่อให้เกิดโรคกาฬโรค
แบคทีเรีย Yersinia pestis ที่ก่อกาฬโรค
ที่มาภาพ : Public Domain via Wikimedia
หายนะครั้งนี้จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น Black Death แปลไทย คือ มรณกรรมสีดำ หรือ กาฬมรณะ และนี่คืออานุภาพที่น่าสะพรึงกลัวของสงครามชีวภาพที่ควบคุมไม่ได้ จนกลายเป็นมหันตภัยร้ายที่คุกคามมนุษยชาติ !!! ชัดเจนว่าหายนะภัยที่เกิดขึ้นจากสมรภูมิคัฟฟาและโศกนาฏกรรม ”กาฬมรณะ“ เป็นบทเรียนที่ทุกคนควรต้องจดจำ ต้องช่วยกันระวังและกีดกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้ แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะเกิดจากยุทธการที่คิดขึ้นมาแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และน่ากลัวจนเกินจินตนาการ แต่แนวคิดในการประทุษร้ายกันทางชีวภาพยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันยังมีแนวคิดมากมายในการใช้เชื้อก่อโรคร้ายแรงมาเป็นอาวุธประหัตประหารศัตรู และเชื้อในอุดมคติที่มักเป็นที่หมายตาของผู้ก่อการร้ายก็คือ เชื้อก่อโรคที่ระบาดได้เร็วหรือสารพิษที่ออกฤทธิ์รุนแรงเป็นวงกว้าง อย่างเช่น ไวรัสฝีดาษ สารพิษแอนแทรกซ์ ไวรัสมาร์เบิก เชื้อคลอสตริเดียม โบทูลินัม เชื้อเหล่านี้แม้จะหาได้ยาก แต่ในบางห้องแล็บที่ทำวิจัยเพื่อศึกษาชีววิทยาของเชื้อเหล่านี้ หรือแม้แต่เพื่อวางแผนและหาวิธีจัดการกับโรคก็ยังอาจจะมีเก็บไว้ ! และนั่นคือสาเหตุที่ทุกแล็บที่ทำงานเกี่ยวกับเชื้อร้ายแรงพวกนี้จำเป็นต้องมีมาตรการ “ความมั่นคงทางชีวภาพ (biosecurity)” เพื่อจัดการความเสี่ยงจากการถูกจารกรรมและการก่อการร้าย และให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครไปแอบขโมยเอาเชื้อร้ายพวกนี้ออกมาใช้ในทางที่ผิด ยิ่งในยุคแห่งชีววิทยาสังเคราะห์ที่นักวิทย์สามารถเขียน แก้ไข และรีบูตจีโนมของเชื้อต่าง ๆ ได้ตามใจปรารถนา การป้องกันจึงไม่ใช่หยุดแค่เชื้อ แม้แต่ข้อมูลทางชีวภาพสำคัญที่เกี่ยวกับพวกมัน เช่น ข้อมูลจีโนม ก็ยังต้องเก็บเอาไว้อย่างมิดชิด อนุญาตให้เข้าถึงได้เพียงแค่นักวิจัยที่เกี่ยวข้องไม่กี่คนเท่านั้น
แม้เชื้อหลายอย่างในแล็บจะไม่อันตรายขนาดเชื้ออาวุธชีวภาพ แต่ถ้าหลุดออกไปอย่างไม่มีการควบคุม บางทีก็อาจจะเป็นความเสี่ยงสาธารณะได้เช่นกัน และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทุกองค์กรต้องมีแนวทางการรักษาความมั่นคงทางชีวภาพ แล้วยังต้องมีมาตรการในการรักษา “ความปลอดภัยทางชีวภาพ (biosafety)” ที่จะช่วยป้องกันการระบาดเชื้อจากห้องแล็บด้วยเช่นกัน เพราะบางทีความสะเพร่าหรือมักง่ายของคนแค่เพียงไม่กี่คนก็อาจสร้างหายนะได้ไม่ต่างจากอาวุธชีวภาพ เคยได้ยินเคสผู้ป่วยหมายเลข 31 ไหมครับ ? เธอคือสาวเกาหลีรุ่นใหญ่ ภาษาไทยทับศัพท์เรียก “อาจุมมา” วิถีชีวิตของอาจุมมานั้นน่าสนใจ
อาจุมมาคือสาวสังคมแห่งเมืองกรุงเต็มตัว เธอเป็นคนมีกิจกรรมเยอะ เธอเข้าโบสถ์ ทักทายผู้คน ขึ้นรถไฟฟ้า เดินห้าง กินบุฟเฟต์ ปัญหาคืออาจุมมาป่วยเป็นโควิด และวิถีชีวิตของอาจุมมาคือปัญหาวิกฤตระดับประเทศ !! ในตอนนั้น ในยุคที่โควิดกำลังเริ่มระบาด มาตรการป้องกันการระบาดเชื้อของเกาหลีในตอนแรกยังคงแน่นหนา อัตราการติดเชื้อรายวันค่อนข้างต่ำ ระบบสาธารณสุขทุกอย่างยังคงเอาอยู่กับจำนวนคนติดที่ไม่มากเท่าไรนัก แทนที่ป่วยแล้วจะกักตัว อาจุมมาจัดเต็มกับทุกกิจกรรมที่เธอชอบทำ ท้ายที่สุดเธอก็โด่งดังในฐานะตัวแพร่เชื้อ หรือซูเปอร์สเปรดเดอร์ (superspreader) อันดับหนึ่งของเกาหลี มีคนติดโรคจากเธอหลายพันคน
ฮวัง ซึง-ซิก (Hwang Seung-sik) นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล (Seoul National University) เผยว่า “ก่อนหน้าผู้ป่วยหมายเลข 31 กลยุทธ์ในการป้องกันไวรัสนั้นยังคงได้ผลอยู่ แต่หลังจากที่มีผู้คนนับไม่ถ้วนติดเชื้อจากผู้ป่วยหมายเลข 31 มันก็ยากมาก ๆ ที่จะควบคุมการระบาดของโรค”
ว่ากันว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อทั้งหมดในเกาหลีในเวลานั้นน่าจะมีส่วนมาจากเธอ ! ผู้ป่วยหมายเลข 31 หรืออาจุมมาแค่เพียงคนเดียวก็ทำให้เกิดสถานการณ์โกลาหลอย่างรุนแรงในเกาหลีได้แล้ว
ย้อนกลับมาที่บทสนทนาของผมกับน้องนักศึกษา เชื้อในห้องแล็บน่ากลัวถึงขนาดต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันเลยหรือ ? คำตอบคือ แต่ละแล็บที่ทำการทดลองต่างกันจะมีระดับของการป้องกันด้านความปลอดภัยทางชีวภาพที่แตกต่างกันไป เรียกว่าเป็น biosafety level หรือ BSL ในเลเ วลต่างๆ ตั้งแต่ 1 ถึง 4 ขึ้นกับเชื้อหรือสารชีวภาพที่เอามาทำการทดลองและกิจกรรมในห้องนั้น
ห้องทดลอง BSL-1 จะมีความเสี่ยงต่อคนและสังคมน้อยที่สุด และ BSL-4 คือห้องสำหรับทดลองเชื้อก่อโรคหรือสารพิษรุนแรง ที่ร้ายกาจและเป็นภัยที่สุดต่อสังคมถ้าหลุดออกมา ซึ่งห้องทดลองในแต่ละเลเวลมีมาตรการป้องกันที่แตกต่างกันไป หมายถึง PPE ที่บังคับให้ใช้ก็จะแตกต่างกันไปด้วยตามเลเวล และเพื่อป้องกันตัวเองก็ควรทำตามมาตรการที่กำหนดไว้ และพอจะออกจากห้องก็ควรเก็บ PPE ให้เรียบร้อยก่อนออกมา เพราะนี่คือความรับผิดชอบต่อสังคม อย่าลืมว่าคนคนเดียวก็สร้างความแตกต่างได้ ดูเคสอาจุมมาหมายเลข 31 เอาไว้เป็นตัวอย่าง