ซีเซียม ธาตุสารพัดประโยชน์

โดย รวิศ ทัศคร


          ซีเซียม (สะกดได้ทั้ง cesium หรือ caesium) เป็นธาตุในหมู่ 1A ซึ่งเป็นหมู่ของโลหะแอลคาไลน์ ค้นพบในปี ค.ศ. 1860 (พ.ศ. 2403) โดย กุสตาฟ เคียร์ช็อฟ (Gustav Kirchhoff) นักฟิสิกส์ชาวปรัสเซีย และโรแบร์ท บุนเซิน (Robert Bunsen) นักเคมีชาวเยอรมัน โดยใช้สเปกโทรสโกปที่พวกเขาเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้น เพื่อศึกษาสเปกตรัมของรังสีที่แผ่ออกมาจากวัตถุที่ได้รับความร้อน และได้ค้นพบธาตุสองชนิด คือ ซีเซียมและรูบิเดียม โดยบุนเซินเองก็เป็นผู้ประดิษฐ์ตะเกียงบุนเซิน (Bunsen burner) อุปกรณ์ห้องแล็บที่พวกนักเรียนสายวิทย์ทุกคนรู้จักคุ้นเคยกันดีอีกด้วย


กุสตาฟ เคียร์ชอฟ (ซ้าย) และโรแบร์ท บุนเซิน (ขวา)
ที่มาภาพ : Public Domain

          ที่ซีเซียมได้รับการตั้งชื่อเช่นนี้เนื่องจากมันมีเส้นสีน้ำเงินในสเปกตรัมของมัน (ในภาษาละติน caecius แปลว่าสีน้ำเงินท้องฟ้า หรือ sky-blue) ซีเซียมมีอยู่ในเปลือกโลกในปริมาณ 7 ส่วนในล้านส่วน ในแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แร่พลอยพอลลูไซต์ (pollucite) แร่โรดิไซต์ (rhodizite) และแร่เลพิโดไลต์ (lepidolite) ซึ่งเป็นแร่ในกลุ่มไมกา ในจำนวนที่กล่าวมานี้ แร่พอลลูไซต์ (Cs4Al4Si9O26∙H2O) เป็นแร่ที่มีซีเซียมมาก มีลักษณะคล้ายควอตซ์ ที่มีแหล่งขนาดใหญ่ในประเทศซิมบับเว

          ซีเซียมเป็นแร่โลหะที่มีสีเงินเหลือบทองจาง ๆ นับเป็นธาตุที่มีไอโซโทปจำนวนมากมายหลากหลายแบบที่สุดธาตุหนึ่งในธรรมชาติพอ ๆ กับแบเรียมและปรอท ในจำนวนนี้มีไอโซโทปที่เป็นสารกัมมันตรังสีที่คนไทยคงรู้จักกันดีอย่างจากข่าวดังในช่วงนี้คือ ซีเซียม-137 (137Cs) ซึ่งเป็นไอโซโทปที่พบมากที่สุด มีค่าครึ่งชีวิต 30.1671 ปี และจะสลายตัวเป็นแบเรียม-137 (Barium-137m) โดยปล่อยรังสีออกมาได้ทั้งรังสีแอลฟาและรังสีบีตา และไอโซโทปที่เสถียร ไม่เป็นสารกัมมันตรังสีอย่างซีเซียม-133 (133Cs) รวมถึงไอโซโทปกัมมันตรังสีที่มีค่าครึ่งชีวิตยาวนานที่สุดของมันอย่างซีเซียม-135 (135Cs) ซึ่งมีค่าครึ่งชีวิต 2.3 ล้านปีเลยทีเดียว

          ซีเซียมเป็นธาตุโลหะที่มีการผลิตออกมาจำนวนไม่มากเพราะมีค่าใช้จ่ายสูงในการแยกให้บริสุทธิ์ เนื่องจากในธรรมชาติมันมักจะพบด้วยกันกับรูบิเดียมเสมอ และยังผสมอยู่กับโลหะแอลคาไลน์ชนิดอื่นอีกด้วย ซึ่งรูบิเดียมเองก็มีความเหมือนกันในทางเคมีกับซีเซียมค่อนข้างมาก กระบวนการแยกพวกมันออกจากกันจึงมีความยุ่งยากทำให้ค่าใช้จ่ายในการผลิตแพง

          อย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันที่มีการใช้งานโรงฟ้าพลังงานนิวเคลียร์กันทั่วโลก ไอโซโทปกัมมันตรังสีของซีเซียมก็อาจเปิดมาจากเครื่องปฏิกรณ์ในฐานะหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิสชันได้ด้วย รวมถึงการเกิดขึ้นของซีเซียม-137 ในการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ทั้งหลายในอดีต ซึ่งส่งผลให้มีซีเซียม-137 ปะปนอยู่ในอากาศ ดิน และน้ำ ในโลกมาหลายสิบปีตั้งแต่การทดลองเหล่านี้ได้ทำขึ้น เพียงแต่อยู่ในระดับที่เมื่อเจือจางแล้วยังไม่ก่ออันตรายแก่มนุษย์อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ที่รับมันเข้าไปทุกวัน

          ซีเซียมเป็นธาตุโลหะแอลคาไลน์เหมือนโซเดียมกับโพแทสเซียม ไอออนของมันมีความสามารถในการละลายในน้ำสูง เสี่ยงต่อการสะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศทั้งในทะเลและในน้ำจืด ซึ่งอาจส่งผลต่อมาถึงมนุษย์เมื่อบริโภคพืชและสัตว์ รวมถึงดื่มน้ำที่ปนเปื้อนซีเซียมเข้าไป การได้รับมันเข้าไปนาน ๆ จึงอาจมีการสะสมอยู่ในเนื้อเยื่ออ่อนตั้งแต่ต่อมไทรอยด์ ปอด เต้านม และไขกระดูกของมนุษย์ได้ ส่งผลได้เช่นเดียวกับการได้รับรังสีจากแหล่งรังสีภายนอก ทำให้เกิดเนื้องอกหรือมะเร็งจากรังสีได้ และอาจมีกระบวนการกลายพันธุ์เกิดขึ้นในเซลล์สืบพันธุ์

เหมือนจะน่ากลัว แต่ก็มีประโยชน์ใช้งานมากมาย

          ช่วงนี้คนไทยโดยทั่วไปดูจะหวาดระแวงเจ้าซีเซียม-137 กันมาก แม้ไอโซโทปกัมมันตรังสีของมันมีพิษภัยก็จริง แต่อันที่จริงแล้วธาตุโลหะชนิดนี้มีประโยชน์ในการใช้งานหลากหลายทีเดียว ตัวอย่างเช่น ใช้ซีเซียม-137 เป็นแหล่งรังสีแกมมาในการฉายรังสีอาหารเพื่อฆ่าเชื้อก่อโรค แต่ใช้ไม่มากนัก (อีกแหล่งที่มีการใช้งานมากกว่าคือโคบอลต์-60) หรือใช้สร้างอุปกรณ์ที่แปลงพลังงานความร้อนเป็นพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรงอย่าง thermionic power converters ที่ใช้งานอย่างกว้างขวางในยานอวกาศและยานสำรวจต่าง ๆ โดยอาศัยความร้อนที่เกิดจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์มากำเนิดไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีการสร้างโลหะผสมระหว่างโซเดียม-โพแทสเซียม-ซีเซียม (NaKCs) ซึ่งมีจุดหลอมเหลวต่ำนำไปใช้ในงานต่าง ๆ ได้ ซีเซียมยังมีการใช้งานเชิงการแพทย์ด้านรังสีบำบัดเพื่อรักษามะเร็ง รวมถึงใช้ในการสร้างนาฬิกาอะตอมที่แม่นยำที่สุดในปัจจุบันอีกด้วย


นาฬิกาอะตอมจากซีเซียม ที่ห้องปฏิบัติการของสถาบันมาตรวิทยาแห่งเยอรมนี (Physikalisch-Technische Bundesanstalt: PTB)
มีค่าความคลาดเคลื่อนที่ 1 วินาทีในสองล้านปี

          ในส่วนของพลังงานทางเลือก ซีเซียมยังใช้ผลิตโซลาร์เซลล์เนื่องจากมีพลังงานไอออไนเซชัน(ionization energy) ต่ำ นำไปใช้เป็นธาตุที่เพิ่มประสิทธิภาพของวัสดุทำโซลาร์เซลล์ ด้วยการทำกระบวนการเจือด้วยซีเซียม (cesium doping) ให้แก่เซลล์แสงอาทิตย์แบบเพอรอฟสไคต์ (perovskite solar cells) แบบฟิล์มบาง ซึ่งใช้แร่เพอรอฟสไคต์เป็นตัวดูดซับแสง ปัจจุบันได้รับความสนใจอย่างมากว่าจะเป็นเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ที่จะใช้ในอนาคต โดยดึงให้มีประสิทธิภาพได้สูงถึงร้อยละ 23.7 โซลาร์เซลล์ชนิดนี้มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าแบบซิลิคอน แต่ยังต้องพัฒนาความทนทาน เพราะไม่ทนความชื้นและออกซิเจน

          ในส่วนของงานอุตสาหกรรมอื่น ๆ นั้นก็มีการนำสารประกอบซีเซียมไปใช้งาน อย่างเช่น ซีเซียมโบรไมด์ ใช้ผลิตตัวตรวจวัดการแผ่รังสี (radiation detector) และอุปกรณ์การวัดอื่น ๆ เช่น เครื่องวัดการไหลของของเหลว เครื่องวัดความหนาของวัสดุ

ตรวจวัดไอโซโทปต่าง ๆ ของซีเซียมทั้งในสิ่งแวดล้อมและอาหารได้ไหม

          เมื่อกล่าวถึงอันตรายของไอโซโทปของธาตุซีเซียมที่เป็นสารกัมมันตรังสี บางทีเราก็อาจจะอยากทราบว่ามีวิธีอะไรบ้างที่ใช้ในการตรวจวัดไอโซโทปเหล่านี้ได้ อันที่จริงแล้ววิธีวิเคราะห์หาไอออนของซีเซียมในห้องปฏิบัติการก็มีหลายวิธีด้วยกัน เช่น inductively coupled plasma optical mass spectrometry (ICP-MS), X-ray fluorescence spectroscopy (XRF) และ fluorescent molecular chemosensors

          ในการวิเคราะห์ที่ใช้เครื่องไม้เครื่องมือสำหรับใช้วิเคราะห์โดยละเอียดในห้องปฏิบัติการเหล่านั้น อาจจะดีในแง่ของความแม่นยำ แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงและต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือ ประกอบกับมีความต้องการเครื่องมือที่ช่วยให้ตรวจวิเคราะห์ได้ง่ายและรู้ผลรวดเร็วในการปฏิบัติงานภาคสนาม  จึงมีความพยายามพัฒนาวิธีทดสอบให้ทราบผลแบบเร็วขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเร็ว ๆ นี้มีผู้พัฒนาวิธีการที่มีค่าใช้จ่ายไม่แพงในการทดสอบซีเซียมที่ปนเปื้อนมากับน้ำและตัวอย่างที่เป็นของเหลวต่าง ๆ โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่าแร่ในกลุ่มเพอรอฟสไคต์ซึ่งประกอบด้วยซีเซียม ตะกั่ว และโบรไมด์ อย่าง CsPbBr3 นั้นเป็นวัสดุที่เปล่งแสงได้หลังจากการดูดกลืนพลังงานจากรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า (photoluminescent material) และมีคุณสมบัติด้านโฟโตอิเล็กทริก (photoelectric effect) แต่ผลึกขนาดนาโนของเพอรอฟสไคต์นั้นไวต่อความชื้นและอากาศทำให้โครงสร้างของมันเสียหาย และสมบัติในการเรืองแสงหมดไปได้ จึงมีคณะผู้วิจัยจากวิทยาลัยเคมี มหาวิทยาลัยเสฉวน ประเทศจีน เสนอว่าของเหลวจำพวกไอออน (ionic liquids: ILs) เป็นตัวกลางที่ดีในการทำให้เกิดการตกผลึกนาโนคริสตัลของเพอรอฟสไคต์ แต่ถ้านำมาใช้งานอาจจะต้องการแผ่นเยื่อมาเป็นโครงร่างให้ ILs เกาะ ให้เป็นวัสดุที่เรียกว่า hybrid ionic liquid membranes (HILM) โดยวัสดุพวกนี้มีใช้อยู่แล้วในงานด้านการแยกก๊าซและการดูดซึมสารต่าง ๆ ผู้วิจัยจึงได้ไอเดียว่าเยื่อที่มีเส้นใยพอลิเมอร์จำนวนมากพวกนี้น่าจะเป็นพื้นผิวให้ผลึกมาเกาะได้เป็นอย่างดีในขณะที่ส่วนของ ILs ทำหน้าที่เป็นรีเอเจนต์และตัวกลางในการเกิดปฏิกิริยา น่าจะทำให้เกิดการตกผลึกนาโนคริสตัลของเพอรอฟสไคต์ได้อย่างรวดเร็วบน HILM

          คณะวิจัยจึงผสม 1-octyl-3-methyl-imidazolium bromide (C8mimBr) กับ PbBr2 และนำเยื่อกระดาษที่เตรียมไว้มาชุบ จนได้ HILM ออกมา จากนั้นจึงนำมาทดสอบกับน้ำทะเลที่ปนเปื้อนด้วยซีเซียมโดยนำมาหยดลงไปเพื่อให้เกิดการตกผลึกนาโนของเพอรอฟสไคต์ แล้วส่องด้วยแสง UV ที่ความยาวคลื่น 365 นาโนเมตร พบว่ามีการเรืองแสงของผลึกนาโนคริสตัลของเพอรอฟสไคต์ CsPbBr3 เกิดขึ้นจริง ๆ วิธีนี้จึงน่าสนใจในฐานะวิธีทดสอบการปนเปื้อนของซีเซียมไอออนในตัวอย่างต่าง ๆ ที่มีค่าใช้จ่ายไม่แพง[1]

          สำหรับในอาหารนั้น หลังจากเกิดเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ (Fukushima Daiichi Nuclear Power Plant) ถูกคลื่นสึนามิถล่มหลังเกิดแผ่นดินไหวระดับ 9 ที่ญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 2011 หรือเมื่อ 12 ปีก่อน จนเกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี (รวมถึงซีเซียม-137) จากโรงไฟฟ้าจนทำให้ต้องมีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่กว่า 150,000 คน จึงมีการกำหนดวิธีการทดสอบวัดหานิวเคลียสของสารกัมมันตรังสีในอาหารโดยวิธีสเปกโทรเมทรีเพื่อวัดรังสีแกมมา (gamma ray spectrometry) โดยใช้อุปกรณ์หัววัดเจอร์เมเนียม (germanium detector) ซึ่งมีโครงสร้างเป็นไดโอดสารกึ่งตัวนำที่มีความไวสูงกับไอออนรังสี รังสีเอกซ์ และรังสีแกมมา (อ่านหลักการทำงาน) อุปกรณ์นี้เดิมใช้กันมากในงานด้านนิวเคลียร์ฟิสิกส์ ในการศึกษาโดยใช้เทคนิคเอกซเรย์สเปกโทรสโกปี (x-ray spectroscopy) รวมทั้งในงานด้านอาหารก็ใช้ตรวจวัดสารกัมมันตรังสีในอาหารกันอย่างแพร่หลาย ตามวิธีของ International Organization for Standardization (ISO 11929-2019)[2]


อุปกรณ์หัววัดเจอร์เมเนียม

ถ้ามีการปนเปื้อนของซีเซียมในน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมหรือแหล่งอื่น ๆ เราจะมีวิธีในการบำบัด หรือกำจัดการปนเปื้อนอย่างไร ?

          ซีเซียม-137 ใช้เป็นแหล่งรังสีแกมมาในเครื่องมือต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย โดยอาจบรรจุในแคปซูลในรูปของเม็ดซีเซียมคลอไรด์ สำหรับกรณีการปนเปื้อนในสถานที่ทั่วไป ถ้ามีการปนเปื้อนปริมาณน้อยจากแหล่งเก็บลงบนพื้นผิว ควรดูดด้วยเครื่องดูดฝุ่นก่อนจะใช้กระบวนการเช็ดเปียกและล้างหลาย ๆ รอบด้วยน้ำ ในกรณีของพื้นผิวที่เป็นแก้ว ซีเซียมจะถูกดูดซึมเข้าไปบนพื้นผิวแก้วได้จึงควรระวังในจุดนี้

       สำหรับในเชิงอุตสาหกรรม การเอาซีเซียม-137 ออกจากน้ำ โดยเฉพาะการบำบัดน้ำเสียที่ปนเปื้อนด้วยสารกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟิสชันหรือจากพวกอุตสาหกรรมผลิตโลหะและเหล็กกล้า อาจจะใช้วิธีกรองผ่านไส้กรองชนิดต่าง ๆ ที่ใช้ในกระบวนการรีเวิร์สออสโมซิส คอลัมน์แลกเปลี่ยนไอออน วิธีการตกตะกอนร่วม (co-precipitaion method) กระบวนการระเหย หรือใช้วัสดุประเภทแร่ดินเหนียว (clay minerals) ต่าง ๆ อาทิ ซีโอไลต์ (zeolite) เบนโทไนต์ (bentonite) เวอร์มิคูไลต์ (vermiculite) มอนต์มอริลโลไนต์ (montmorillonite) มาดูดซับเอาซีเซียมออกไป แต่ก็มีข้อจำกัดคือจะมีการแข่งขันกันของไอออนโซเดียม ไอออนโพแทสเซียม และซีเซียม ในการเข้าจับที่จุดที่มีการดูดซับ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพต่ำลงไป

          วิธีการตกตะกอนร่วม (co-precipitaion method) ที่เคยมีผู้เสนอไว้[3] อาศัยโพแทสเซียมเฟอร์โรไซยาไนด์ (K4[Fe(CN)6]), นิกเกิลไนเตรต (Ni(NO3)2) และไอออนซัลเฟต (FeSO4) มาช่วยทำให้ซีเซียมตกตะกอนออกมาจากน้ำ ตามสมการต่อไปนี้

137Cs+ + K4Fe(CN)6 + Ni(NO3)2 → CsxNixFe(CN)6

137Cs+ + K4Fe(CN)6 + FeSO4 → CsxFex[Fe(CN)6]x

          เมื่อได้ตะกอนแล้วก็แยกเอาตะกอนที่มีซีเซียมออกไปจากน้ำได้ โดยอาจจะใช้การแยกของแข็ง/ของเหลว การกรองที่กรองอนุภาคขนาด 11 ไมครอนได้

          นอกจากนี้ยังมีความพยายามพัฒนาวัสดุกรองให้ดีขึ้น[4] โดยพบว่าหากใช้เยื่อกรองที่มีการผสมสารอะไมลอยด์ (amyloid) หรือเส้นใยอะไมลอยด์ (amyloid fibrils) ซึ่งเตรียมขึ้นจากโปรตีนหางนมร่วมกับถ่านกัมมันต์ (active charcoal) นำมากรองน้ำปนเปื้อนซีเซียม-137 จะลดปริมาณการแผ่รังสีของซีเซียม-137 ในตัวอย่างที่เป็นวัฏภาคน้ำลงไปได้ถึง 340 เท่าทีเดียว

          อันที่จริงแล้ววิธีการและสารต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในการบำบัดก็ยังมีอีกมากมายหลายอย่างนอกเหนือจากที่กล่าวมา ผู้สนใจสามารถอ่านเพิ่มได้ในบทความรีวิวตามลิงก์ครับ 

เราควรกังวลเรื่องซีเซียม-137 ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อเร็ว ๆ นี้มากน้อยเพียงใด

          ความเป็นพิษของสารกัมมันตรังสีขึ้นกับปริมาณที่มนุษย์และสัตว์ทดลองต่าง ๆ ได้รับ คำถามคือ ระดับการปนเปื้อนของซีเซียม-137 ต้องน้อยขนาดไหนจึงจะถือว่ายอมรับได้ ซึ่งสำหรับมนุษย์แล้ว คณะกรรมาธิการกำกับดูแลนิวเคลียร์แห่งสหรัฐอเมริกา (United States Nuclear Regulatory Commission: U.S.NRC) ได้ตั้งข้อกำหนดไว้ว่าจะยอมให้มีซีเซียม-137 ปะปนในอากาศในที่ทำงานได้ไม่เกิน 4X10-8 ไมโครคูรีต่อมิลลิลิตร (mCi/ml) สำหรับไอโซโทปซีเซียม-134 และ 6X10-8 ไมโครคูรีต่อมิลลิลิตร (หรือเท่ากับ 2.22X10-15 เทอร์ราเบ็กเคอเรลต่อมิลลิลิตร (TBq/ml)) สำหรับไอโซโทปซีเซียม-137  สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (Environmental Protection Agency: EPA) ได้ตั้งค่าปริมาณซีเซียมที่ยอมให้มีได้ในน้ำดื่ม ว่าไม่ให้มีเกิน 80 พิโคคูรีต่อลิตร (pCi/L) สำหรับซีเซียม-134 และ 200 พิโคคูรีต่อลิตร สำหรับซีเซียม-137 เพื่อไม่ให้เกิน 4 มิลลิเรม (ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ)

          ทั้งนี้หน่วยคูรี (Curie, Ci) เป็นหน่วยวัดกัมมันตภาพ (activity) ของสารกัมมันตรังสี โดย 1 คูรี จะเป็นการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีทั้งหมด 3.7X1010 นิวเคลียสต่อวินาที (หรือ 3.7X1010 เบ็กเคอเรล) เท่ากับอัตราการสลายตัวของธาตุเรเดียม 1 กรัม สำหรับ ซีเซียม-137 แต่ละกรัมจะมีกัมมันตภาพ 3.215 เทอร์ราเบ็กเคอเรล

          ดังนั้นถ้าตามข้อมูลด้านบน อากาศแต่ละมิลลิลิตร (1X10-6 m3) จะต้องมีซีเซียม-137 ไม่ควรเกิน 6.9X10-16 กรัม ถ้าหากคิดปริมาตรอากาศบริเวณโดยรอบโรงงานในปริมาตรครึ่งทรงกลมที่มีรัศมี 1000 เมตร จะได้ปริมาตร 2,094,395,102.39 m3 แปลว่ามวลอากาศปริมาณโดยรอบรัศมี 1 กิโลเมตรนี้ควรจะมีซีเซียม-137 ปนอยู่ไม่เกิน 1.445 กรัม จึงจะอยู่ในข้อกำหนดความปลอดภัยดังกล่าว จากข้อมูลหลายแหล่งที่มีผู้คำนวณไว้มีการคำนวณสารกัมมันตรังสีที่คงเหลืออยู่ในหลอดเก็บสารได้ 0.505 มิลลิกรัมบ้าง* หรือ 0.488 มิลลิกรัมบ้าง** ถ้าดูจากตัวเลขเหล่านี้ หากปริมาณของซีเซียมที่เหลืออยู่ในกระบอกจะฟุ้งกระจายในอากาศในรัศมี 1 กิโลเมตรโดยรอบโรงงาน ก็ถือว่ายังน้อยกว่าปริมาณ 1.445 กรัม มาก ๆ นอกจากนี้ซีเซียมที่เหลืออาจจะหลอมรวมกับเหล็กหรือจับอยู่กับฝุ่นที่ไม่ฟุ้งกระจาย ซึ่งทำให้การปนเปื้อนมีวงจำกัดเฉพาะพื้นที่ขนาดเล็กเท่านั้น ก่อนหน้าที่บทความนี้จะออก ก็คงจะมีการกล่าวถึงประเด็นนี้ในข่าวต่าง ๆ ไปแล้ว จากการคำนวณตามตัวเลขจริง ผู้อ่านจึงสามารถคลายความกังวลเรื่องการปนเปื้อนในวงกว้างไปได้ครับ

          ผู้เขียนหวังว่าบทความในตอนนี้จะให้สาระความรู้เกี่ยวกับซีเซียมแก่ทุกท่านตามสมควร บทความในตอนถัดไปเราจะกลับมาคุยกันต่อเรื่องการสกัดนะครับ พบกันใหม่ฉบับหน้า


แหล่งข้อมูลออนไลน์

เอกสารอ้างอิง

  1. Fu, J., Zhang, L., Wang, S. L., Yuan, W. L., Zhang, G. H., Zhu, Q. H., … & Tao, G. H. (2022). Ultralow-cost portable device for cesium detection via perovskite fluorescence. Journal of Hazardous Materials, 425,
  2. Yamada, T., Furutaka, K., Hachinohe, M., & Hachisuka, A. (2023). Applicability of non-destructive equipment for radioactivity measurement to screening radio-cesium in foods. Applied Radiation and Isotopes,
  3. Sopapan, P., Lamdab, U., Akharawutchayanon, T., Issarapanacheewin, S., Yubonmhat, K., Silpradit, W., … & Prasertchiewchan, N. (2023). Effective removal of non-radioactive and radioactive cesium from wastewater generated by washing treatment of contaminated steel ash. Nuclear Engineering and Technology, 55(2), 516-522.
  4. Chiera, N. M., Bolisetty, S., Eichler, R., Mezzenga, R., & Steinegger, P. (2021). Removal of radioactive cesium from contaminated water by whey protein amyloids–carbon hybrid filters. RSC advances, 11(51), 32454-32458.

About Author