ปี ค.ศ.2021 ครบรอบ 401 ปี John Graunt บิดาแห่งประชากรศาสตร์โลกชาวอังกฤษ (24 เมษายน ค.ศ.1620 – 18 เมษายน ค.ศ.1674) ในฐานะผู้ริเริ่มศึกษาด้านประชากรศาสตร์ ซึ่งรวมถึงความยืนยาวของชีวิตของประชากร โดยใช้ข้อมูลอย่างเป็นระบบครั้งแรก
จากการเริ่มต้นศึกษาด้านประชากรศาสตร์ของ John Graunt ได้ทำให้การศึกษาวิจัยโครงสร้างทางประชากรนับเป็นมิติที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งในส่วนของประเทศไทย มหาวิทยาลัยมหิดล โดย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ถือเป็นบทบาทที่สำคัญยิ่งในฐานะที่เป็น “ปัญญาของแผ่นดิน” ตามปณิธานของมหาวิทยาลัยมหิดล และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ SDGs แห่งสหประชาชาติ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์
อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์ อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในทีมวิจัยในมิติ “โครงสร้างประชากรและสังคม” ในโครงการระดับชาติ “Future Thailand” ซึ่งขับเคลื่อนโดย สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า ในการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ.2566 – 2570) จำเป็นต้องมีการศึกษาโครงสร้างประชากรและสังคม เพื่อให้สามารถวางแผนการพัฒนาได้อย่างตอบโจทย์และตรงจุด โดยเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าแนวโน้มโครงสร้างประชากรทั่วโลกเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ มีอัตราการเกิดต่ำลง และมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น จึงกลายเป็นโจทย์ให้เกิดการเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากรสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งวิกฤติ COVID-19
ซึ่งประเด็นที่มุ่งศึกษา คือ “โครงสร้างครัวเรือน” โดยพบว่าโครงสร้างครัวเรือนไทยในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ไม่ได้เป็นเพียง “ครัวเรือนในอุดมคติ” ที่มีพ่อแม่ลูกพร้อมหน้า โดยพ่อแม่เป็นฝ่ายดูแลลูก แต่จะเปลี่ยนไปตามสภาพสังคม และความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ที่มีทั้ง “ครัวเรือนพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว” ที่มีพ่อหรือแม่เพียงคนเดียวคอยดูแลลูก “ครัวเรือนข้ามรุ่น” ที่มีเด็กอยู่กับผู้สูงอายุ ไปจนถึง “ครัวเรือนไม่พร้อมหน้า” ที่อาจไม่มีทั้งพ่อและแม่ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่ออนาคตของเด็กที่จะเติบโตไปเป็นประชากรที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคต
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์ กล่าวต่อไปว่า อนาคตประเทศไทยจะพ้นกับดักทางเศรษฐกิจและสังคมหรือไม่นั้น จะต้องมีการสร้าง “นวัตกรรมทางสังคม” หรือ กลไกที่จะมาช่วยให้เศรษฐกิจและสังคมไทยสามารถขับเคลื่อนไปสู่จุดที่ดีขึ้น ซึ่งคาดว่าอีกประมาณ 2 ปี สังคมไทยจะกลายเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์” (Complete-aged society) และครอบครัวไทยจะตกที่นั่งลำบาก หากไม่สามารถจัดสรรทรัพยากรมาดูแลและทำให้เกิดการปรับตัว ซึ่งการเตรียมตัวจะต้องเริ่มตั้งแต่ก่อนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ทั้งด้านสุขภาพร่างกาย และสุขภาพทางการเงิน โดยไม่ลืมที่จะส่งเสริมการพัฒนาคุณค่าทางสังคม และสร้างกระบวนการการเรียนรู้อย่างยั่งยืน หรือ Lifelong learning เพื่อพัฒนาศักยภาพของประชากรให้สามารถสร้างรายได้ รวมทั้งให้เกิดการปรับตัวพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้
ในฐานะที่เป็น “ปัญญาของแผ่นดิน” มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการสร้างองค์ความรู้ทางประชากรและสังคม เพื่อให้สามารถข้ามผ่านกับดักทางเศรษฐกิจและสังคม สู่อนาคตที่ดีของประเทศไทยต่อไป
ติดตามข่าวสารที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ที่ www.mahidol.ac.th
สัมภาษณ์ และเขียนข่าวโดย
ฐิติรัตน์ เดชพรหม
นักประชาสัมพันธ์ (ชำนาญการ) งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป
สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โทร. 0-2849-6210