โดย พงศธร กิจเวช (อัฐ)
Facebook: คนดูดาว stargazer
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เพอร์เซียส (Perseus) วีรบุรุษหนุ่มชาวกรีก ได้เดินทางไปสังหารปีศาจเมดูซ่า (Medusa) ที่เป็นผู้หญิง มีผมเป็นงู หากใครได้จ้องตาแล้วจะกลายเป็นหิน
ภาพประติมากรรมบรอนซ์รูปเพอร์เซียสกับหัวเมดูซ่า
โดย Benvenuto Cellini ศิลปินชาวอิตาลี ปี พ.ศ. 2088-2098 เพอร์เซียสใส่รองเท้ามีปีกของเฮอร์มีส
ที่มา Wikipedia https://en.wikipedia.org/wiki/Medusa
เทพเจ้าต่างๆ พากันช่วยเหลือเพอร์เซียส หนึ่งในนั้นคือเฮอร์มีส (Hermes) เทพเจ้าแห่งการสื่อสาร การเดินทาง และการค้า ได้ให้เพอร์เซียสยืมรองเท้ามีปีก ทำให้เพอร์เซียสเหาะได้
ชาวโรมันเรียกเฮอร์มีสว่า เมร์คูรียุส (Mercurius) หรือ เมอร์คิวรี (Mercury)
ภาพวาดเฮอร์มีสบนถ้วยศิลปะกรีก 480-470 ปีก่อนคริสตกาล
ที่มา Wikipedia https://en.wikipedia.org/wiki/Hermes
ภาษาอังกฤษคำว่า Mercury แปลว่า ดาวพุธ เป็นที่มาของวันพุธ
คำว่า mercury (m ตัวเล็ก) ยังแปลว่า ปรอท เนื่องจากปรอทเป็นธาตุที่มีความไวต่ออุณหภูมิ จึงนำมาใช้ทำเทอร์โมมิเตอร์ (thermometer) สำหรับวัดอุณหภูมิ ความไวของปรอทเปรียบเหมือนความไวของเทพเมอร์คิวรี และมีสำนวนไทยว่า “ไวเป็นปรอท”
Mercury ยังเป็นรากศัพท์ของคำว่า merchant (พ่อค้า) และ commerce (การค้า)
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเฮอร์มีสหรือเมอร์คิวรีคือมีไม้คาดูเซียส (caduceus) เป็นไม้เท้ามีงู 2 ตัว พันอยู่ บางครั้งมีปีกที่หัวไม้ด้วย
ภาษาอังกฤษของวันพุธคือ Wednesday มาจากภาษาอังกฤษสมัยเก่าว่า Wōdnesdæg และภาษาอังกฤษสมัยกลางว่า Wednesdei หมายถึงวันของเทพโวเดน (Woden) หรือโอดิน (Odin) เทพเจ้าของชาวไวกิง (Viking) หรือชาวนอร์ส (Norse) ในดินแดนสแกนดิเนเวีย (Scandinavia) ทางตอนเหนือของทวีปยุโรป
โวเดนหรือโอดินอาจเทียบเคียงกับเทพเฮอร์มีสของกรีกหรือเทพเมอร์คิวรีของโรมัน
ในทางดาราศาสตร์ดาวพุธเป็นดาวเคราะห์ที่เล็กที่สุดและอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดในระบบสุริยะ (58 ล้าน กิโลเมตร) ดาวพุธมีขนาดใหญ่กว่าดวงจันทร์ของโลกเพียงเล็กน้อย (ดาวพุธเล็กกว่าโลกประมาณ 3 เท่า) และมีลักษณะเหมือนดวงจันทร์คือเป็นลูกหิน มีหลุมอุกกาบาต และมีอากาศเบาบาง
ถ้าเราอยู่บนดาวพุธจะเห็นดวงอาทิตย์ใหญ่กว่าบนโลก 3 เท่า
ภาพดาวพุธ ถ่ายโดยยานอวกาศ MESSENGER เมื่อปี พ.ศ. 2551
ที่มา NASA https://photojournal.jpl.nasa.gov/catalog/PIA11245
แม้ว่าจะใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด แต่ดาวพุธกลับไม่ใช่ดาวเคราะห์ที่มีอุณหภูมิร้อนที่สุดในระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ที่ร้อนที่สุดในระบบสุริยะคือดาวศุกร์ เนื่องจากดาวศุกร์มีเมฆหนา เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกหรือปรากฏการณ์ดาวศุกร์ร้อน (เหมือนโลกร้อน) ทำให้ดาวศุกร์มีอุณหภูมิที่พื้นผิวสูงมากถึง 480 องศาเซลเซียส ขณะที่ดาวพุธด้านที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิ 430 องศาเซลเซียส แต่อีกด้านที่ไม่ได้รับแสงอาทิตย์มีอุณหภูมิต่ำถึง -180 องศาเซลเซียส ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากดาวพุธไม่มีชั้นบรรยากาศที่หนาพอที่จะรักษาอุณหภูมิให้คงที่ทั่วทั้งดาวได้
ดาวพุธไม่มีดวงจันทร์บริวาร และไม่มีวงแหวน
ดาวพุธหมุนรอบดวงอาทิตย์ (1 ปีบนดาวพุธ) ใช้เวลา 88 วันบนโลก เร็วที่สุดในระบบสุริยะ แต่หมุนรอบตัวเองช้าคือรอบละ 59 วันบนโลก
1 วัน (solar day ครบรอบกลางวันกลางคืน เห็นดวงอาทิตย์วนกลับมาตำแหน่งเดิม) บนดาวพุธนานถึง 176 วันบนโลก หรือพูดอีกอย่างว่า 1 วันบนดาวพุธ นานเท่ากับ 2 ปีบนดาวพุธ อาจฟังดูแปลกว่าบนดาวพุธ 1 วัน นานกว่า 1 ปี ถึง 2 เท่า ทั้งนี้เนื่องจากดาวพุธหมุนรอบตัวเองช้านั่นเอง
เราสามารถมองเห็นดาวพุธได้ด้วยตาเปล่า (ความสว่างปรากฏสูงสุด -2) เมื่อมองจากบนโลก ดาวพุธจะอยู่สูงจากขอบฟ้าไม่เกิน 28 องศา (จะไม่สามารถเห็นดาวพุธอยู่กลางศีรษะได้) บางวันจะเห็นดาวพุธในช่วงหัวค่ำ หรือบางวันจะเห็นดาวพุธช่วงเช้ามืด (จะไม่สามารถเห็นดาวพุธตอนดึก)
ยกตัวอย่างเช่น ปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 ถึงกลางเดือนมกราคม พ.ศ. 2565 จะเห็นดาวพุธตอนหัวค่ำทางทิศตะวันตก ปลายเดือนมกราคม พ.ศ. 2565 จะมองไม่เห็นดาวพุธ หลังจากนั้นต้นเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 จะเห็นดาวพุธช่วงเช้ามืดทางทิศตะวันออก
วันที่จะเห็นดาวพุธอยู่บนท้องฟ้านานที่สุดคือวันที่เห็นดาวพุธอยู่ห่างดวงอาทิตย์มากที่สุด ครั้งต่อไปคือวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2565
เมื่อใช้กล้องดูดาวที่มีกำลังขยายมากกว่า 100 เท่า ส่องดาวพุธ จะสามารถเห็นดาวพุธเป็นเสี้ยวเหมือนดวงจันทร์
ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับดาวพุธคือ ดาวพุธผ่านหน้าดวงอาทิตย์ (transit of Mercury) ครั้งล่าสุดที่เห็นในประเทศไทยคือวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 และครั้งต่อไปคือ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2575
หมายเหตุ ทับศัพท์ Perseus เป็น เพอร์เซียส ตามหลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอังกฤษของราชบัณฑิตยสถาน