เรื่องโดย ชาลินี คงสวัสดิ์ และ จินตนา จันทร์เจริญฤทธิ์
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเทคโนโลยีชีวภาพซึ่งมีบทบาทสำคัญในด้านการแพทย์ เกษตรกรรม และสิ่งแวดล้อม การนำองค์ความรู้ทางพันธุกรรมมาใช้พัฒนาเทคโนโลยี เช่น เทคโนโลยี CRISPR ในการตัดต่อยีน เครื่องมือชีววิทยาที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร หรือป้องกันบำบัดรักษาโรคที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในภาพรวม
ขณะที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างก้าวกระโดด กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกลับไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ส่งผลให้การนำผลงานวิจัยไปใช้ในเชิงพาณิชย์เป็นไปอย่างล่าช้า ปัญหานี้เปรียบเสมือน “หุบเขาแห่งความตาย” (valley of death) ที่เป็นอุปสรรคคั่นกลางระหว่างการส่งต่อเทคโนโลยีจากการพัฒนาไปสู่การใช้งานจริง ทำให้เกิดการสูญเสียทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งยังอาจเกิดผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ใช้และสิ่งแวดล้อมเนื่องจากขาดการควบคุมที่เพียงพอ
การพัฒนากฎระเบียบหรือกฎหมายเพื่อกำกับดูแลเทคโนโลยีใหม่ ๆ จำเป็นต้องมีการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบและรัดกุม หน่วยงานที่รับผิดชอบในการกำกับดูแล (regulator) ควรได้รับการสนับสนุนข้อมูลทางเทคนิคจากหน่วยงานหรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ในเทคโนโลยีดังกล่าว เพื่อกำหนดกรอบการประเมินความเสี่ยงและควบคุมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม การมีกฎระเบียบที่ชัดเจนจะช่วยควบคุมการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบด้านความปลอดภัยและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
การสร้างสะพานข้ามหุบเขาแห่งความตายจากการที่กฎหมายไม่ทันต่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยี จำเป็นต้องมีการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีชีวภาพ พร้อมทั้งวิเคราะห์ความพร้อมของกฎหมายในการกำกับดูแลการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านั้น ในกรณีที่พบว่าเทคโนโลยีนั้น ๆ ยังไม่มีการกำหนดกฎระเบียบที่ชัดเจน หรือขาดแนวทางการพิจารณาด้านเทคนิคที่เหมาะสม ก็ควรพัฒนาแนวทางปฏิบัติในการประเมินความเสี่ยงของเทคโนโลยีและข้อเสนอแนวทางกำกับดูแล เพื่อใช้เป็นข้อมูลทางเทคนิควิชาการให้การวิจัยและพัฒนา รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่เป็นไปอย่างปลอดภัย
ตัวอย่างการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว สืบเนื่องจากการที่ประเทศไทยอนุญาตให้มีการนำเข้าข้าวโพดและถั่วเหลืองดัดแปลงพันธุกรรม (หรือจีเอ็มโอ, genetically modified organisms: GMOs) เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ ส่งผลให้ประชากรไทยมีโอกาสบริโภคอาหารจากจีเอ็มโอที่ไม่ได้ผ่านการประเมินความปลอดภัยจากหน่วยงานรับผิดชอบภายในประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ต้องมีหน่วยงานที่เข้ามาทำหน้าที่พัฒนากลไกการประเมินความปลอดภัยและกำกับดูแลอาหารที่ได้จากจีเอ็มโอ โดยครอบคลุมการจัดทำแนวทางปฏิบัติในการประเมินความปลอดภัยทางชีวภาพด้านอาหารของอาหารที่ได้จากพืช สัตว์ และจุลินทรีย์ดัดแปลงพันธุกรรม การพัฒนาผู้เชี่ยวชาญในการประเมินความปลอดภัยของอาหารจีเอ็มโอ และการนำแนวทางปฏิบัติที่พัฒนาขึ้นไปจัดทำเป็นประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 431) พ.ศ. 2565 ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2552 เรื่อง อาหารที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม รวมถึงการพัฒนากลไกในการขึ้นทะเบียนอาหารจากจีเอ็มโอ
อีกหนึ่งตัวอย่างเป็นการดำเนินงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม (genome editing technology) ซึ่งเป็นเทคนิคในการปรับเปลี่ยนและแก้ไขรหัสพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตที่มีความจำเพาะและแม่นยำ สามารถพัฒนาสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืช ให้มีลักษณะตามต้องการโดยไม่มียีนจากสิ่งมีชีวิตอื่นเหลือหลังจากพัฒนาเสร็จแล้ว หลายประเทศจึงมีกฎระเบียบหรือกฎหมายไม่จัดสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม โดยประเทศที่มีกฎระเบียบดังกล่าวชัดเจนจะมีงานวิจัยภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและดึงดูดการลงทุน
สำหรับประเทศไทยหากยังไม่มีกฎระเบียบที่ชัดเจนเกี่ยวกับเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม อาจทำให้หน่วยงานให้ทุนและภาคเอกชนขาดความมั่นใจ จนนำไปสู่การสูญเสียโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยและการลงทุน ซึ่งการที่ประเทศจะมีกฎระเบียบดังกล่าวนั้นต้องมีหลักเกณฑ์ด้านเทคนิคในการพิจารณาสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมที่ไม่เข้าข่ายเป็นสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม เพื่อใช้ประกอบการพัฒนากฎหมายหรือกฎระเบียบของประเทศ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้นำไปเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง การรับรองสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม เพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร พ.ศ. 2567 และประกาศกรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ประเทศไทยมีกฎระเบียบที่ชัดเจนในการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม
การดำเนินงานที่กล่าวมานี้เปรียบเสมือนการสร้างสะพานข้ามหุบเขาแห่งความตายของความไม่ชัดเจนด้านกฎหมาย เมื่อกฎหมายมีความชัดเจน สิ่งที่เกิดตามมาคือ ความมั่นใจในการลงทุนด้านเทคโนโลยีชีวภาพ การส่งเสริมเร่งรัดพัฒนาด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมของประเทศ ดังเช่นที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กำหนดให้เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมเป็นเรือธง (flagship) ในแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของประเทศ
เทคโนโลยีชีวภาพพัฒนาอย่างรวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ทั้งในเชิงการแพทย์ เกษตรกรรม ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามความก้าวหน้าดังกล่าวมาพร้อมกับความท้าทายด้านกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่ต้องปรับตัวให้ทัน ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และผู้เชี่ยวชาญต้องร่วมมือกันกำหนดมาตรฐานและกลไกการดำเนินงานที่เหมาะสม ซึ่งไม่ใช่เพียงเพื่อให้การใช้เทคโนโลยีชีวภาพเกิดประโยชน์สูงสุด มีความปลอดภัย และมีความรับผิดชอบเท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยสร้างโอกาสในการวิจัย พัฒนา และการลงทุนที่จะเปลี่ยนอนาคตของประเทศไทย