โรคเชื้อราที่เล็บ เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นที่เล็บ จากการติดเชื้อรา อาจทำให้รอบเล็บบวมแดงและกดเจ็บ เล็บร่น ไม่สวยงาม ส่งผลกระทบต่อการทำกิจกรรมประจำวันอีกด้วย วันนี้เรามีคำตอบว่าโรคเชื้อราที่เล็บคืออะไร และมีวิธีการดูแลรักษาอย่างไร
โรคเชื้อราที่เล็บ (Onychomycosis) หมายถึงการติดเชื้อราที่เล็บ ซึ่งรวมทั้งราที่เป็นสายราหรือราในรูปของยีสต์ซึ่งมีลักษณะเป็นเซลล์กลม โดยทั่วไปไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่สามารถตรวจพบได้ทางห้องปฏิบัติการ โดยชนิดของเชื้อราที่พบบ่อย คือ เชื้อกลากแท้ (dermatophytes) เชื้อกลากเทียม (non-dermatophytes) และเกิดจากยีสต์(yeasts) โดยเฉพาะเชื้อแคนดิดา (Candida)
อาการของเชื้อราที่เล็บ
ในระยะแรก อาจไม่สามารถสังเกตได้ แต่ความผิดปกติจะเริ่มแสดงออกมาเมื่อเชื้อราเริ่มขยายตัว มักมีเล็บที่ติดเชื้อราประมาณ 1 – 3 เล็บ โดยมักจะมีอาการดังนี้
- เล็บเปลี่ยนสี อาจเปลี่ยนเป็นสีดำ สีขาว สีเหลือง หรือสีเขียว
- เล็บหนาขึ้นหรือผิดรูป อาจทำให้ผิวเล็บเสียและขรุขระได้
- มีอาการกดเจ็บที่เล็บ รอบเล็บบวมแดง หรือคันผิวหนังบริเวณเล็บ
- เล็บร่น เนื่องจากแผ่นเล็บแยกตัวออกมาจากฐานเล็บ เกิดโพรงใต้แผ่นเล็บ เกิดขุยหนาใต้เล็บ
การรักษามีหลายวิธี เช่น
- รักษาความสะอาดของเล็บ
- ดูแลไม่ให้เล็บอับชื้น
- ยารับประทานรักษาเชื้อรา ต้องระวังผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น การแพ้ยา ผลต่อตับและไต รวมทั้งปฏิกิริยาระหว่างยา หากผู้ป่วยมีการใช้ยาอื่นอยู่ด้วย เช่น ยาลดไขมันในเลือด
- ยาทาเฉพาะที่ เป็นการรักษาที่มีความปลอดภัย โดยยาจะออกฤทธิ์เฉพาะเล็บที่ทายาเท่านั้น จะใช้ได้ผลดีเฉพาะโรคเชื้อราที่เล็บที่มีจำนวนเล็บไม่มากนัก และไม่มีลักษณะที่ทำให้เกิดการรักษาได้ยาก เช่น มีรอยโรคลามไปถึงโคนเล็บ
- การใช้วิธีการอื่นๆ เช่น การถอดเล็บ การใช้แสงเลเซอร์
เนื่องจากอาการแสดงอาจมีสาเหตุมาจากโรคทางผิวหนังชนิดอื่น หรือมีโรคร่วม เช่น เบาหวาน ดังนั้น หากพบว่าเล็บมีความผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษา
ข้อมูลอ้างอิง :
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (mahidol.ac.th)
เชื้อราที่เล็บ – โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย (chulalongkornhospital.go.th)
เชื้อราที่เล็บ – อาการ, สาเหตุ, การรักษา – พบแพทย์ (pobpad.com)