เพราะอยาก (เรียน) รู้ จึงมาหา ‘ความรู้’

เรื่องโดย เลอทีชา เมืองมีศรี และ ปิยพร เศรษฐศิริไพบูลย์
สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.)


โลกของการทำเกษตรอินทรีย์มีเรื่องให้เรียนรู้ไม่จบสิ้น เมื่อได้ออกเดินทางครั้งแรก ย่อมมีครั้งที่สอง… ประโยคทิ้งทวนจากบทความ “จากสงขลาสู่เชียงใหม่ เรียนให้รู้ ดูให้เห็น ทำให้เป็น” ในสาระวิทย์ฉบับเดือนมกราคม 2567 และการเดินทางไกลครั้งที่สองของตัวแทนสมาชิกเครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์จังหวัดสงขลา ได้เริ่มต้นอีกครั้งเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมีหมุดหมายที่ “วิสาหกิจชุมชนปันบุญ” และ “วิสาหกิจชุมชนปลูกผักปลอดภัยฆ้องชัยพัฒนา” อำเภอฆ้องชัย จังหวัดกาฬสินธุ์ และ “คลีนฟาร์ม” ตำบลหนองหัวโพ อำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี

“อยากเรียนรู้พร้อมลงมือปฏิบัติ ตั้งแต่ผสมปุ๋ยหมัก วิธีปลูก ดูแลรักษา บริหารจัดการโรคและแมลงในพืชผัก จัดการแปลง เก็บเกี่ยว และจัดการหลังเก็บเกี่ยว เพื่อนำไปปรับใช้และพัฒนาการผลิตผักในแปลงตัวเองให้สวย มีน้ำหนัก ให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น รวมถึงบริหารจัดการรวบรวมผักจากสมาชิก กระบวนการคัดตัดแต่ง บรรจุและขนส่งผักเข้าแม็คโคร” ความคาดหวังของสมาชิกทั้ง 18 คนจากการเดินทางไกลครั้งนี้

การเดินทางไกลร่วม 5 วัน เพื่อหาความรู้ครั้งนี้ พวกเขาร่วมลงขัน โดยมี สท.ร่วมสนับสนุนให้เกิดเป็นกิจกรรมศึกษาดูงานการบริหารจัดการพืชผักในระบบอินทรีย์แบบครบวงจร ภายใต้โครงการการยกระดับเครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์ด้วยเทคโนโลยีโรงเรือนและการบริหารจัดการผลิตพืชผัก[1] ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. เพื่อสร้างความตระหนักและเรียนรู้เทคโนโลยีการบริหารจัดการการผลิตพืชผักในระบบอินทรีย์ เชื่อมโยงกลุ่มเครือข่ายเกษตรกร สร้างกระบวนการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ นำไปปรับใช้สำหรับการผลิตพืชผักให้ได้ปริมาณและคุณภาพอย่างต่อเนื่อง

“การทำผักให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน คนทำต้องสังเกตและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำแต่ละครั้งปัญหาไม่เหมือนกัน ต้องพร้อมรับมือ สำคัญคือ ต้องมีปัจจัยการผลิตที่ดีและมีคุณภาพ” คำบอกเล่าจากประสบการณ์ตรงของสุจารี ธนสิริธนากร ประธานวิสาหกิจชุมชนปันบุญ ที่ได้แบ่งปันให้แขกผู้มาเยือน ปัจจัยการผลิตที่สวนปันบุญให้ความสำคัญและต้องมีพร้อมเสมอ ได้แก่ ปุ๋ยหมัก น้ำหมัก ชีวภัณฑ์ และเมล็ดพันธุ์ที่ดี ควบคู่กับการดูแลรักษาที่ดีและการเก็บเกี่ยวในระยะที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผักได้ขนาดและรสชาติอร่อยตามที่ตลาดต้องการ

“อายุผักแต่ละชนิดไม่เท่ากัน เช่น ในฤดูหนาว คอส อายุ 20 วัน กรีนโอ๊ก 22 วัน เรดโอ๊ก 23-25 วัน แก้ว 25 วัน ดังนั้น ถ้าต้องการตัดผักพร้อมกัน จะต้องเตรียมชนิดผักที่ใช้ระยะเวลานานกว่าปลูกก่อน ส่วนฟิลเลย์และมินิคอส อายุแก่แล้วก็ไม่ขม ยังสามารถเก็บเกี่ยวได้ อยู่ในแปลงได้นาน” อีกหนึ่งเทคนิคการผลิตผักอินทรีย์คุณภาพของสวนปันบุญ

ที่สวนปันบุญ พวกเขาได้เรียนรู้จากเกษตรกรของสวนปันบุญในฐานเรียนรู้ต่าง ๆ ได้แก่ ฐานเรียนรู้ปัจจัยการผลิต ดิน ปุ๋ย ชีวภัณฑ์ น้ำหมักชีวภาพ ฐานเรียนรู้การเพาะกล้า การจัดการแปลง และฐานเรียนรู้การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว

หลังเรียนรู้การผลิตผักอินทรีย์คุณภาพทุกขั้นตอนจากสวนปันบุญแล้ว ชาวคณะจากสงขลาได้ร่วมแลกเปลี่ยนและเรียนรู้การบริหารจัดการกลุ่มและเครือข่าย การเชื่อมโยงตลาดของวิสาหกิจชุมชนปลูกผักปลอดภัยฆ้องชัยพัฒนา ซึ่งมีสหกรณ์การเกษตรคล้องใจ จำกัด ทำหน้าที่รวบรวมพืชผักและผลไม้จากสมาชิกที่ได้รับรองมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อส่งเข้าห้องครัวโรงพยาบาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ขณะที่ผลผลิตที่ได้มาตรฐานเกษตรปลอดภัย (GAP) จะส่งให้พ่อค้าคนกลาง นอกจากนี้ยังสร้างตลาดชุมชนร่วมกันเพื่อเป็นอีกหนึ่งจุดจำหน่ายผลผลิตของกลุ่ม

สองวันเต็มกับการเติมความรู้และสร้างเครือข่ายกับเกษตรกรที่กาฬสินธุ์ พวกเขาขยับมาเรียนรู้การผลิตผักอินทรีย์ในระดับการผลิตรูปแบบบริษัทที่คลีนฟาร์ม ฟาร์มผักคุณภาพสูง ผลิตผักภายใต้แนวคิด ปลูกด้วยดิน บนแคร่ ในโรงเรือน เน้นการป้องกัน ไม่เน้นการรักษา ใส่ใจและประณีตในทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัย สด สะอาด รสชาติดีและมีคุณประโยชน์สูง

“ได้มาดูงานที่ปันบุญ คุ้มตั้งแต่ค่ารถไฟแล้ว ส่วนที่อื่นเป็นกำไร” ความเห็นของจันทร์เพ็ญ เพ็ชรรัตน์ วิสาหกิจชุมชนบ้านทุ่งแม่บัวเกษตรอินทรีย์ อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา เธอเล่าว่า ได้ความรู้และเทคนิคหลายอย่าง เห็นว่าต้องทำอย่างไรบ้าง น้ำหมักใส่อะไร พรวนดินทำอย่างไร บางเรื่องดูไม่สำคัญ แต่สำคัญ อย่างการเพาะกล้า แต่ก่อนเคยดึงกล้า ย้ายลงถาดเพาะ แล้วใช้ไม้กดเลย แต่ที่นี่วางเรียงบนถาดก่อนเพื่อตรวจดูความแข็งแรงของราก ดูว่ารากขาดไหม แล้วค่อยใช้ด้ามช้อนคนกาแฟกด เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตนเคยมองข้ามไป

“ที่คลีนฟาร์ม เราได้เห็นกระบวนการตัดแต่งผัก การล้างผัก การสะเด็ดน้ำผักด้วยเครื่องแต่ใช้แรงเหวี่ยงของคน หรือการใช้ผ้าคลุมผักก่อนนำไปแพ็ก ก็เป็นไอเดียให้ไปปรับใช้กับโรงแพ็คของกลุ่มเราได้”

ขณะที่สายจิต ขุนทอง วิสาหกิจชุมชนตำบลพังลาเกษตรอินทรีย์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา บอกว่า ได้รับความรู้ใหม่ ๆ สามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับพื้นที่ของตนเองได้ ไม่จำเป็นต้องคัดลอกหรือทำตามทั้งหมด แต่นำไปใช้เป็นแนวทางการปลูกพืชให้สวยงาม แข็งแรง ทนต่อโรคได้ ผักคุณภาพดีย่อมเป็นที่ต้องการของตลาด

“อย่างการย้ายต้นกล้าลงถาดเพาะกล้า ที่สวนปันบุญไม่ใช้ไม้ เพราะอาจมีเชื้อราติดมากับไม้ได้ เขาใช้ไม้คนกาแฟที่เป็นพลาสติก หรือระบบให้น้ำ นอกจากใช้บัวรดน้ำหรือหัวน้ำหยดแล้ว ก็สามารถใช้ปั๊มหม้อแบตเตอรี่ต่อสายยางกับฝักบัว”

ภาสกร แสงจันทร์ศิริ วิสาหกิจชุมชนสมายด์ฟาร์มเกษตรอินทรีย์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เล่าว่า เรื่องการปลูกมะเขือเทศจากที่เข้าใจอยู่ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ครั้งนี้ก็ได้รับเพิ่มขึ้นอีก เช่น การเตรียมดินปลูก การยกร่อง การขุดร่อง การให้ปุ๋ย การเก็บมะเขือเทศต้องใส่ใจดูแลทุกวัน ก่อนเก็บเราต้องชิมและตรวจความหวาน การตัดแต่งกิ่งมะเขือเทศทำให้ผลดกและโต ตอนนี้ก็เข้าใจมากขึ้นและคิดว่าจะปลูกให้มากขึ้น

บทสรุปจากการเดินทางไกลครั้งนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเปิดใจ เปิดรับ พร้อมเรียนรู้จากผู้อื่น เห็นภาพรวมและประยุกต์ใช้ความรู้กับสถานการณ์จริงที่จะช่วยเสริมสร้างความรู้ ทักษะ และกระตุ้นให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และยังเป็นแรงจูงใจให้นำไปปรับใช้กับการผลิตผักอินทรีย์ของแต่ละคน รวมถึงการบริหารจัดการผลผลิตของกลุ่ม เพื่อให้ได้ผลผลิตคุณภาพต่อเนื่อง ครองใจผู้บริโภคชาวสงขลาได้ยาวนาน


อ่านเพิ่มเติม

จากสงขลาสู่เชียงใหม่ เรียนให้รู้ ดูให้เห็น ทำให้เป็น
นิตยสารสาระวิทย์ ฉบับเดือนมกราคม 2567


[1] กลุ่มเป้าหมายในโครงการฯ ประกอบด้วย เครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์จังหวัดสงขลา (สมาชิกอยู่ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ คลองหอยโข่ง จะนะ รัตภูมิ และสะเดา) เครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์ในจังหวัดกาฬสินธุ์ (สมาชิกอยู่ในพื้นที่อำเภอฆ้องชัย ยางตลาด และคำม่วง) และเครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์ในจังหวัดมหาสารคาม (สมาชิกอยู่ในพื้นที่อำเภอยางสีสุราช)

About Author