7 สิงหาคม 2563 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ :
มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ประจำปี 2563 ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 38 โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธี และกล่าวแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัล โดยมี ศ.ดร.จำรัส ลิ้มตระกูล ประธานคณะกรรมการรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น
รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นประจำปี 2563 ประกอบด้วย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จากสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร ผลงานวิจัย “ผู้สร้างสรรค์ต่อยอดภูมิปัญญาอาหารหมักไทย ด้วยวิทยาศาสตร์ทางอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ ร่วมกับพันธมิตรสร้างทางเลือกในการแก้ไขปัญหาในการผลิตและแปรรูป ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสร้างอุตสาหกรรมอาหารใหม่มูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรม” และ ศ.ดร.สุทธิชัย อัสสะบำรุงรัตน์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากสาขาวิศวกรรมเคมี ผลงานวิจัย “เครื่องปฏิกรณ์แบบหลายหน้าที่ (Multifunctional reactor) และการรวมกระบวนการ (Process intensification) สำหรับอุตสาหกรรมเคมี ปิโตรเคมี และไบโอรีไฟเนอรี” พร้อมด้วยนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ประจำปี 2563 ประกอบด้วย ดร.พิชญ พัฒนสัตยวงศ์ สำนักวิชาวิทยาการโมเลกุล สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ผลงานวิจัย “วัสดุไฮบริดเพื่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยุคใหม่” และ รศ.ดร.ทวีธรรม ลิมปานุภาพ หัวหน้าสาขาวิชาเคมี วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ผลงานวิจัย “การใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์เพื่อศึกษาปฏิกิริยาเคมีและการพัฒนาสื่อการสอนวิทยาศาสตร์” เข้าร่วมงาน
สำหรับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นฯ นี้ ได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จ พระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเงินรางวัล 400,000 บาท โดย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นฯ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร จากผลงานวิจัย “ผู้สร้างสรรค์ต่อยอดภูมิปัญญาอาหารหมักไทย ด้วยวิทยาศาสตร์ทางอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ ร่วมกับพันธมิตรสร้างทางเลือกในการแก้ไขปัญหาในการผลิตและแปรรูป ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสร้างอุตสาหกรรมอาหารใหม่มูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรม”
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน มีความสนใจและเชี่ยวชาญทางด้านเคมีอาหาร เน้นโปรตีนและเอนไซม์ ในตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ดร.วรรณพ ได้ดำเนินการวิจัยทั้งงานวิจัยพื้นฐานและงานวิจัยประยุกต์ ซึ่งก่อให้เกิดองค์ความรู้ทางวิชาการในเชิงลึกและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารของไทย การวิจัยเน้นการใช้ประโยชน์เซลล์จุลินทรีย์และเอนไซม์หรือสารที่จุลินทรีย์ผลิตขึ้น ในการปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์อาหาร เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และแก้ไขปัญหาในอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมอาหารหมักของไทย นอกจากนี้ ดร.วรรณพ และคณะ ยังใช้องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในการวิจัยด้านการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบทางการเกษตรและวัสดุเศษเหลือจากอุตสาหกรรมอาหารชนิดต่าง ๆ สร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมอาหารใหม่มูลค่าสูง ช่วยสร้างธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหารรูปแบบใหม่ให้กับประเทศ
โดยที่ผ่านมา ดร.วรรณพ วิเศษสงวน และคณะ มีผลงานตีพิมพ์ระดับนานาชาติ จำนวน 253 เรื่อง โดยผลงานวิจัยตีพิมพ์ได้รับการอ้างอิงมากกว่า 7,963 ครั้ง มีค่า h-index เท่ากับ 51 (อ้างอิงจากฐานข้อมูล ISI Web of Science ตั้งแต่ปี 2543-2563) นอกจากนี้ ดร.วรรณพ ยังได้ยื่นจดทรัพย์สินทางปัญญาในรูปแบบต่าง ๆ (สิทธิบัตร อนุสิทธิบัตร ความลับทางการค้า) จำนวน 32 เรื่อง ซึ่งผลงานวิจัยที่พัฒนาขึ้นได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปให้บริษัทเอกชนใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์แล้วจำนวน 9 เรื่อง อาทิ การพัฒนากระบวนการเร่งหมักนํ้าปลาโดยใช้เอนไซม์ การพัฒนาต้นเชื้อจุลินทรีย์แลคติคเพื่อใช้ในการหมักผักกาดดองเปรี้ยว กระบวนการผลิตเอนไซม์เพนโตซาเนสจากเชื้อราเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ การใช้เชื้อในการผลิตต้นเชื้ออาหารหมักสัตว์ กระบวนการผลิตนํ้าส้มสายชูหมักจากผลไม้ในขั้นตอนเดียวและสูตรจุลินทรีย์สำหรับการผลิตนํ้าส้มสายชูหมัก การผลิตสารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาวเพื่อการประยุกต์ใช้ในอาหารและอาหารสัตว์ เป็นต้น
ซึ่งผลงานวิจัยของ ดร.วรรณพ ได้สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่น้อยกว่า 1,800 ล้านบาท ซึ่งงานวิจัยหลายเรื่องที่ได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการก่อให้เกิดการจัดตั้งบริษัทใหม่ การสร้างโรงงานผลิตอาหารและผลิตภัณฑ์ชีวภาพชนิดใหม่ รวมทั้งการสร้างธุรกิจอาหารและอุตสาหกรรมชีวภาพรูปแบบใหม่ให้กับประเทศ ผลงานวิจัยของ ดร.วรรณพ จึงไม่เพียงช่วยแก้ไขปัญหาให้กับผู้ประกอบการด้านอาหาร แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ตลอดจนการใช้องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญที่มีสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ ๆ เป็นหนึ่งในกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่บนฐานการใช้วัตถุดิบที่มีเพียงการแปรรูปขั้นต้น ขาดนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ทำให้ผู้ประกอบการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ให้สามารถปรับตัวและพลิกฟื้นมุ่งสู่การเป็นครัวของโลกที่เน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน สร้างความมั่นคงทางอาหาร สร้างมาตรฐานและอาหารปลอดภัยบนฐานการพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
ข้อมูลข่าวจาก: https://www.nstda.or.th/th/news/13457-20200817