เกษียณอย่างยั่งยืน เรื่องสุขภาพต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง

          คงไม่ใช่เรื่องดีหากจะต้องเป็นหนี้ การลงทุนที่ชาญฉลาดจะต้องอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ด้วยต้นทุนที่มั่นคง สู่อนาคตที่ยั่งยืน โดยจะต้องไม่ลืมใส่ใจในเรื่องสุขภาพ

          รองศาสตราจารย์ ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์ อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึง 3 เสาหลัก “ดัชนีพฤฒิพลัง” (3 Pillars of Active Ageing) แห่งองค์การอนามัยโลก (WHO) หรือ 3 ตัวชี้วัดของผู้สูงวัยที่มีความกระตือรือร้น ประกอบด้วย “สุขภาพ” “ความมั่นคงทางการเงิน” และ “การมีส่วนร่วมทางสังคม”


รองศาสตราจารย์ ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์
อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล

          จากการสำรวจประชากรรุ่น Gen Y ตอนปลาย – Gen Z (ช่วงอายุประมาณ 15 – 29 ปี) เมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา น่าตกใจที่พบว่าคนส่วนใหญ่ในช่วงวัยดังกล่าว ยินดีที่จะทำงานหนักแม้จะต้องกินอยู่อย่างประหยัด พร้อมเผชิญกับความเครียดและกดดัน เพื่อให้ได้อยู่ในภาวะ “เกษียณไฟลุก” (Financial Independent Retire Early – FIRE) หรือการเป็นอิสระทางการเงินในช่วงวัยที่อายุยังน้อยให้ได้เร็วที่สุด หรือเพียงประมาณ 35 – 40 ปี แต่ยังให้คำตอบไม่ได้ว่า “เกษียณแล้วจะไปทำอะไร”

          จากการสำรวจดังกล่าวยังพบอีกว่า น้อยรายที่จะให้ความสำคัญต่อ “การลงทุนทางสุขภาพ” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ WHO บัญญัติให้เป็นอันดับหนึ่งของ “ดัชนีพฤฒิพลัง”

          การลงทุนของผู้สูงวัยถือเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้สูงวัยที่ไม่ได้มีต้นทุนสะสมมามากพอ สามารถสร้างความมั่นคงให้เพียงพอที่จะดูแลตัวเองได้ต่อไปจนถึงวาระสุดท้าย แต่ควรระวังเรื่องความเสี่ยง และการถูกหลอกลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงวัยที่มีข้อจำกัดทางด้านสุขภาวะ

          นอกจากนี้ ยังพบ “จุดตัด” ของกราฟประชากรในวัยแรงงานที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปี พ.ศ. 2566 ซึ่งเป็นปีแรกที่ประชากรในวัยแรงงาน 20 – 24 ปี เริ่มน้อยกว่าประชากรที่ออกจากวัยแรงงาน 60 – 64 ปี โดย รองศาสตราจารย์ ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์ มองว่าจะเป็นเรื่องดีหากได้มีการนำแนวคิดเรื่อง “Intergenerational Business” หรือการเปิดโอกาสให้คนในสองวัยดังกล่าวมาใช้ในการร่วมลงทุนทำธุรกิจออนไลน์ ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ของสังคมในยุคปัจจุบัน

          โดยเป็นการทำธุรกิจที่ไม่ต้องอาศัยเงินลงทุนเป็นจำนวนมากนัก แต่ด้วยต้นทุนฝีมือและความชำนาญจากประสบการณ์ชีวิตและการทำงานที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของผู้สูงวัย ประกอบกับต้นทุนไอเดีย และทักษะการใช้เทคโนโลยีของคนรุ่นใหม่จะประสานเป็น “พลัง” ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจที่สร้างสรรค์ และทดแทน “ภาวะการขาดแคลนแรงงาน” ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญได้ต่อไป

          “การเลือกที่อยู่อาศัย” ในช่วงบั้นปลายของชีวิตก็เป็นเรื่องที่สำคัญ แม้ส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในที่อยู่อาศัยเดิม แต่หากไม่เอื้ออำนวยต่อวัยที่เปลี่ยนแปลง ก็อาจต้องปรับเปลี่ยน โดยการทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากผู้สูงวัยเป็นช่วงอายุที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหกล้ม ซึ่งอาจกลายเป็นสาเหตุหลักของการมีภาระค่าใช้จ่ายทางสุขภาวะที่เพิ่มขึ้นในช่วงบั้นปลายได้

          นอกจากนี้การเลือกที่อยู่อาศัยยังส่งผลต่อ “ดัชนีพฤฒิพลัง” ในส่วนของ “การมีส่วนร่วมทางสังคม” ต่อไปได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งการได้อยู่ในสังคมที่พึ่งพากัน (Community – Based Care – CBC) จะทำให้ผู้สูงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดี และชีวิตที่ยืนยาว ด้วยแรงพลังจากชุมชนที่อยู่ภายใต้ระบบที่สร้างขึ้นร่วมกัน เพื่อการดูแลซึ่งกันและกันอย่างยั่งยืน ล้วนเป็นประเด็นที่รัฐควรส่งเสริมให้เกิดขึ้นเป็นนโยบายต่อไป

          ติดตามข่าวสารที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ที่ www.mahidol.ac.th


สัมภาษณ์ และเขียนข่าวโดย
ฐิติรัตน์ เดชพรหม
นักประชาสัมพันธ์ (ชำนาญการ) งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป
สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โทร. 0-2849-6210

About Author