เมื่อมีโรคอุบัติใหม่ใดๆ เกิดขึ้น มักนำไปสู่การตั้งคำถามต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการระบุชนิด ที่มา และความรุนแรงของเชื้อก่อโรค แต่หากย้อนกลับไปดูที่จุดเริ่มต้น และวิวัฒนาการของเชื้อก่อโรค ก็จะทำให้เกิดคำตอบที่ช่วยให้การจัดการโรคอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการสื่อสารที่แม่นยำ การวางนโยบาย และการเฝ้าระวัง นักวิวัฒนาการ (Evolutionist) จึงถือเป็นพลวัตสำคัญที่จะช่วยให้มวลมนุษยชาติพ้นภัยจากโรคอุบัติใหม่ทั้งหลาย
ระยะเวลา 7 ปี นับตั้งแต่การศึกษาระดับปริญญาเอก จาก มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร เล่าว่า เดิมทีตนได้ทำการศึกษาโดยเน้นด้านวิวัฒนาการของเชื้อไวรัสในระดับมหภาค (Macroevolution) ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่ศึกษาขบวนการการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสหลายชนิด (species) ไปพร้อมๆ กัน ในช่วงระยะเวลานับล้านๆ ปี ว่าเป็นอย่างไร แต่เมื่อได้กลับมาทำงานที่มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ขยายความสนใจมาศึกษาวิวัฒนาการของเชื้อก่อโรค ทั้งไวรัส และแบคทีเรียในระดับจุลภาค (Microevolution) ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของเชื้อก่อโรคเพียงชนิดเดียวที่ระบาดในประชากรเฉพาะกลุ่มในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แม้ทั้งสองวิชาจะมีความเกี่ยวเนื่องกัน แต่เทคนิคที่ใช้ในการศึกษา และโจทย์วิจัยก็มีความแตกต่างกันไปไม่น้อย
งานวิจัยสำคัญของ อาจารย์ ดร.ภากร เอื้ยวสกุล ที่ถือเป็น “ปัญญาของแผ่นดิน” ตามปณิธานของมหาวิทยาลัยมหิดล คือการสร้างองค์ความรู้เพื่อทำความเข้าใจวิวัฒนาการและการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสก่อโรคอุบัติใหม่ SARS-CoV-2 โดยอาจารย์ ดร.ภากร เอี้ยวสกุล กล่าวว่า การกลายพันธุ์เป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้กับเชื้อก่อโรคทุกชนิด ซึ่ง SARS-CoV-2 ที่เป็นเชื้อไวรัสก่อโรค COVID-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบันนั้น สามารถกลายพันธุ์ได้ไม่ช้าไปกว่าไวรัสชนิดอื่นเลย โดยเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์จะถูกคัดสรรทางธรรมชาติ ซึ่งตัวที่เหมาะสมที่สุดกับธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น จะเป็นผู้อยู่รอดและสามารถสืบพันธุ์ออกลูกออกหลานต่อไป โดยหนึ่งในหัวข้อการวิจัยที่ตนกำลังทำอยู่ คือ ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของ SARS-CoV-2 ที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกของโรค COVID-19 ซึ่งได้มีการเผยแพร่ผลงานวิจัยเบื้องต้นในรูปแบบของ pre-print ในฐานข้อมูล “medRxiv” ไปแล้ว
อาจารย์ ดร.ภากร เอี้ยวสกุล กล่าวต่อไปว่า ความรู้ที่ได้จากการศึกษาประวัติศาสตร์ทางวิวัฒนาการนั้น สามารถเป็นพื้นฐานของงานวิจัยอื่นๆ ที่จะนำไปสู่การค้นพบวิธีการรักษาที่ตรงจุด หรือ ความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับระดับความรุนแรงของโรคได้ รวมทั้งยังเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาการตอบสนองต่อยาและวัคซีนของเชื้อกลายพันธุ์ต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนายาและวัคซีนที่จะรับมือกับเชื้อกลายพันธุ์ใหม่ หรือโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การศึกษาวิวัฒนาการยังสามารถทำให้เข้าใจได้ว่า เชื้อก่อโรคใหม่ หรือ เชื้อดื้อยาใหม่นั้นๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำให้เราสามารถเตรียมวางแผนการเฝ้าระวังที่ดีได้มากขึ้นอีกด้วย” อาจารย์ ดร.ภากร เอื้ยวสกุล กล่าว
ติดตามข่าวสารที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ที่ www.mahidol.ac.th
สัมภาษณ์และเขียนข่าวโดย
ฐิติรัตน์ เดชพรหม
นักประชาสัมพันธ์ (ชำนาญการ)
ภาพประกอบออกแบบโดย
วรรณพร ยังศิริ
นักวิชาการสารสนเทศ
งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป
สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
โทร. 0-2849-6210