ม.มหิดล ชี้ให้จับตา “ประชากรรุ่นเกิดล้าน” ที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2506 – 2526 เป็นทิศทางโจทย์วิจัยสนองอนาคตสังคมสูงวัย

          หากย้อนไปถึงเมื่อปี พ.ศ. 2514 จะพบว่าเป็นปีที่มีอัตราเกิดของประชากรไทยสูงที่สุด จากการมีเด็กเกิดใหม่ถึง 1.2 ล้านคน จนเรียกได้ว่าเป็น “ประชากรรุ่นเกิดล้าน” และเป็นปีเดียวกับที่ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม (IPSR) ได้รับการจัดตั้งขึ้นเทียบเท่าคณะหนึ่งของมหาวิทยาลัยมหิดล

          ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ปราโมทย์ ประสาทกุล อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสของสถาบันฯ กล่าวในฐานะผู้บุกเบิกและมีบทบาทสำคัญในการสำรวจและวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรเพื่อการขับเคลื่อนในเชิงนโยบายของประเทศไทยว่า นับเป็นเวลาครึ่งศตวรรษแล้วที่สถาบันฯ ได้รับใช้ประเทศชาติด้วยการเป็น “ปัญญาของแผ่นดิน” ตามปณิธานของมหาวิทยาลัยมหิดล สร้างองค์ความรู้จากงานวิจัยที่เกิดขึ้นจากการสำรวจติดตามการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรไทย ไม่ว่าจะเป็นการเกิด การตาย และการย้ายถิ่น ฯลฯ ซึ่งที่ผ่านมามีนักวิจัยของสถาบันฯ ได้เป็นคณะทำงานร่วมจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในทุกฉบับ เพื่อการขับเคลื่อนสู่นโยบายของประเทศไทย

          “ประชากรรุ่นเกิดล้าน” อยู่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2506 – 2526 ซึ่งนโยบายของประเทศไทยในขณะนั้น มุ่งไปที่การวางแผนครอบครัว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากรอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าคนรุ่นใหม่นิยมอยู่เป็นโสด ไม่แต่งงาน และมีลูกกันน้อยลง อัตราเกิดของประชากรไทยจึงลดต่ำลงไปด้วย

          จึงเกิดคำถามว่า เราจะเตรียมพร้อมนโยบายทางประชากรของประเทศไทยให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากรของไทยอย่างไร เมื่อ “ประชากรรุ่นเกิดล้าน” ที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2506 – 2526 จะกลายเป็น “สึนามิประชากร” ที่เคลื่อนสู่ “ฝั่งผู้สูงวัย” ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

          ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ปราโมทย์ ประสาทกุล ได้ให้มุมมองว่า การแก้ปัญหาอัตราเกิดต่ำ ด้วยการส่งเสริมให้ประชากรมีลูกกันมากขึ้น อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีนักสำหรับสังคมไทย หากไม่ได้พิจารณาถึงคุณภาพของการเกิด หรือเกิดด้วยความไม่พร้อม
ซึ่งตัวเลขการเกิดของประชากรไทยในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นปีล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 587,000 คน และอาจมีแนวโน้มต่ำลงไปอีกประมาณ 2 – 3 หมื่นคนตามวิกฤติ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก

          โดยการประกาศจำนวนเกิดของประชากรไทยในแต่ละปีจะนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม ของปีนั้นๆ แล้วจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในอีกประมาณ 2 – 3 เดือนถัดไป

          “ปัญหาที่เร่งด่วนมากกว่าปัญหาอัตราเกิดฮวบต่ำลงในขณะนี้ คือ การเตรียมพร้อมอย่างไรเมื่อสังคมไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ซึ่งประชากรที่เกิดในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2506 – 2526 ถือเป็นต้นแบบที่ดีที่สุดในการนำมาพิจารณาเป็นโจทย์เพื่อการศึกษาวิจัยให้ตอบสนองทิศทางความต้องการของผู้สูงวัยไทยในอนาคต โดยควรเน้นให้เตรียมพร้อมเรื่องสุขภาพ และระวังการใช้จ่าย หมั่นเก็บออมไว้เพื่ออนาคต” ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ปราโมทย์ ประสาทกุล กล่าวแนะนำทิ้งท้าย

          รองศาสตราจารย์ ดร.อารี จำปากลาย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล คนปัจจุบัน ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ภารกิจของสถาบันฯ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อประเทศไทยใน 50 ปีที่ผ่านมานั้น ไม่ได้มีเพียงงานวิจัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากรเท่านั้น ยังมีงานวิจัยเพื่อติดตามพฤติกรรมทางสุขภาพของประชากร ความเท่าเทียมทางการศึกษา ความเท่าเทียมทางเพศ แรงงานย้ายถิ่น หรือแม้แต่เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ฯลฯ ที่ตอบโจทย์เกือบทุกเป้าหมาย SDGs เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งนอกจากเพื่อการขับเคลื่อนสู่นโยบายในระดับชาติแล้ว ยังได้ขยายผลสู่การสร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติต่อไปอีกด้วย โดยสถาบันฯ พร้อมเดินหน้ารับใช้ประชาชน สร้างสรรค์งานวิจัยเพื่อส่งเสริมคุณภาพประชากรไทย และร่วมทำโลกนี้ให้มีอนาคตที่ยั่งยืนต่อไป


สัมภาษณ์ และเขียนข่าวโดย
ฐิติรัตน์ เดชพรหม นักประชาสัมพันธ์ (ชำนาญการ)

ออกแบบแบนเนอร์โดย
วรรณพร ยังศิริ นักวิชาการสารสนเทศ

งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป สำนักงานอธิการบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล โทร. 0-2849-6210

About Author