[singlepic id=149 w=320 h=240 float=]
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ เวลา 15.00 น. ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดพิธีลงนามความร่วมมือสนับสนุนด้านงบประมาณรวมถึงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวนาน้ำฝน ให้มีความต้านทานต่อโรค แมลงและสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม หลังจากที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการร่วมกันและพัฒนาข้าวสายพันธุ์ใหม่ ได้แก่ สายพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ทนน้ำท่วมฉับพลัน สายพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ทนดินเค็ม และสายพันธุ์ กข6 ต้านทานโรคไหม้ ซึ่งอยู่ระหว่างการยื่นขอรับรองพันธุ์ พร้อมชมสายพันธุ์ข้าวตัวอย่าง ที่อยู่ภายใต้ความร่วมมือที่เตรียมเสนอเป็นพันธุ์รับรอง
[singlepic id=150 w=320 h=240 float=]
นายยุคล ลิ้มแหลมทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เล็งถึงความสำคัญของข้าวซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักอันดับหนึ่งของประเทศ ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายระดับชาติเพื่อแก้ปัญหาสินค้าข้าวให้บังเกิดประสิทธิผลเป็นผลดีต่อเกษตรกรผู้ผลิต ระบบการผลิต และการตลาดข้าวโดยส่วนรวม โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ขึ้น เพื่อช่วยกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และส่งเสริมการวิจัยทางด้านการผลิตและการตลาดข้าวของประเทศ นอกจากนี้กรมการข้าวซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการผลิตข้าว และส่งเสริมศักยภาพของเกษตรกร ได้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ จัดทำยุทธศาสตร์ข้าวไทยระหว่างปี พ.ศ. 2550-2554 ขึ้น เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตข้าวให้ได้มาตรฐาน การสนับสนุนความปลอดภัยด้านอาหาร และการส่งออกข้าว ความร่วมมือระหว่างกรมการข้าว และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อร่วมวิจัยและพัฒนาการผลิตข้าวนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย
[singlepic id=151 w=320 h=240 float=]
นายประเสริฐ โกศัลวิตร อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า “งานวิจัยหลักที่สำคัญในพัฒนาการผลิตข้าว คือ งานวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าว ที่ผ่านมากรมการข้าวซึ่งหน่วยงานหลักที่ดำเนินการวิจัย ด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวประสบผลสำเร็จมาจากการปรับปรุงพันธุ์ด้วยวิธีปกติ หรือ Conventional breeding ในระหว่างปี พ.ศ. 2549-2552 กรมการข้าว และ สวทช. ก็ได้มีการร่วมมือทำงานวิจัยปรับปรุงพันธุ์ข้าวโดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพเข้ามาช่วย ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ได้ข้าวสายพันธุ์ใหม่ และอยู่ระหว่างเสนอขอการรับรองพันธุ์ ซึ่งได้นำข้าวสายพันธุ์ใหม่มาแสดงในวันนี้ด้วย
อธิบดีกรมการข้าว กล่าวอีกว่า “การร่วมมือกันครั้งนี้ กรมการข้าว และ สวทช. ต่างมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าร่วมมือกันดำเนินการวิจัยโดยประสานจุดเด่นเข้าด้วยกันจะเป็นการลดจุดด้อยของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งจะสามารถเสริมสร้างประสิทธิภาพในการวิจัยและพัฒนาข้าวได้ยิ่งขึ้น กล่าวคือ กรมการข้าว มีจุดเด่นในด้านโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรเพื่อรองรับการวิจัยในสภาพแปลงทดลอง รวมทั้งเครือข่ายเกษตรกรที่มีส่วนร่วมในการวิจัย แต่มีความไม่พร้อมเกี่ยวกับเครื่องมือและความเชี่ยวชาญ รวมทั้งบุคลากรในการวิจัยพื้นฐานด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงพันธุ์ ในขณะที่ สวทช. มีจุดเด่นในด้านเทคโนโลยีชีวภาพเกี่ยวกับการสืบค้นหายีน และการพัฒนาโมเลกุลเครื่องหมายดีเอ็นเอ (DNA molecular markers) ที่สามารถจะนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำมากขึ้น แต่ “สวทช” ก็อาจมีจุดด้อยในด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการทดสอบหรือประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในแปลงทดลองและในนาเกษตรกร ดังนั้น การร่วมมือกันระหว่างสองหน่วยงานเพื่อการวิจัยและพัฒนาข้าว จึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อการพัฒนาการผลิตข้าวทั้งระบบ”
ดร.สุจินดา โชติพานิช ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ที่ผ่านมา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือ ไบโอเทค ได้มีความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาด้านข้าวกับกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยได้ร่วมพัฒนาพันธุ์ข้าวนาน้ำฝน สายพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และสายพันธุ์ กข6 ที่มีความต้านทานต่อโรค แมลง และสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม และ ยังคงคุณภาพใกล้เคียงกับพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ กข 6 เดิม ซึ่งบางสายพันธุ์ผ่านการปลูกทดสอบในศูนย์วิจัยข้าวและในแปลงเกษตรกรแล้ว และอยู่ระหว่างการยื่นขอรับรองพันธุ์จากกรมการข้าว ได้แก่ สายพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ทนน้ำท่วมฉับพลัน และสายพันธุ์ กข6 ต้านทานโรคไหม้ และเพื่อให้เกิดกรอบความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาข้าวเชิงบูรณาการอย่างชัดเจนและอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างบุคลากรของกรมการข้าวและบุคลากรของ สวทช. ทั้งสองหน่วยงานจึงเห็นร่วมกันว่าควรมีการจัดทำกรอบบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาด้านข้าวร่วมกัน ในระยะที่ 2
ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวต่อว่า “ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานวิจัยของทั้ง 2 หน่วยงานรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงเห็นร่วมกันว่า ควรจะใช้จุดแข็งของทั้งสองหน่วยงานที่มีมาทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกร โดยความร่วมมือครั้งนี้ จะมีการสนับสนุนด้านบุคลากร ห้องปฏิบัติการ ครุภัณฑ์และงบประมาณ รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลการวิจัย การถ่ายทอดผลงานวิจัยและเทคโนโลยีที่ได้พัฒนาขึ้น เพื่อการนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญ ความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพของประเทศและจะนำไปสู่การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนต่อไป “