สวทช. แถลงเชิดชูผลงาน 2 นักวิจัยทุนแกนนำ ด้วยผลงาน การพัฒนากระบวนการอบแห้งขั้นสูงสำหรับอาหารและวัสดุชีวภาพ และผลงานระบาดวิทยาเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพภาคใต้ พร้อมรับเงิน 20 ล้าน ไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง

สวทช. แถลงเชิดชูผลงาน 2 นักวิจัยทุนแกนนำ ด้วยผลงาน  การพัฒนากระบวนการอบแห้งขั้นสูงสำหรับอาหารและวัสดุชีวภาพ  และผลงานระบาดวิทยาเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพภาคใต้    พร้อมรับเงิน 20 ล้าน  ไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง 

 

วันที่  19   มีนาคม   2553  ณ  ห้องกมลทิพย์  1  โรงแรมสยามซิตี้   สวทช. จัดให้มีพิธีมอบทุนนักวิจัยแกนนำ ประจำปี  2553  แก่  ศ.ดร.สมชาติ  โสภณรณฤทธิ์  นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ด้วยผลงาน การพัฒนากระบวนการอบแห้งขั้นสูงสำหรับอาหารและวัสดุชีวภาพ  และ ศ.นพ.วีระศักดิ์  จงสู่วิวัฒน์วงศ์  นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ด้วยผลงานระบาดวิทยาเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพภาคใต้   โดยมี คุณหญิงกัลยา  โสภณพนิช  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  เป็นประธานในการมอบทุนดังกล่าว

คุณหญิงกัลยา  กล่าวว่า “  กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทำการแสวงหากลไก และนโยบาย เพื่อเอื้ออำนวยให้นักวิจัยได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถนำไปต่อยอดก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ และโครงการทุนนักวิจัยแกนนำ เป็นทุนขนาดใหญ่ ส่งผลให้งานวิจัยได้ดำเนินต่อไปอย่างประสบความสำเร็จ มีความคล่องตัวในการทำงาน และทีมงานวิจัยสามารถทำวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

ด้าน รศ.ดร.ศักรินทร์  ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสวทช. กล่าวว่า “ สวทช.ได้รับข้อเสนอโครงการผลงานจากนักวิจัยชั้นนำและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์จากหลากหลายสถาบันทั่วประเทศ  ซึ่งทุกโครงการจะผ่านเกณฑ์การพิจารณา 3 ขั้นตอน จากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ  ซึ่งขั้นตอนสุดท้ายคณะกรรมการทุนนักวิจัยแกนนำ จะพิจาณาจากคุณสมบัติของหัวหน้าโครงการและศักยภาพที่จะนำทีมวิจัยให้บรรลุจุดมุ่งหมาย  ทั้งในด้านการสร้างความเข้มแข็งของกลุ่ม การพัฒนากำลังคน รวมไปถึงมีศักยภาพในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ด้านวิชาการเข้ากับภาคการผลิตและบริการ โดยสามารถสร้างสรรค์ผลงานวิจัยที่มีอยู่นำไปพัฒนาต่อยอด จนมีศักยภาพเพียงพอที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงสาธารณประโยชน์หรือเชิงพาณิชย์ได้”

สำหรับทุนนักวิจัยแกนนำ ประจำปี 2553  ท่านแรก  ศ.ดร.สมชาติ  โสภณรณฤทธิ์  จากผลงานการพัฒนากระบวนการอบแห้งขั้นสูงสำหรับอาหารและวัสดุชีวภาพ   สังกัดคณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  ได้รับทุนสนับสนุนเป็นเงินจำนวน  20 ล้านบาท  ทุนระยะเวลา 5 ปี  ศ.ดร.สมชาติ โสภณรณฤทธิ์ เป็นผู้มีประสบการณ์ มีความรู้ ความสามารถ ในด้านการวิจัยและพัฒนาการอบแห้งอาหารและวัสดุชีวภาพ ที่มีศักยภาพสูงสุดของประเทศไทย  โดยมีวัตถุประสงค์จะพัฒนาด้านการอบแห้งอาหารและวัสดุชีวภาพชนิดต่างๆ ทั้งในแง่ของความสามารถในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง และในแง่ของการใช้พลังงาน  อาทิ  การพัฒนาขนมขบเคี้ยวไร้น้ำมัน กระบวนการผลิตข้าวนึ่ง การอบแห้งผลไม้ เป็นต้น  ซึ่งนับว่าเป็นวิธีการเพิ่มมูลค่าให้กับอาหารและผลิตผลทางการเกษตรของประเทศ อันจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผลิตผลดังกล่าวในระดับนานาชาติได้รวมไปถึงการผลิตผลงานวิจัยที่มีคุณภาพสูงและสามารถตีพิมพ์เผยแพร่ได้ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ ตลอดจนผลิตบัณฑิตทั้งในระดับมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิตที่มีคุณภาพสูง และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศต่อไป

ท่านที่สอง  ศ.นพ.วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์  สังกัดคณะแพทยศาสตร์  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  ผลงานวิจัยเรื่อง ระบาดวิทยาเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพภาคใต้ โดยได้รับเงินทุนสนับสนุน   20 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 5 ปี เช่นกัน  ศ.นพ.วีระศักดิ์  จงสู่วิวัฒน์วงศ์  เป็นนักระบาดวิทยาที่อุทิศตนเองอย่างต่อเนื่อง ในการพัฒนาระบบสุขภาพทางด้านสังคม เศรษฐกิจและเทคโนโลยี เพื่อแก้ปัญหาสาธารณสุขในพื้นที่ภาคใต้ โดยในโครงการวิจัยนี้จะเน้นการแก้ปัญหาสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนใต้ อาทิ ระบบเฝ้าระวังการบาดเจ็บและการเสียชีวิตจากเหตุความรุนแรง ปัญหาแม่และเด็ก ยาเสพติด ยาสูบ ฟันผุ และขนาดปัญหาของโรคมะเร็ง  โดยหวังว่าผลงานวิจัยจะสามารถสนับสนุนการแก้ไขปัญหาของพื้นที่ได้ในระยะยาว  อีกทั้งยังจะเป็นการพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัย ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนด้านการพัฒนาสุขภาพของประเทศและของทวีปเอเชียในอนาคต

ด้าน รศ.นพ.ประสิทธิ์  ผลิตผลการพิมพ์  รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเสริมว่า  “โครงการทุนนักวิจัยแกนนำ  เป็นการให้ทุนแก่กลุ่มวิจัยที่ทำงานในขอบเขตเทคโนโลยีชีวภาพ มีระยะเวลาการดำเนินโครงการ 5 ปี  มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนกลุ่มนักวิจัยที่มีความรู้ความสามารถให้ได้ทุ่มเวลาและสติปัญญาในการทำงานวิจัย และพัฒนาในสาขาเทคโนโลยีชีวภาพได้อย่างเต็มที่ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อมุ่งหวังให้เกิดเครือข่ายงานวิจัยที่เข้มแข็ง มีความเชื่อมโยง และความคล่องตัวในการทำวิจัย ส่งเสริมการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ เข้าสู่การ การวิจัยและพัฒนาของประเทศ พร้อมทั้งเป็นการสร้างแรงจูงใจและความภาคภูมิใจในเส้นทางสายอาชีพนักวิจัย  ซึ่งที่ผ่านมา สวทช.ได้สนับสนุนไปแล้วกว่า  13 โครงการ ได้ผลิตภัณฑ์  5 ต้นแบบ มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติมากกว่า 200 เรื่อง จดสิทธิบัตรกว่า   11 เรื่อง และสามารถผลิตบุคลากรในระดับปริญญาโท ปริญญาเอก และหลังปริญญาเอก อีกกว่า 100 คน  นอกจากยังมีการนำผลงานวิจัยไปเผยแพร่สู่สาธารณชน และมีการต่อยอดสู่การใช้งานในเชิงพาณิชย์อีกหลายผลงาน”

สวทช. เปิดงาน การประชุมวิชาการประจำปี 2553 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสังคมและโลก นำผลงานเทคโนโลยี CAR Talk , จมูกอิเล็กทรอนิกส์ ไร้สาย และระบบ จักรยานไฟฟ้าครบวงจร ฯลฯ โชว์ศักยภาพผลงานนักวิจัยไทย

สวทช.  เปิดงาน การประชุมวิชาการประจำปี 2553  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  เพื่อสังคมและโลก   นำผลงานเทคโนโลยี   CAR  Talk   , จมูกอิเล็กทรอนิกส์ ไร้สาย  และระบบ จักรยานไฟฟ้าครบวงจร  ฯลฯ โชว์ศักยภาพผลงานนักวิจัยไทย

                ประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก กำลังประสบปัญหาวิกฤตพลังงานและสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากการใช้พลังงาน ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบ ที่เป็นปัญหาทั้วโลกคือ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ประเทศไทย ก็เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกติดอันดับ 24 ของโลก  ซึ่งเราคงจะนิ่งเฉยกับผลสำรวจดังกล่าวไม่ได้  ควรหันมาช่วยปลุกจิต รณรงค์ให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้ การกิน การอยู่ เพื่อช่วยกันลดการใช้พลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยกันลดภาวะโลกร้อน

            สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ได้จัดงานแถลงข่าว การประชุมวิชาการประจำปี 2553 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสังคมและโลก โดยได้นำไฮไลต์ ผลงานมาโชว์ดังนี้

  • CAR Talk ระบบสื่อสารระหว่างยานพาหนะ
  • ระบบจักรยานไฟฟ้าครบวงจร
  • จมูกอิเล็กทรอนิกส์ไร้สาย
  • ข้อเข่าเทียม ที่สามารถหมุนได้รอบ เพื่อช่วยเหลือ คนพิการ
  • ระบบบริการอ่านข่าวอัตโนมัติ
  • ฟิล์มเปลี่ยนสีตามอุณหภูมิ
  • สเกนกระบือ ในการวัดสัดส่วนมาตรฐาน กระบือไทย
  • การออกแบบพัฒนาต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้าขนาดเล็ก
  • เบาะติดแอร์ ส่วนตัว
  • เพิ่มมูลค่า การประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีกับการจัดการกากอุตสาหกรรมในประเทศไทย

จึงขอเรียนเชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมทำข่าว ในวันที่ 22 มีนาคม 2553 เวลา 13.00 น. ณ ห้องโถงกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี         สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ คุณสรินยา 081-988-6614 , คุณโกเมศ 081-664-8150 , คุณปริเยศ 084-910-0850   คุณกัญรินทร์ 084-5290006

การประชุมวิชาการ “พหุสัมพันธ์ระหว่างไก่กับคน” (Human-Chicken Multi- Relationships Research Project)

[singlepic id=158 w=320 h=240 float=]

18 มีนาคม 2553 ณ สยามสมาคมในพระบรมราชูประถัมภ์ กรุงเทพฯ : สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดการประชุมวิชาการ “พหุสัมพันธ์ระหว่างไก่กับคน” (Human-Chicken Multi- Relationships Research Project) พร้อมพระราชทานของที่ระลึกแก่นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิ จากทั้งประเทศไทย และญี่ปุ่น ที่มีส่วนร่วมทำวิจัยฯ จนสำเร็จ จำนวน 45 ท่าน ทั้งนี้ โครงการพหุสัมพันธ์ระหว่างคนกับไก่ เป็นผลการดำเนินงานการศึกษาวิจัยร่วมกันระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่น โดยได้รับมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเจ้าชายอากิฌิโน ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ในการศึกษาวิจัยฯ ซึ่งได้กำหนดแนวทางของโครงการร่วมวิจัยครั้งนี้ ออกเป็น 4 ด้าน กล่าวคือ มนุษยศาสตร์ ชีววิทยาและนิเวศวิทยา เศรษฐศาสตร์ และภูมิสารสนเทศ การนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ ของประเทศเข้าร่วมศึกษาวิจัยและรับผิดชอบ โดยมีหน่วยงานต่างๆ ร่วมวิจัยดังนี้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมปศุสัตว์ เป็นต้น

[singlepic id=159 w=320 h=240 float=]

ทั้งนี้ ภายใต้การดำเนินการวิจัยนั้น การบริหารจัดการโครงการวิจัยเรื่องดังกล่าวนั้น ฝ่ายไทยอยู่ในความดูแลของ ศ.ดร. ไพรัช ธัชพงษ์ (โดยมี ดร. ธนิต ชังถาวร และ นางสาวปริญ์ญภรณ์ เต็งประเสริฐ จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ เป็นผู้ช่วย) และฝ่ายญี่ปุ่นอยู่ภายใต้การดูแลของ ศ. อากางิ โอซามุ โดยมีการวางระเบียบการวิจัยไว้ดังนี้ 1. ขอบเขตและรายละเอียดการศึกษาใดๆ ต้องได้รับการตกลงจากทั้งสองฝ่าย

2. งานวิจัยทุกเรื่องภายใต้ HCMR ต้องเป็นงานวิจัยร่วมระหว่างนักวิจัยไทยและญี่ปุ่น

3. การเคลื่อนย้ายวัสดุทางชีวภาพใดๆ ภายใต้โครงการนี้ต้องเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 4.นักวิจัยต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยแก่ผู้ดูแลโครงการทั้งฝ่ายไทยและญี่ปุ่น

5. ข้อมูลจะถูกเก็บและบริหารใน www.biotec.or.th/hcmr ซึ่งอยู้ภายใต้การดูแลของศูนย์พันธุ วิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ

6. นักวิจัย HCMR สามารถใช้ข้อมูลจากโครงการได้โดยมีการแจ้งให้ดูแลดครงการทราบเป็นการล่วงหน้า

7. การตีพิมพ์ข้อมูลใดๆ จากโครงการต้องมีการอ้างอิงว่าข้อมูลดังกล่าวมาจาก “Haman-Chicken Multi-Relationships Research Project – H.I.H. Prince Akishino’s Research under the Royal Patronage of H.R.H. Princess Maha Chakri Sirindhorn “

[singlepic id=160 w=320 h=240 float=]

ตลอดระยะเวลาของการทำวิจัย นักวิจัยทั้งไทยและญี่ปุ่น ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยร่วมกัน โดยมีการดำเนินการศึกษาในภาคสนามในพื้นที่จังหวัดเชียงรายอย่างน้อย 5 ครั้ง และยังมีการร่วมกันศึกษาวิจัยในสถาบันร่วมวิจัย HCMR เช่น คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีกหลายครั้ง ซึ่งผลงานวิจัยนั้นได้ถูกนำไปเผยแพร่ในงาน HCMR congress ซึ่งได้จัดกันมาต่อเนื่อง 3 ครั้ง (พ.ศ. 2548 พ.ศ. 2549 และ พ.ศ.2550) ทั้งในประเทศไทย และ ญี่ปุ่น นอกจากนี้นักวิจัยญี่ปุ่นเองก็ได้มาเป็นวิทยากรฝึกอบรมนักวิจัยไทยภายใต้หัวข้อต่างๆ เช่น Three Dimensional Analysis on Skull of Japanese Native Chicken Fowls เป็นต้น ซึ่งจนถึงปัจจุบันนักวิจัยทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการวิจัยจนสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการ และได้คัดเลือกผลงานดีเด่นตีพิมพืในหนังสือ“Chickens and Humans in Thailand: Their Multiple Relationships and Domestication ” ซึ่งการตีพิมพ์หนังสือดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งกำหนดว่าจะตีพิมพ์ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 โดยพิมพ์จำนวน 2,000 เล่ม นอกจาก ความสำเร็จของการทำวิจัยร่วมกันระหว่างสองประเทศแล้ว ยังได้พัฒนาบุคลากรของฝ่ายไทยด้วย โดยนักวิจัย HCMR จากฝ่ายไทย (นายไสว วังหงษา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช) ได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ภายใต้การสนับสนุนทุนการศึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่น หัวข้อวิจัย เรื่อง นิเวศวิทยาของไก่ป่าในประเทศไทย ภายใต้การดูแลของนักวัยอาวุโส HCMR จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะสำเร็จการศึกษาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 อีกด้วย

สวทช. /ก.วิทย์ฯ แถลงเชิดชูผลงาน 2 นักวิจัยพร้อมมอบทุน 20 ล้าน เพื่อสานต่องานวิจัย ด้วยผลงาน การพัฒนากระบวนการอบแห้งขั้นสูงสำหรับอาหารและวัสดุชีวภาพ และระบาดวิทยาเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพภาคใต้

เรื่อง    สวทช. /ก.วิทย์ฯ  แถลงเชิดชูผลงาน 2 นักวิจัยพร้อมมอบทุน 20 ล้าน เพื่อสานต่องานวิจัย ด้วยผลงาน การพัฒนากระบวนการอบแห้งขั้นสูงสำหรับอาหารและวัสดุชีวภาพ  และระบาดวิทยาเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพภาคใต้

เรียน   บรรณาธิการข่าว

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ได้เล็งเห็นความจำเป็นในการสนับสนุนให้นักวิทยาศาสตร์ที่มีศักยภาพของประเทศ ให้มีโอกาสดำเนินงานวิจัยได้อย่างราบรื่น รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงได้จัดตั้งโครงการทุนส่งเสริมกลุ่มนักวิจัยอาชีพ เป็นจำนวนเงิน 20 ล้านบาท ให้แก่กลุ่มวิจัยที่ทำงานในขอบเขตเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งมีระยะเวลาการดำเนินงานของโครงการ 5 ปี  และทุกโครงการได้ผ่านการพิจารณาอย่างเข้มงวด จากผู้เชี่ยวชาญและคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ  ซึ่งในปีนี้มีนักวิจัยที่ได้ผ่านการคัดเลือกแล้ว  2 ท่าน  จากผลงาน การพัฒนากระบวนการอบแห้งขั้นสูงสำหรับอาหารและวัสดุชีวภาพ  และ ระบาดวิทยาเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพภาคใต้

 

ดังนั้น ในวันศุกร์ที่ 19 มีนาคม  2553  เวลา  13.00  น.  ณ  ห้องกมลทิพย์  1  โรงแรมสยามซิตี้   ถ. ศรีอยุธยา   เขตพญาไท    สวทช. จึงได้มีการแถลงข่าวเชิดชูผลงานพร้อมมอบทุนนักวิจัยแกนนำ แก่ทั้ง 2 นักวิจัยที่สร้างผลงานและคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ  การนี้ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช  รมว.กระทรวงวิทย์ฯ และรศ.ดร.ศักรินทร์  ภูมิรัตน  ผู้อำนวยการสวทช. ให้เกียรติร่วมเป็นประธานในงานดังกล่าวด้วย

 

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาส่งผู้สื่อข่าวเข้าร่วมทำข่าว/รายงานพิเศษ ในวันและเวลาดังกล่าวด้วย จักขอบพระคุณยิ่ง  โดยสามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณโกเมศ, คุณสรินยา, คุณกัญรินทร์และคุณปริเยศ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี     โทรศัพท์   02-6448150-89  ต่อ  217,237,212,712  หรือ  081-6681064,  081-9886614, 084-5290006  และ 084-9100850

สวทช. /กระทรวงวิทย์ พัฒนามาตรฐานการใช้ภาษาไทยใน QR Code หวังยกระดับการบริหารจัดการหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เช่น เพิ่มความแม่นยำในกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง

เรื่อง    สวทช. /กระทรวงวิทย์ พัฒนามาตรฐานการใช้ภาษาไทยใน QR Code หวังยกระดับการบริหารจัดการหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เช่น เพิ่มความแม่นยำในกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง, การออกใบสั่งยาของโรงพยาบาล   และกระบวนการ

โลจิสติกส์  เป็นต้น

เรียน   บรรณาธิการข่าว

 

            ด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานสัมมนาเทคโนโลยีแท่งสองมิติกับมาตรฐานภาษาไทย  วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2553 เวลา 09.00 -12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคารสวทช. โยธี  กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี   เนื่องจาก International Organization for Standardization (ISO) และ International Electrotechnical Commission (IEC) ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีรหัสแท่งสองมิติ ซึ่งมีคุณสมบัติที่เหนือกว่ารหัสแท่งในปัจจุบันหลายด้าน เช่น สามารถบันทึกข้อมูลได้ปริมาณมาก และสามารถอ่านข้อมูลจากรหัสแท่งสองมิติที่ไม่สมบูรณ์ได้ และการใช้รหัสแท่งสองมิตินี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำไปประยุกต์ใช้ด้านการจัดการโลจิสติกส์ จากมูลเหตุสำคัญข้างต้น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเห็นว่าการพัฒนามาตรฐานการใช้ภาษาไทยกับ QR Code  มีประสิทธิภาพมากขึ้น และจะเป็นเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่สำคัญในสร้างสรรนวัตกรรมการบริหารจัดการและการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จึงมีการพัฒนามาตรฐานรหัสอักขระไทยขึ้น ภายใต้ความร่วมมือระหว่างศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. กับ Center of the International ประเทศญี่ปุ่น

            การนี้ งานสัมมนาดังกล่าวได้รับเกียรติจาก คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานในพิธี  ในวันและเวลาดังกล่าว  สามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณโกเมศ, คุณสรินยา, คุณกัญรินทร์และคุณปริเยศ  เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทรศัพท์ 02-6448150-89  ต่อ 217,237,212,712 หรือ 081-6681064,  081-9886614, 084-5290006  และ 084-9100850           

2 องค์กรชั้นนำของรัฐ ผนึกกำลัง พัฒนาและวิจัยวิทยาศาสตร์ฯ อย่างเป็นรูปธรรม หวังลดการพึ่งพาและการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

[singlepic id=155 w=320 h=240 float=]

เมื่อวันที่  4 กุมภาพันธ์  ณ ห้องประชุมราชสนีย์พิทักษ์  ชั้น 10  อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม  ถ. แจ้งวัฒนะ  จ.นนทบุรี  : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) (สทป.) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนาอย่างมีศักยภาพ และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศ

[singlepic id=156 w=320 h=240 float=]

        รศ.ดร.ศักรินทร์  ภูมิรัตน ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าว เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ 2 หน่วยงาน คือ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน)  โดยที่ สวทช. มีบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบในการพัฒนาและสนับสนุนการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การวิจัย พัฒนาและวิศวกรรมของภาครัฐบาล ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา  รวมทั้ง มุ่งผลักดันให้ประเทศไทยแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองบนเวทีเศรษฐกิจระดับโลก โดยการนำความสามารถอันเหนือชั้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีป้องกันประเทศสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งในด้านทางการทหารและไม่ใช่ด้านการทหาร มีลักษณะเป็น Dual-Use Technology เช่น เทคโนโลยีนิวเคลียร์ เทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรือดาวเทียม เป็นต้น จึงถือได้ว่าการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมทั้งสร้างความมั่นคงให้กับประเทศ

[singlepic id=157 w=320 h=240 float=]

รศ.ดร.ศักรินทร์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันรัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการวิจัยและพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีการค้าโลก รวมทั้งลดการพึ่งพาและการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ มุ่งเน้นที่จะพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภายในประเทศ   การเป็นเจ้าของในองค์ความรู้และเทคโนโลยีมีความสำคัญต่อการประยุกต์ใช้ และการต่อยอดเทคโนโลยี   โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีป้องกันประเทศที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ  การพัฒนาศักยภาพด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเพื่อให้สามารถผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ได้ตามปริมาณ คุณภาพ และเวลาที่ต้องการจะส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม      ตัวอย่างผลงานสำคัญที่ผ่านมาของ สวทช. ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เช่น เครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือขนาด 15 วัตต์ (T-Box), เสื้อเกราะกันกระสุนคุณภาพสูง โดยใช้วัตถุดิบและเทคโนโลยีในประเทศ, การพัฒนาระบบต้นแบบสำหรับการสำรวจระยะไกลจากเครื่องบินขนาดเล็กแบบอัตโนมัติ, การพัฒนาหุ่นยนต์กู้ภัยและเก็บกู้วัตถุระเบิด เป็นต้น

            ด้าน  พลโท ฐิตินันท์ ธัญญสิริ    ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ   (องค์การมหาชน) (สทป.) กล่าวว่า  การประสานความร่วมมือด้านบุคลากรและเทคโนโลยีกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นอีกก้าวหนึ่งในการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนา  อันเป็นหนึ่งในพันธกิจของ สทป.  ทั้งนี้ด้วยภารกิจหลักของ สทป. ที่มุ่งการวิจัยและพัฒนายุทโธปกรณ์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย  อันนำไปสู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง   เพื่อการพึ่งพาตนเองด้านความมั่นคงของชาติอย่างยั่งยืน  ด้วยวิสัยทัศน์  “เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศในภูมิภาค ตอบสนองความต้องการของกองทัพไทยและพันธมิตรอาเซียน”

            นอกจากนี้ รศ.ดร.ศักริทร์ ฯ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า  สวทช.  และ สทป. ตกลงร่วมมือกันดำเนินการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นที่จะร่วมกันทำโครงการวิจัยและพัฒนาในเทคโนโลยีป้องกันประเทศ  ร่วมกันจัดหาและสนับสนุนทรัพยากร เช่น บุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ สำหรับใช้ในการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาภายใต้ความร่วมมือนี้  ร่วมกันสนับสนุนและส่งเสริมการนำผลงานวิจัยและพัฒนาไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ หรือเชิงสาธารณะประโยชน์ และร่วมกันจัดทำและพัฒนาฐานข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนาร่วมกัน เช่น ฐานข้อมูลโครงการวิจัยและพัฒนา รายชื่อบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา  เป็นต้น

สวทช./ก.วิทย์ฯ ร่วมมือ สทป. วิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หวังนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

เรื่อง     สวทช./ก.วิทย์ฯ ร่วมมือ สทป. วิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หวังนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

เรียน    บรรณาธิการข่าว

 

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ  (องค์การมหาชน) หรือ สทป.  จัดพิธีลงนามความร่วมมือด้านการวิจัย พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการจัดหาและสนับสนุนทรัพยากรบุคลากร งบประมาณ และการแลกเปลี่ยนความรู้  ฯลฯ อันนำไปสู่การทำวิจัยร่วมกันและการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และสาธารณะประโยชน์ ลดการพึ่งพาและการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

 

ทั้งนี้ งานดังกล่าว จัดให้มีขึ้น ใน  วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2553 เวลา  10.00 น.   ณ  ห้องประชุมราชสนีย์พิทักษ์   ชั้น 10   อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม  ถ.  แจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี              การนี้  รศ.ดร. ศักรินทร์  ภูมิรัตน     ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ     และ พลโท ดร.ฐิตินันท์   ธัญญสิริ    ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ  (องค์การมหาชน)  ร่วมเป็นประธานในพิธีดังกล่าวด้วย

 

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาส่งผู้สื่อข่าวเข้าร่วมทำข่าว/รายงานพิเศษ ในวันและเวลาดังกล่าวด้วย จักขอบพระคุณยิ่ง  โดยสามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณโกเมศ, คุณสรินยา, คุณกัญรินทร์และคุณปริเยศ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  โทรศัพท์ 02-6448150-89  ต่อ 217,237,212,712  หรือ 081-6681064,  081-9886614, 084-5290006  และ 084-9100850

สวทช. จับมือ ญี่ปุ่น ร่วมลดภาวะก๊าซเรือนกระจก ระดมนักวิจัยพัฒนา นวัตกรรมในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากชีวมวลที่ไม่ใช่อาหาร เริ่มพืชสบู่ดำเป็นวัตถุดิบหลัก

[singlepic id=153 w=320 h=240 float=]

วันที่ 25 กุมภาพันธ์  2553   ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี   มีพิธีลงนามบันทึกการหารือ ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น(Japan International Cooperation Agency : JICA) และความตกลงการทำวิจัยร่วม ระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) กับ สำนักความร่วมมือระหว่างประเทศและวิเทศสัมพันธ์ของสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมขั้นสูงแห่งญี่ปุ่น (National Institute of Advanced Industrial Science and Technology: AIST) และ Waseda University (WU) ประเทศญี่ปุ่น ในการร่วมงานวิจัยและพัฒนาภายใต้โครงการ “นวัตกรรมในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากชีวมวลที่ไม่ใช่อาหาร และการใช้งานในยานยนต์ (INNOVATION ON PRODUCTION AND AUTOMOBILE UTILIZATION OF BIOFUELS FROM NON-FOOD BIOMASS)

[singlepic id=154 w=320 h=240 float=]

              สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย(วว.) ได้ร่วมมือกันในการทำโครงการวิจัยและพัฒนาไบโอดีเซลจากปาล์มน้ำมัน   โดยการพัฒนาเครื่องบีบน้ำมันปาล์ม และเครื่องอุปกรณ์ต้นแบบการผลิตไบโอดีเซลแบบ Batch และแบบต่อเนื่อง มีการสร้างโรงงานต้นแบบการผลิตไบโอดีเซล โดยร่วมกับกรมอู่ทหารเรือและภาคเอกชน ในปี พ.ศ. 2550 ในด้านความร่วมมือกับต่างประเทศนั้น  สวทช.  วว. และ National Institute of Advanced Industrial Science and Technology (AIST) ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการลงนามความร่วมมือในการวิจัยพัฒนาในสาขาต่าง ๆ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา โดยได้เริ่มการวิจัยและพัฒนาโครงการวิจัยนำร่องเพื่อเพิ่มคุณภาพ ไบโอดีเซล และการร่วมกันจัดทำมาตรฐานไบโอดีเซลร่วมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 จนถึงปัจจุบัน

            ทั้งนี้ โครงการนวัตกรรมในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากชีวมวลที่ไม่ใช่อาหาร และการใช้งานในยานยนต์ (INNOVATION ON PRODUCTION AND AUTOMOBILE UTILIZATION OF BIOFUELS FROM NON-FOOD BIOMASS)  ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยเป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2553 – 2557  งบประมาณรวมประมาณ 220 ล้านบาท วัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตพลังงานเชื้อเพลิงยานยนต์จากวัตถุดิบชีวมวลที่ไม่ใช่อาหาร ซึ่งจะเริ่มต้นจากพืชสบู่ดำเป็นวัตถุดิบหลัก  โดยเป้าหมายสำคัญคือ โรงงานต้นแบบขนาดกำลังการผลิต 1 ตันต่อวัน  ที่สามารถผลิตน้ำมันไบโอดีเซลคุณภาพสูงจากสบู่ดำ และต้นแบบกระบวนการผลิตไบโอแก๊สโซลีนและดีเซลสังเคราะห์จากกากสบู่ดำหลังการสกัดน้ำมันออกแล้ว

ด้านรองผู้อำนวยการสวทช. นายประยูร เชี่ยววัฒนา กล่าวว่า  ความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่าง AIST  สวทช. และวว. ที่ยาวนานและแน่นแฟ้นตลอดมา  ได้มีการประชุมความร่วมมือด้านงานวิจัยระหว่างกันมาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว โดยมีการจัดประชุมทุกๆ ปี สลับกันในประเทศไทยและญี่ปุ่น  เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูล  และรายงานผลความคืบหน้าโครงการความร่วมมือต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างกัน  ซึ่งสิ่งนี้น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่จะนำมาสู่ความสำเร็จในการได้รับทุนสนับสนุนจาก JICA และ  JST ในครั้งนี้

รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวอีกว่า พลังงานสะอาดและพลังงานทดแทนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาอย่างยั่งยืนของโลก การนำเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของประเทศญี่ปุ่นมาใช้พัฒนาทรัพยากรที่มีอยู่มากมายในเมืองไทย  โดยทีมนักวิจัยที่เชี่ยวชาญของทั้งสองประเทศ จะเกิดผลสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันสบู่ดำและน้ำมันสังเคราะห์จากกากสบู่ดำในอนาคตอันใกล้นี้  สวทช. ขอให้คำยืนยันว่าทีมวิจัยไทยจะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้โครงการนี้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ด้าน รศ.ดร.วีระศักดิ์  อุดมกิจเดชา ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค)กล่าวว่า ประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก กำลังประสบปัญหาวิกฤตพลังงานและปัญหาสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากการใช้พลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ และมีการนำเข้าสูงอย่างต่อเนื่อง  คาดการณ์ว่า ในปี 2553 ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าค่าเฉลี่ยของโลก คือ 3.9 ตัน CO2 เทียบเท่าต่อคน ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีพันธกรณีที่จะต้องลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในประเทศ

            ผู้อำนวยการเอ็มเทค กล่าวอีกว่า  การร่วมมือกันในครั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถผลิตพลังงานเชื้อเพลิงไบโอดีเซลพลังงานสะอาด ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในประเทศ และที่สำคัญจะสามารถลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศได้

สวทช./ ก.วิทย์ฯ พร้อมพันธมิตร ร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่น วิจัยและพัฒนานวัตกรรมการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากชีวมวลที่ไม่ใช่อาหารและการใช้งานในรถยนต์

เรื่อง สวทช./ ก.วิทย์ฯ พร้อมพันธมิตร ร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่น วิจัยและพัฒนานวัตกรรมการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากชีวมวลที่ไม่ใช่อาหารและการใช้งานในรถยนต์

เรียน บรรณาธิการข่าว
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ที่มีศักยภาพในการผลิตและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เพื่อบริโภคภายในประเทศ และส่งออกเป็นอาหารสำหรับประชากรของประเทศอื่นๆ ในฐานะครัวของโลก มีพืชเศรษฐกิจที่เหลือจากการผลิตเป็นอาหารสำหรับนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงทดแทนในภาคขนส่ง คือ อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน อีกทั้งยังมีศักยภาพในการเพาะปลูกพืชพลังงานอื่นที่ไม่ใช่อาหาร
ดังนั้นเพื่อจัดหาแหล่งพลังงานในระยะยาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อเพลิงภาคการขนส่ง และพลังงานทดแทน ให้มีปริมาณเพียงพอต่อการใช้งานภายในประเทศสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้ร่วมกับ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) และ National Institute of Advanced Industrial Science and Technology (AIST) และ Waseda University (WU) ประเทศญี่ปุ่น ลงนามบันทึกข้อตกลงการทำวิจัยร่วม (Joint Research Agreement) โครงการวิจัยและพัฒนา “นวัตกรรมในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากชีวมวลที่ไม่ใช่อาหาร และการใช้งานในยานยนต์ (INNOVATION ON PRODUCTION AND AUTOMOBILE UTILIZATION OF BIOFUELS FROM NON-FOOD BIOMASS)” ขณะเดียวกัน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ทำความตกลงการทำวิจัยร่วม (Joint Research Agreement) กับ Japan International Cooperation Agency (JICA)
ในวันพฤหัสบดี ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 11.00 น. ณ ห้องโถง ชั้น 1 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาส่งผู้สื่อข่าวเข้าร่วมทำข่าว/รายงานพิเศษ ในวันและเวลาดังกล่าวด้วย จักขอบพระคุณยิ่ง โดยสามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณโกเมศ, คุณสรินยา, คุณกัญรินทร์และคุณปริเยศ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทรศัพท์ 02-6448150-89 ต่อ 217,237,212,712 หรือ 081-6681064, 081-9886614, 084-5290006 และ 084-9100850

กำหนดการสำหรับสื่อมวลชน กรณี การทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที200

กำหนดการสำหรับสื่อมวลชน

กรณี การทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที200

โดย คณะกรรมการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที 200

ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี

วันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ 2553

……………………..

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553

  • 8.00 . สื่อมวลชนลงทะเบียน อาคารเนคเทค อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ( การติดตามทำข่าวการทดสอบฯ อนุญาตให้สื่อมวลชนที่ลงทะเบียนเท่านั้น )

  • แถลงข่าวครั้งที่ 1 เวลา 8.30 . ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แถลงข่าววัตถุประสงค์และขั้นตอนการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที 200 ณ ห้องโถงกลาง อาคารเนคเทค

  • 9.00 . คณะกรรมการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที 200 เริ่มกระบวนการ CT Scan วัตถุระเบิด(สารทดสอบ C4 ปริมาณ 20 กรัม ห่อด้วยพลาสติก ) เพื่อยืนยันความถูกต้องและปราศจากสิ่งแปลกปลอมของวัตถุระเบิดที่ใช้ในกระบวนการทดสอบ

  • 9.30 . คณะกรรมการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที 200 นำสารทดสอบ(C4)เดินทางเข้าสถานที่ทดสอบ ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ( โดยมติของคณะกรรมการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที 200 มีมติว่าเพื่อให้กรรมการทดสอบฯทุกคณะทำงานอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุดและไม่มีปัญหาใดๆกระทบการขั้นตอนการทดสอบ จึงไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนติดตามทำข่าวที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร และไม่อนุญาตให้มีรถถ่ายทอดสดOB อยู่ใกล้บริเวณการทดสอบบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรในระยะ 200 เมตร งานประชาสัมพันธ์เนคเทคจะจัดสถานที่อำนวยความสะดวกในกับสื่อมวลชนที่อาคารเนคเทคเท่านั้น )

  • หลังจากที่กรรมการฯเข้าสถานที่ทดสอบจนครบแล้ว จะไม่มีคณะกรรมการฯออกมาจากสถานที่ทดสอบจนกว่าการทดสอบจะแล้วเสร็จ คาดว่าไม่เกินวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2553 หากกรรมการท่านใดออกมาจากสถานที่ทดสอบแล้วจะกลับเข้าไปไม่ได้ ยกเว้นโฆษกคณะกรรมการฯ ( กระบวนการทดสอบทั้งหมดจะมีการบันทึกเทปวีดิทัศน์ไว้ซึ่งคณะกรรมการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที 200 จะเปิดเผยให้สื่อมวลชนได้รับทราบภายหลังการรายงานผลการทดสอบในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว)

  • แถลงข่าวครั้งที่ 2ช่วงเวลา 11.30 – 13.00 . ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการเนคเทค ในฐานะโฆษกคณะกรรมการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที 200 แถลงข่าวความคืบหน้าการทดสอบ ณ ห้องโถงกลาง อาคารเนคเทค ( ไม่สามารถระบุเวลาที่แน่นอนได้ ดร.พันธ์ศักดิ์ จะสามารถออกจากสถานที่ทดสอบได้กรณีมีการหยุดพักรับประทานอาหาร )

  • แถลงข่าวครั้งที่ 3 ช่วงเวลา 17.00 – 19.00 . ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการเนคเทค ในฐานะโฆษกคณะกรรมการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที 200 แถลงข่าวความคืบหน้าการทดสอบ ณ ห้องโถงกลาง อาคารเนคเทค ( ไม่สามารถระบุเวลาที่แน่นอนได้ ดร.พันธ์ศักดิ์ จะสามารถออกจากสถานที่ทดสอบได้กรณีมีการหยุดพักรับประทานอาหาร )

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2553 (กรณีวันแรกไม่สามารถดำเนินการทดสอบได้ครบ 20 รอบ )

  • แถลงข่าวครั้งที่ 4 ช่วงเวลา 11.30 – 13.00 . ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการเนคเทค ในฐานะโฆษกคณะกรรมการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที 200 แถลงข่าวความคืบหน้าการทดสอบ ณ ห้องโถงกลาง อาคารเนคเทค ( ไม่สามารถระบุเวลาที่แน่นอนได้ ดร.พันธ์ศักดิ์ จะสามารถออกจากสถานที่ทดสอบได้กรณีมีการหยุดพักรับประทานอาหาร )

  • แถลงข่าวครั้งที่ 5 ช่วงเวลา 17.00 – 19.00 . ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการเนคเทค ในฐานะโฆษกคณะกรรมการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที 200 แถลงข่าวความคืบหน้าการทดสอบ ณ ห้องโถงกลาง อาคารเนคเทค ( ไม่สามารถระบุเวลาที่แน่นอนได้ ดร.พันธ์ศักดิ์ จะสามารถออกจากสถานที่ทดสอบได้กรณีมีการหยุดพักรับประทานอาหาร )

 

     

หมายเหตุ

 

  • เมื่อกระบวนการทดสอบจะดำเนินการไปจนครบ 20 รอบ ( อาจจะเป็นวันที่ 14 หรือ 15 ) จากนั้นคณะกรรมการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที 200 ทุกท่านจะเดินทางมาประชุมร่วมกันที่ห้องประชุมใหญ่ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ( ภายใน 1-2 ชั่วโมงหลังการทดสอบแล้วเสร็จ) อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปบันทึกภาพการประชุมได้ในช่วงแรก จากนั้นคณะกรรมการจะมีการประชุมลับเพื่อสรุปผล และจะไม่เปิดเผยผลการทดสอบและผลการประชุมใดๆทั้งสิ้น

  • สื่อมวลชนใดต้องการนำรถถ่ายทอดสด(OB ) มาติดตามทำข่าวในครั้งนี้ โปรดแจ้งที่นายอรรถกร ศิริสุวรรณ ( หน.งานประชาสัมพันธ์เนคเทค )

 

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2553

  • 8.30 . ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานคณะกรรมการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิดจีที200นำผลการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิดจีที200 รายงานต่อนายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ทำเนียบรัฐบาล

 

………………………

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่งานประชาสัมพันธ์เนคเทค 02-5646900

อรรถกร ศิริสุวรรณ ( หน.งานประชาสัมพันธ์ ) 0815711535

สายพิณ ธนะศิริวัฒนา 081-8991380

นัทธ์หทัย ทองนะ 085-3261854

ศิริพร ปานสวัสดิ์ 081-4226061

[singlepic id=152 w=320 h=240 float=]