magnify
magnify

Open Knowledge for all 

Home ASEAN เช็กชีพจร 4 พืชเศรษฐกิจไทยแข่งขันยาก-จี้เร่งปรับตัวก่อนสายเกินแก้
formats

เช็กชีพจร 4 พืชเศรษฐกิจไทยแข่งขันยาก-จี้เร่งปรับตัวก่อนสายเกินแก้

ภาคการเกษตรของไทยเป็นอีกหนึ่งภาค ส่วนที่ต้องเร่งปรับตัวรับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง หลังก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี แต่ดูเหมือนว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ยังนิ่งนอนใจ ทั้งๆ ที่หลายสินค้าเกษตรของไทยที่ถูกแซงหน้าไปแล้ว ทั้งการสูญเสียตลาดส่งออกข้าว การมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าเพื่อนบ้าน ขณะที่ผลผลิตต่อไร่กลับลดลง ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส.จึงได้ทำการศึกษาเพื่อเตรียมพร้อม
นายสม ศักดิ์ กังธีระวัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส.ได้ทำการศึกษาถึงผลกระทบจากการเข้าสู่ประชาชนเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เพื่อเตรียมความพร้อมการดำเนินงานของ ธ.ก.ส. และภาคการเกษตรของไทย ซึ่งแน่นอนว่าภาคเกษตรของไทยมีทั้งส่วนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ที่เห็นชัดๆ คือจากการเคลื่อนย้ายแรงงาน อาจทำให้ภาคเกษตรของไทยขาดแคลนแรงงาน และมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น จึงต้องเร่งปรับตัวในการพัฒนาด้านประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพของผลผลิตแทน โดยเฉพาะในพืชเศรษฐกิจหลัก 4 ชนิดของไทย อย่าง ข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา และอ้อย
จากการศึกษาพบว่า ปัจจุบันความสามารถในการแข่งขันข้าวไทยลดลง เนื่องจากผลผลิตต่อไร่ลดลง แต่ต้นทุนการผลิตกลับสูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยต่ำกว่าเวียดนาม ในด้านประสิทธิภาพการผลิตพบว่า ปี 2553 ผลผลิตต่อไร่ของไทยน้อยกว่าเวียดนาม 48.1% และต้นทุนการผลิตของเวียดนามน้อยกว่าไทยเกือบเท่าตัว
ส่วน ปาล์มน้ำมัน ขณะนี้ไทยมีส่วนแบ่งการตลาดส่งออกน้ำมันปาล์มเพียง 2.2% โดยผู้ครองตลาดโลกคือ อินโดนีเซีย มีส่วนแบ่งการตลาดถึง 50% รองลงมาคือมาเลเซียมีส่วนแบงการตลาด 30% การเข้าสู่เออีซีทำให้มีการลดภาษีนำเข้าปาล์มน้ำมัน จึงส่งผลกระทบต่อการผลิตปาล์มและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ อาจทำให้น้ำมันปาล์มจากอินโดนีเซียและมาเลเซียเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก ขึ้นเนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไทย
ขณะที่ยางพารานั้น พบว่าไทยมีพื้นที่ปลูกยางพาราเป็นอันดับสองรองจากอินโดนีเซีย พื้นที่ปลูกของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 5.35% ผลผลิตรวมเฉลี่ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 1.53% ต่อปี โดยในปี 2554 อินเดียเป็นประเทศที่มีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกจำนวน 303 กิโลกรัมต่อไร่ รองลงมาคือเวียดนาม 275 กก.ต่อไร่ และไทย 262 กก.ต่อไร่
ขณะที่อินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตสำคัญกลับมีผลผลิตเฉลี่ยที่น้อยกว่าอยู่ที่ 146 กก.ต่อไร่และ 107 กก.ต่อไร่ ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ไทยจำเป็นต้องปรับกระบวนการผลิตที่เป็นจุดแข็งในการเป็นผู้ผลิตและส่งออกราย ใหญ่ เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นฮับยางพารา สร้างอำนาจการต่อรองและเป็นผู้กำหนดราคายางได้เองในอนาคต รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการผลิตอุตสาหกรรปลายน้ำของยางพาราและอุตสาหกรรมที่ สร้างมูลค่าเพิ่ม
สุดท้ายสินค้าเกษตรประเภทอ้อย และน้ำตาลทรายถือว่า ไทยเป็นผู้ส่งออกผลผลิตจากอ้อยและน้ำตาลทรายเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน มีการส่งออกไปประเทศในอาเซียนประมาณ 2.73 ล้านตันในปี 2554 ขณะที่ตลาดดังกล่าวมีความต้องการนำเข้าประมาณปีละ 2.9 ล้านตัน ยิ่งเมื่อเปิดเออีซีจะเป็นโอกาสของไทยในการขยายตลาดในภูมิภาคนี้มากขึ้นแต่ ไทยจำเป็นต้องมุ่งพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุน ที่จะเข้าสู่การแข่งขันและความร่วมมือในการลงทุนในประเทศอาเซียนด้วยกัน
ทั้ง นี้ ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส.มองว่าผลกระทบต่อภาคเกษตร อาจทำให้มีการแข่งขันด้านราคาจากฐานการผลิตสินค้าเพื่อส่งต่อให้แก่ธุรกิจ อุตสาหกรรมการเกษตร โดยอาจมีแรงกดดันทั้งเรื่องของอัตราภาษีศุลากร ถิ่นกำเนิกหรือแหล่งผลิตสินค้า มาตรฐานสินค้าและระเบียบหรือขั้นตอนการนำเข้า-ส่งออก อาจจะนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายและเวลาที่สูงขึ้นจากความหลากหลายของระบบด้วย ธ.ก.ส.ในฐานะที่เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่ให้บริการทางการเงินแก่ เกษตรกร จึงให้ความสำคัญกับการนำเสนอข้อมูลเพื่อปรับตัวและเตรียมความพร้อมให้แก่ เกษตรกรก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

นักวิชาการแนะจัดระเบียบผลผลิต
นายมรกต ตันเจริญ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวถึง สถานการณ์และแนวโน้มการเกษตรและอาหารของโลกและของประเทศไทย ซึ่งจากข้อมูลมีการคาดการณ์กันว่าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 7 พันล้านคนในปี 2555 เป็น 9 พันล้านคนในปี 259. (ค.ศ.2050) ทำให้ความต้องการอาหารเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่า จากข้อจำกัดด้านพื้นที่เพาะปลูก การเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่จึงเป็นแนวทางที่ช่วยเพิ่มผลผลิตอาหารอย่างยั่งยืน

ขณะที่วิกฤติพลังงาน ทำให้กระทรวงพลังงานมีแผนส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 20% ของพลังานที่ใช้ทั้งหมด ภายในปี 2565 เช่น การใช้เอทานอลและไบโอดีเซล ที่ผลิตจากพืชผลการเกษตรแต่อ้อย (กากน้ำตาล) และมันสำปะหลังที่ใช้ผลิตเอทานอลเป็นพืชที่ใช้ผลิตน้ำตาล และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ทั้งมันเส้น แป้งมัน ผงชูรส ส่วนไบโอดีเล ผลิตจากปาล์มน้ำมันที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตน้ำมันปาล์มที่ใช้เป็นอาหาร จึงทำให้เกิดการแย่งชิงระหว่างพืชอาหารและพืชพลังงาน ซึ่งไม่ใช่เฉพาะพื้นที่เพาะปลูกเท่านั้น แต่ทำให้ราคาอาหารเพิ่มขึ้นด้วย

“ประเทศ ไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรายใหญ่ของโลก หรือทำหน้าที่เป็นครัวของโลก ขณะเดียวกันเรานำเข้าน้ำมันเป็นสินค้าอันดับหนึ่งของประเทศ จึงจำเป็นต้องหาจุดยืนหรือสร้างสมดุลในการใช้พืชผลทางการเกษตรเพื่อเป็น อาหารและพลังงาน”

ในภาพรวมของโลกพบว่ามีพื้นที่ที่ใช้ในการ ผลิตพืชอาหารประมาณ 60% อาหารสัตว์ 35% พืชพลังงานประมาณ 5% ขณะที่ประเทศไทยมีพื้นที่การเกษตรประมาณ 170 ล้านไร่ จึงควรมีการวางแผนเพื่อกำหนดว่าจะใช้พื้นที่ใดผลิตพืชชนิดใดให้ชัดเจน รวมถึงควรมีแนวทางเพิ่มผลผลิตอย่างไรด้วย

นายมรกตกล่าวอีกว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีผลกระทบโดยตรงต่อพืชเกษตร โดยองค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าภายในปี 2593 การผลิตอาหารของโลกจะสูญเสียประมาณหนึ่งในสี่ ทั้งจากอากาศ ดินเสื่อม และขาดแคลนน้ำ ซึ่งข้อมูลจากสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติที่ฟิลิปปินส์พบว่า ผลผลิตข้าวจะลดลง 10% เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1% ตามภาวะโลกร้อน ซี่งในปี 2463 อุณหภูมิของโลกอาจสูงขึ้นไปอีก 1.8-4 องศาเซลเซียส ขณะที่แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ สวก ของไทย ระบุว่าผลผลิตข้าวในเขตชลประทานของไทยจะลดลง 11% ระหว่างปี 2573-2582 และ ลดลง 22% ระหว่างปี 2633-2642

ชำแหละปัญหาภาคเกษตรไทย
จาก ข้อมูลพื้นที่การเกษตรของไทยมีประมาณหนึ่งในสามของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ 5.14 แสนตารางกิโลเมตร มีผู้อยู่ในวัยทำงาน 38.5 ล้านคน ในจำนวนนี้มีแรงงานภาคเกษตร 35% หรือ อาจต่ำกว่า เพราะบางคนทำงานบางช่วงเวลาเท่านั้น ขณะที่จีดีพีภาคเกษตรอยู่ที่ 13% ของจีดีพีทั้งหมด สินค้าเกษตรและอาหารของไทยมีการส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของตลาดโลกหลายรายการ ทั้ง ข้าว กุ้ง มันสำปะหลัง แม้การส่งออกที่ผ่านมาจะมีการเติบโตแต่ถ้าเปรียบเทียบการเติบโตของประเทศ อื่น เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย พบว่าไทยเติบโตน้อยกว่า และจากการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการเกษตรของประเทศไทยกับกลุ่มประเทศ 60 ประเทศ ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีประสิทธิภาพต่ำเป็นลำดับที่ประมาณ 50

“เรื่อง ของเวลาการผลิตสินค้าตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบจนถึงมือผู้บริโภคควรใช้เวลา สั้นที่สุด หรือให้มีประสิทธิภาพที่สุด มีกระบวนการจัดการการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และมีค่าขนส่งสินค้าถูกที่สุด แต่ค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ภาคเกษตรไทยอยู่ที่ประมาณ 21-25% ของจีดีพี สูงกว่าจีน มาเลเซีย และอินเดีย ซึ่งของไทยค่าขนส่งนับวันจะแพงขึ้นจากราคาพลังงาน”

นายมรกต กล่าวว่า นอกจากปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรแล้ว อายุเฉลี่ยของเกษตรกรไทยก็นับวันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2523 อายุเฉลี่ยเกษตรกรไทยอยู่ที่ 33 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 40 ปีในปี 2545 และเพิ่มเป็น 51 ปีในปี 2550 ทำให้ความต้องการเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อทุ่นแรงและเพิ่มประสิทธิภาพการ ผลิตมีความจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนการเพิ่มผลผลิตทางการ เกษตรนั้น สามารถทำได้หลายแนวทางทั้งการปรับปรุงพันธุ์พืช การจัดการฟาร์มที่ดี การเพิ่มประสิทธิภาพการทำปุ๋ยและน้ำ และสิ่งสำคัญในการทำให้เกษตรกรไทยก้าวสู่การเป็นเกษตรกรอัจฉริยะ คือการสื่อสารข้อมูลทั้งการให้ข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งในยุคไอทีการใช้โทรศัพท์มือถือในการส่งเอสเอ็มเอส เพื่อแจ้งเหตุด่วน ก็จะให้เกษตรกรเตรียมตัวหาทางป้องกันได้ เพราะคนที่อยู่รอดได้ไม่ใช่คนที่แข็งแรงที่สุด หรือฉลาดที่สุด แต่เป็นผู้ที่สามารถปรับตัวได้ต่อการเปลี่ยนแปลง

ซีพีแนะรื้อพื้นที่เพาะปลูกจำกัดนาข้าวเพิ่ม ‘พืชน้ำมัน’
นาย มนตรี คงตระกุลเทียน รองประธานกรรมการกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี กล่าวว่า เครือซีพียังคงยืนหยัดสนับสนุนทฤษฎี 2 สูง คือ สินค้าเกษตรกรต้องสูงขึ้นและค่าจ้างต้องสูงขึ้นด้วย แต่เมื่อดูข้อมูลขณะนี้เทียบกับ 20 ปีก่อน จะเห็นว่าค่าแรงเพิ่มขึ้นเพียง 15 เท่า ยังต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น ขณะที่ราคาข้าวตันละ 1.5 หมื่นบาทนั้น เพิ่มขึ้น 10 เท่า แต่เทียบกับน้ำมันราคาสูงขึ้น 40 เท่าและทองคำราคาสูงขึ้นถึง 60 เท่า

หาก พิจารณาราคาข้าวเปลือกของประเทศญี่ปุ่นจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาท ข้าวสารกิโลกรัมละ 200 บาท ทำให้เกษตรกรญี่ปุ่นมีรายได้ดี มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีสามารถไปท่องเที่ยวต่างประเทศได้ เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นดูแลสินค้าเกษตรและให้ความสำคัญกับเกษตรกร ที่สำคัญคิดถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต มีการกำหนดชัดเจนว่า ต้องปลูกพืชแต่ละชนิดปริมาณเท่าไหร่ และปลูกในเขตพื้นที่ชลประทานเท่านั้น นอกเขตห้ามปลูกเด็ดขาดเพราะได้ผลผลิตไม่คุ้มค่าการลงทุน

ขณะ ที่ของประเทศไทยมีพื้นที่ในเขตชลประทานเพียง 29 ล้านไร่ จากจำนวนพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด 150 ล้านไร่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลางและมีเกษตรกรบางรายสามารถปลูกข้าวได้พันกิโลกรัม ต่อไร่ จากเฉลี่ยอยู่ที่ 400 กิโลกรัมต่อไร่ หรือปลูกอ้อยได้ 15-20 ตันต่อไร่ แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ก็ไม่ได้นำไปเป็นแบบอย่าง

“เรามี ข้อมูล แต่จะทำยังไงที่จะส่งต่อข้อมูลไปให้เกษตรกรได้ทั่วถึง เพราะตอนนี้โลกแข่งขันกันด้านข้อมูล และปัญหาที่พบคือ พื้นที่ทางเกษตรส่วนใหญ่ถูกใช้โดยให้ผู้อื่นเช่าลูกหลานเกษตรกรจะไม่ทำเอง แต่จะหันไปทำอาชีพอื่นแทน จะมีที่ทำเองเพียง 20% เท่านั้น อีก 80% เช่าพื้นที่คนอื่นทำกิน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเกษตรกรไทยที่จะกลายเป็นกลุ่ม ที่มีความเป็นมืออาชีพเข้ามาทำแทน ทั้งการเตรียมดิน การเพาะกล้าดำนำ การดูแลวัชพืช การเก็บเกี่ยว ซึ่งน่าจะเรียกว่า นักบริการการเกษตรมากกว่า”

นาย มนตรี กล่าวอีกว่า การใช้เทคโนโลยีทันสมัยมาช่วยในการเพาะปลูกถือมีความจำเป็น เช่น การใช้ข้อมูลจากดาวเทียม การนำเครื่องจักรมาช่วยงานเหมือนในประเทศต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จอย่างดี รวมถึงการสนับสนุนให้ปลูกพืชที่เป็นประโยชน์แก่เกษตรกรจริงๆ เพราะของไทยมีพื้นที่เพาะปลูกถึง 150 ล้านไร่ สามารถขายทั้งในรูปวัตถุดิบและแปรรูปได้เงินเข้าประเทศปีละ 1.3 ล้านล้านบาท แต่เรานำเข้าพลังงาน 1.5 ล้านล้าน ทำให้ยังขาดดุลอีก 2 แสนล้านบาท ทั้งๆ ที่เรามีพืชน้ำมันถึง 3 ชนิดที่ไม่มีวันหมด อย่างปาล์มน้ำมัน อ้อยและมันสำปะหลัง ซึ่งควรกำหนดเป็นวาระแห่งชาติในการสนับสนุนพืช 3 ชนิดดังกล่าวอย่างจริงจัง

ปัจจุบันเราปลูกปาล์มได้ 2.8 ตันต่อไร่ต่อปี หากทำให้เพิ่มผลผลิตเป็น 4 ตันต่อไร่ต่อปี และใช้พื้นที่เพียง 21 ล้านไร่ ก็จะช่วยลดการใช้น้ำมันดีเซลและเบนซินต่อวันลงได้มาก โดยเห็นว่าหากเอาพื้นที่ที่ใช้ปลูกข้าวในเขตไม่มีชลประทานมาปลูกปาล์มน่าจะ เกิดประโยชน์มากกว่า ส่วนข้าวก็ควรใช้เฉพาะพื้นที่เขตชลประทาน 29 ล้านไร่เท่านั้น แต่หันไปเน้นเพิ่มผลผลิตให้ได้ 800 กิโลกรัมต่อไร่แทน ส่วนพื้นที่ที่เหลือก็เอามาปลูกพืชชนิดอื่นๆ เช่น อ้อยใช้พื้นที่แค่ 10 ล้านไร่ เพื่อให้ได้ผลผลิตเพิ่มจาก 10 ตันต่อไร่ เป็น 15 ตันต่อไร่ ก็น่าจะพอ ผลิตเอทานอลได้ครึ่งหนึ่ง 10 ล้านลิตรต่อวัน ที่เหลืออีกครึ่งก็มาจากมันสำปะหลังทีเร่งเพิ่มผลผลิตจาก 4 ตันต่อไร่ ให้เป็น 10 ตันต่อไร่ รวมแล้วหากทำได้ตามนี้ก็น่าจะทดแทนการนำเข้าน้ำมันได้ 7-8 แสนล้านบาทต่อปี

รายการอ้างอิง :
เช็กชีพจร 4 พืชเศรษฐกิจไทยแข่งขันยาก-จี้เร่งปรับตัวก่อนสายเกินแก้. คม ชัด ลึก. ฉบับวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556.– ( 110 Views)

 
 Share on Facebook Share on Twitter Share on Reddit Share on LinkedIn
No Comments  comments 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*


four + = 5

You may use these HTML tags and attributes: <a href="" title=""> <abbr title=""> <acronym title=""> <b> <blockquote cite=""> <cite> <code> <del datetime=""> <em> <i> <q cite=""> <strike> <strong>