magnify
magnify

Open Knowledge for all 

Home เก็บมาเล่า เอามาฝาก “ดร.สุภาพ เกิดแสง”อ.มหา′ลัยดังเปิดหมดเปลือกคดีถูกฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์สหรัฐ18ล.”ถ้าผมผิดทั้งโลกสะเทือน
formats

“ดร.สุภาพ เกิดแสง”อ.มหา′ลัยดังเปิดหมดเปลือกคดีถูกฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์สหรัฐ18ล.”ถ้าผมผิดทั้งโลกสะเทือน

จากกรณีที่สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2555 ถึงคดีที่สำนักพิมพ์ จอห์น ไวลีย์ แอนด์ ซัน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องร้องนายสุภาพ เกิดแสง นักศึกษาไทยปริญญาโททางด้านศึกษาคณิตศาสตร์อยู่ในมหาวิทยาลัยเซาธ์เทิร์น แคลิฟอร์ เนีย (ยูเอสซี) ว่า นายสุภาพละเมิดลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์ด้วยการซื้อหนังสือตำรา 8 ปกที่จัดพิมพ์จำหน่ายในต่างประเทศ (อินเตอร์เนชั่นแนล เอดิชั่น) แล้วนำมาขายต่อผ่านเว็บประมูลออนไลน์อีเบย์(e-Bay)ให้กับผู้ซื้อในสหรัฐอเมริกา ทำให้สำนักพิมพ์ได้รับความเสียหาย

และคณะลูกขุนได้ขอให้จ่ายค่าเสียหายให้กับสำนักพิมพ์เป็นเงิน 600,000 ดอลลาร์ หรือราว 18 ล้านบาท จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกาและศาลสูงสุดมีมติเมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา รับพิจารณาคำอุทธรณ์ดังกล่าว โดยจะเริ่มไต่สวนคดีนี้ในราวปลายปีนี้นั้นทาง“มติชนออนไลน์”จึงได้ตามหา”ดร.สุภาพ เกิดแสง”เพื่อขอความกระจ่างของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น และพบว่าปัจจุบันได้เรียนจบปริญญาเอก ทางด้านคณิตศาสตร์ และกลับจากสหรัฐอเมริกามาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ อยู่ที่มหาวิทยาลัยของรัฐชื่อดังแห่งหนึ่งได้ปีกว่าแล้ว  โดยดร.สุภาพ อายุ 32 ปีได้เปิดใจอย่างหมดเปลือกต่อกรณีดังกล่าว

@ต่อสู้คดีมายาวนานเพียงใด

คดีเกิดตอนใกล้จบปริญญาเอก สาเหตุที่จบช้า เพราะอยากอยู่สู้คดีในศาลชั้นต้นให้จบ ต้องอยู่ที่นั่นเพื่อไปให้การ บางคนคิดว่า ผมหนีคดีกลับมา ซึ่งมันไม่ใช่ ที่กลับมาเพราะว่า ไม่มีภาระเรื่องคดีแล้ว ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกามีแต่ทนายเท่านั้นที่ไป เราไม่ต้องไป ผมสู้ความมาประมาณ 2 ปีแล้ว

@หนังสือที่นำไปขายเป็นหนังสือที่พิมพ์ในประเทศใด

เป็นหนังสือที่พิมพ์โดยบริษัทลูกของสำนักพิมพ์จอห์นไวลี่ย์ แอนด์ ซันที่ตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์  ผมซื้อต่อมาจากผู้จัดจำหน่ายของสำนักพิมพ์อีกทอดหนึ่ง

@เราขายถูกกว่าที่สำนักพิมพ์ขายมากน้อยเพียงใด

ประมาณ 50% เราไม่ได้เอากำไรมากมาย หนังสือที่พิมพ์ใหม่ของอเมริกาตกเล่มละประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯแต่หนังสืออย่างเดียวกันที่พิมพ์ในสิงคโปร์ที่ผมนำไปขายราคาประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ

@ธุรกิจขายหนังสืออย่างที่ดร.สุภาพทำใน e-Bayก็มีคนอื่นทำกันอยู่แล้ว

มีอยู่แล้ว ในแง่มุมของกฎหมาย ถ้าบอกว่าผมผิด มันไม่ได้ครอบคลุมเพียงหนังสือ แต่จะครอบคลุมถึงการขายสินค้าตัวอื่นต้องโดนไปด้วย  ของมือสองจะขายไม่ได้ทั้งหมดเลย สำหรับข้อกฎหมายที่เขากำลังจะพยายามบังคับให้มันเป็น

@ช่วยเล่าถึงขั้นตอนการต่อสู้ทางกฎหมายที่ผ่านมา

ในชั้นศาลชั้นต้นผมพยายามสู้คดีโดยใช้ข้อกฎหมายลิขสิทธิ์ของอเมริกา 2 ข้อหลักที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้  โดยเนื้อหาของข้อกฎหมายระบุว่า ผมสามารถขายสินค้าหรือหนังสือดังกล่าวได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย  โดยกฎหมายข้อแรกระบุว่า 1)เจ้าของลิขสิทธิ์ มีสิทธิ์ขาดในการจัดจำหน่ายแจกจ่ายไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม อาจจะเป็นเช่าหรือขายหรืออะไรก็ตาม นี่คือ เจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิ์ขาด หมายความว่า ถ้าเจ้าของลิขสิทธิ์ขายของชิ้นนั้นไปแล้ว คนที่ซื้อมาจะไปขายต่ออย่างไรก็ได้ ซึ่งข้อกฎหมายนี้ เราพยายามจะใช้ แต่ศาลชั้นต้นไม่ยอมให้ใช้

2) ถ้าเจ้าของลิขสิทธิ์ได้ขายของชิ้นนั้น ๆ ไปแล้ว คนที่ซื้อไปแล้วจะนำไปขายต่ออย่างไรก็ได้ กฎหมายตัวนี้ เรียกว่า “First sale doctrine” คือ กฎของการขายครั้งแรก ถ้ามีการขายครั้งแรกแล้ว หลักการคือ เจ้าของลิขสิทธิ์ได้รับเงินจากตรงนั้นแล้ว ดังนั้น จะมาเอาสิทธิ์จากการขายครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ไม่ได้  ข้อกฎหมายที่ระบุชัด คือ สิ่งที่ทุกคนอยากทราบว่า ศาลสูงจะว่า อย่างไร

@ในเมื่อกฎหมายระบุชัดเจน แต่ทำไมศาลชั้นต้นมีสิทธิ์ที่จะไม่ให้หยิบยกกฎหมายลิขสิทธิ์ข้อนี้มาใช้ ศาลสามารถทำอย่างนั้นได้ด้วยหรือ

ในศาลชั้นต้นของผมตัดสินโดยลูกขุน ซึ่งเป็นชาวบ้านทั่วไป ในคดีนี้ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นของเรา ห้ามไม่ให้เราใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ข้อที่สอง เพราะเคยมีคดีที่เขาอุทธรณ์กัน ทางศาลอุทธรณ์ไม่ยอมให้ใช้ข้อที่สอง ศาลอุทธรณ์ตัดสินว่า ข้อที่สองใช้ไม่ได้

@โดยมีเหตุผลอะไรชี้แจงหรือไม่ ที่ไม่ให้เราหยิบยกกฎหมายข้อที่สองมาใช้

มี อันนี้เป็นสิ่งที่ก่ำกึ่งมากว่า จะตัดสิน หมายความว่าอย่างไร คือ ในตัวกฎหมายข้อที่สอง ระบุว่า “สิ่งที่ผลิตถูกต้องตามกฎหมายลิขสิทธิ์สหรัฐอเมริกา” ที่นี่ถ้าอ่านจากตัวกฎหมายตามคำเลย จะไม่มีใครตีความตามสำนักพิมพ์จะบังคับให้ทุกคนพยายามตีความอย่างนั้น ซึ่งตรงนี้หากใครสนใจไปค้นหาดูได้ว่า คำว่า  “First sale doctrine” หมายความว่าอย่างไร เขาไปตีความว่า สิ่งที่ผลิตถูกต้อง ภายใต้ลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกา คือ สิ่งที่ผลิตภายในประเทศอเมริกา ซึ่งขัดกับความเป็นจริง

สิ่งที่ผมคิดว่า เป็นการตีความที่ถูกต้องก็คือ สิ่งที่ผลิตโดยผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะผลิตที่ประ เทศไหนก็ตามถ้าผลิตโดยผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของสหรัฐ อเมริกา สิ่งนั้นควรจะถือเป็นสิ่งที่ผลิตถูกต้องตามกฎหมาย ยกตัวอย่าง เช่นของชิ้นหนึ่ง มีคนเคยจดทะเบียนลิขสิทธิ์ ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์อาจจะขายลิขสิทธิ์ให้ที่อเมริกาอันหนึ่ง ที่อังกฤษอันหนึ่ง คนที่มีลิขสิทธิ์ที่อังกฤษไม่ว่าจะผลิตที่ไหนก็ตาม อันนั้นไม่ได้ถือว่าผลิตถูกต้องตามกฎหมายลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกา แต่คนที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์สหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะไปตีพิมพ์ที่ไหนก็ถือว่า ถูกต้องตามกฎหมายลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกา

@ซึ่งบริษัท ในสิงคโปร์ที่ซื้อลิขสิทธิ์มาเป็นบริษัทลูกแท้ ๆ ของสำนักพิมพ์จอห์น ไวลีย์ แอนด์ ซัน

ใช่ครับ

@ตกลงในศาลชั้นต้นจบอย่างไร

ศาลชั้นต้นตัดสินให้ผมแพ้ เพราะคณะลูกขุนทราบ แต่กฎหมายลิขสิทธิ์ข้อแรกที่ผมบอก ลูกขุนไม่ทราบข้อที่สอง ดังนั้น ไม่มีอะไรที่ทำให้ลูกขุนมองได้ว่า ผมถูก โดยผู้พิพากษาสั่งห้ามบอกกฎหมายข้อที่สองแก่ลูกขุนเพราะผู้พิพากษา ตัดสินแล้วว่า กฎหมายลิขสิทธิ์ข้อที่สองห้ามใช้ คล้ายผู้พิพากษาถูกบังคับ โดยการอุทธรณ์ของคดีอื่น ผู้พิพากษาต้องตัดสินให้เหมือน ๆ กัน

เหมือนเป็นการบังคับเมื่อลูกขุนทราบเพียงข้อเดียว ก็คิดว่า อย่างนี้ผิดเต็มประตู ผิดแท้ ๆ ยังมาดื้อด้านสู้คดีอยู่ได้ ตัวลูกขุนเป็นคนบอกเองว่า จะเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายเท่าไหร่ โดยลูกขุนเป็นชาวบ้านธรรมดา โดยตัดสินเรียกค่าชดเชยที่ 600,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งที่การขายไม่ได้มีกำไรใกล้เคียง 600,000 ดอลลาร์สหรัฐฯกำไรเพียงเศษเสี้ยวของเงิน 600,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

@ การเรียกชดใช้ค่าเสียหายการละเมิดลิขสิทธิ์จะเรียกได้กี่เท่าของความเสียหาย

ผมถูกฟ้องว่าละเมิดลิขสิทธิ์8 เล่ม (ปก) แต่ว่า ในตัวกฎหมายลิขสิทธิ์อนุญาตให้ปรับได้สูงสุด 75,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 150,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้ามีกรณีที่ว่า แย่มาก ๆ คือ รู้ว่า ผิดก็ยังทำ ถึงขั้นอาญาแบบนั้น แต่ว่า 75,000 ดอลลาร์สหรัฐฯถือว่ามากที่สุดแล้วในการเรียกค่าเสียหายของหนังสือแต่ละเล่มเท่ากับ 75,000

ดอลลาร์สหรัฐฯ คูณ หนังสือ 8 เล่ม เท่ากับ 600,000 ดอลลาร์สหรัฐฯพอดี

@พอจบจากศาลชั้นต้นไปศาลอุทธรณ์คดีเป็นอย่างไรต่อ

คดีของผมพอขึ้นไปถึงศาลอุทธรณ์ คดีไม่ได้ตัดสินโดยลูกขุนที่เป็นชาวบ้านแล้ว แต่ตัดสินโดยผู้พิพากษา 3 คน ซึ่งทราบกฎหมายลิขสิทธิ์ทั้ง 2 ข้อ โดยผลการตัดสิน ผู้พิพากษา 2 คนให้ทางสำนักพิมพ์ชนะ แต่มีผู้พิพากษา 1 คน ให้ผมชนะ และเขียนเหตุผลมาเลยว่า ทำไมผมถึงสมควรชนะ กฎหมายน่าจะตัดสินให้ผมชนะ ทั้งนี้สำหรับผู้พิ

พากษา 2 คนที่ตัดสินให้ทางสำนักพิมพ์ชนะ แต่เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เขาตีความ สภาคองเกรสถูกต้องหรือเปล่าในการตีความอย่างนี้ ถ้าเขาตีความผิดก็ให้สภาคองเกรสมาปรับความเข้าใจ คือ เขาก็ไม่แน่ใจว่า เขาตัดสินถูกต้องหรือเปล่า

@เหตุผลของผู้พิพากษา 1 คนที่ตัดสินให้ดร.สุภาพชนะระบุชัดเจนอย่างไร

เขาตีความคล้ายกับเรา คือ ถ้าเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์อเมริกา ไม่ว่าผลิตที่ไหนก็ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ แล้วเขาก็มองไปยิ่งกว่านั้นก็คือ ถ้าตัดสินให้เราแพ้ นอกจากจะไม่ตรงกับสิ่งที่กฎหมายได้พูดไว้แล้ว มันจะเกิดเหตุการณ์ที่แย่มาก ๆ ก็คือว่า การขายของมือสองเป็นไปไม่ได้เลย เช่น ถ้าบริษัท แอปเบิ้ล ที่ผลิตไอแพดที่ประเทศจีนเป็นของลิขสิทธิ์  แล้วนำไอแพดกลับมาขายในอเมริกา ไม่ว่าจะขายไปกี่ครั้งกี่ครั้ง เขาห้ามคนขายเป็นครั้งที่สองได้ เพราะไอแพดชิ้นนั้นผลิตนอกประเทศอเมริกา ไม่สามารถใช้ “First sale doctrine” ได้

มีกฎหมายข้อเดียวที่จะใช้คือว่า เขามี “complete contro over distribution” ยิ่งไปกว่านั้น ห้องสมุดก็ให้ยืมหนังสือไม่ได้ เพราะหนังสือไปผลิตนอกประเทศอเมริกาถ้าคนอเมริกันไปซื้อนาฬิกาจากต่างประเทศ จะให้เป็นของฝากใครก็ไม่ได้ เพราะการให้เป็นของฝากถือเป็น “distribution”ก็จะละเมิดลิขสิทธิ์สหรัฐฯ

@ถ้ายึดตามกฎหมายข้อแรก

ในกรณีถ้าเขาจะไม่ให้ใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ข้อที่สองเลย ศาลสูงของสหรัฐเคยตัดสินเป็นคดีคล้าย ๆ กันเมื่อปี 2553 มีการไปผลิตนาฬิกาโอเมก้านอกประเทศอเมริกา แล้วบริษัท คอสโค ซื้อเข้ามาขายในอเมริกา ทำให้บริษัท โอเมก้า เป็นโจทย์ยื่นฟ้องบริษัท คอสโค ซึ่งคดีนี้ศาลสูงของสหรัฐฯ มีมติออกมาเป็น 4:4 แต่ผลออกมาอย่างนี้ถือว่าบริษัท คอสโค ซึ่งเป็นจำเลยเหมือนผม แพ้ในชั้นอุทธรณ์

@การต่อสู้ในศาลสูงจะดำเนินการต่อไปอย่างไร จะไต่สวนปลายปีเลยหรือ

ศาลสูงเปิดเป็นเทอม ซึ่งจะเริ่มเปิดช่วงเดือนตุลาคมอาจจะถึงกุมภาพันธ์หรือมีนาคม ผมจำไม่ได้ชัดเจน พอศาลสูงจะเริ่มพิจารณาคดีในเทอมไหน ก็จะพยายามจบในเทอมนั้น เพราะฉะนั้นคำตัดสินจะทราบผลในต้นปี 2556

@ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีจนถึงวันนี้เปิดเผยได้หรือไม่ว่าเท่าไหร่

ผมมีทนายความที่ว่าจ้างมาช่วยทำคดีในศาลชั้นต้นคือแซมอิสราเอล ค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างทั้งหมด 6 ล้านบาท และให้เขาสู้ความในชั้นอุทธรณ์ให้ด้วย ซึ่งในชั้นอุทธรณ์ผมจ่ายไป 6 ล้านบาทแล้วก็รู้สึกว่า คงจะไม่ไหวแล้ว เพราะเราก็มีเงินจำกัด ทนายความก็ยอมลดเงินค่าจ้าง เพราะคดีนี้เขาเห็นว่า มันไม่ถูกต้องอย่างรุนแรง เขาก็อาสาต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ในราคาที่ถูกลงได้ พอผมต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์แพ้ ผมก็หมดไม่มีเงินแล้ว เขาก็อาสาว่า ต่อไปเราไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว เขาจะหาคนมาสู้ต่อให้ในศาลสูง จึงได้ทนายที่ชื่อ โจซัว โรเซนครานซ์มาช่วย ซึ่งผมไม่ได้จ่ายเงินให้เขาสักบาทในการสู้คดีนี้

@เขาเป็นนักกฎหมายคล้ายสภาทนายความในบ้านเราที่ช่วยเหลือคนหรือเปล่า

ก็ไม่เชิงเขาเป็นทนายความชื่อดังของสหรัฐที่มีความสนใจในคดีนี้เป็นพิเศษ

@เรามั่นใจเพียงใดว่าเขาจะสามารถต่อสู้ให้เราชนะคดี

ผมไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวแต่ดูจากประวัติของทนายผมค่อนข้างมั่นใจในฝีมือ เพราะเขาเป็นทนายที่เพิ่งได้รับรางวัลทนายดีเด่นของสหรัฐอเมริกาในปี 2554 ไม่ใช่ทนายธรรมดาที่อาสาจะสู้ความให้เราฟรี ๆ โดยไม่ได้รับเงินจากบริษัทใด ๆ ทั้งสิ้น

@คดีนี้ไม่ว่าจะตัดสินออกมาอย่างไรต่อไปจะถือเป็นบรรทัดฐานของการขายของลิขสิทธิ์เลย ถ้าศาลสูงตัดสินให้ผิดต่อไปการขายลักษณะนี้ก็ผิดกันหมด

ใช่ คดีนี้จะมีผลอย่างมากกับธุรกิจมือสองทั้งหลายขึ้นอยู่กับว่า ขายลิขสิทธิ์ให้ใคร แม้แต่การนำสินค้าลิขิสทธิ์ไปผลิตในต่างประเทศ โดยอาศัยค่าแรงงานที่ถูก แล้วจะนำกลับเข้ามาขายในสหรัฐฯ มันจะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ผลิตในสหรัฐฯย้ายการผลิตออกมานอกสหรัฐฯ ทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่สภาคองเกรสไม่ต้องการแน่นอน

@ก่อนหน้าที่จะถูกฟ้องร้องดร.สุภาพค้าขายผ่านe-Bayมานานหรือยัง

ผมขายเป็นรายได้เสริมจะขายหนังสือแต่หนังสือที่ขายไม่ได้ผลิตนอกอเมริกาทั้งหมด ถ้าเป็นหนังสือที่ผลิตในอเมริกาเอง กฎหมายลิขสิทธิ์ทั้ง 2 ข้อที่กล่าวไปเบื้องต้น ทางอเมริกาไม่สามารถฟ้องร้องเราได้

@ในเมืองไทยตำราเรียนหลายอย่างก็ถ่ายสำเนากัน ถ้าจะให้ถูกต้องทั่วโลกควรทำอย่างไร

การนำตำราไปถ่ายสำเนาผมไม่สนับสนุนอยุ่แล้วอันนั้นผิดกฎหมายอาญาด้วย ในมุมมองของผม ผมคิดว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะว่าอเมริกามีการตั้งราคาหนังสือเรียนสูงที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับทางยุโรปก็ยังแพงอยู่ สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเวลาอาจารย์ที่อเมริกาสั่งให้นักเรียนใช้หนังสือเล่มไหนเรียน อาจารย์อาจจะรู้ หรืออาจจะไม่รู้ หรืออาจจะถูกล็อบบี้โดยสำนักพิมพ์เหมือนกัน พยายามบอกว่า เรียนเทอมนี้ต้องใช้หนังสือเล่มนี้ อาจารย์ไมใช่คนที่จ่ายเงินซื้อหนังสือแต่ให้หนังเรียนไปซื้อ นักเรียนต้องไปจ่ายเงินซื้อในราคาสูงมาก ๆ แม้แต่คนอเมริกันเองก็บ่นว่าราคาหนังสือแพงมาก ๆ

@คนอเมริกันเองยังหันมาซื้อหนังสือใน e-Bay ที่ราคาถูกกว่า

ใช่ครับ ทางสำนักพิมพ์จึงบอกว่า การนำหนังสือที่พิมพ์ในต่างประเทศมาขายในราคาที่ถูกกว่าทำให้เขาขาดทุน แต่มุมมองหนึ่ง ซึ่งผมพิจารณาเห็นว่า แม้แต่หนังสือมือสองที่ผลิตในอเมริกาเอง ราคาใกล้เคียงกับของผมมาก ถึงผมจะไม่นำหนังสือที่ผลิตจากต่างประเทศไปขาย คนอเมริกันก็ไปซื้อหนังสือมือสองใช้ ทางสำนักพิมพ์ก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี

@เพราะราคาถูกกว่าถึง 50%

ครับ ผมยกตัวอย่างถ้าซื้อหนังสือใหม่เอี่ยมเล่มละ 150 ดอลลาร์สหรัฐฯ หนังสือมือสองที่อาจจะรุ่นพี่ซื้อไปใช้เมื่อเทอมที่แล้วนำมาขาย ราคาประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับหนังสือที่ผมขาย ราคาถูกกว่ากันขนาดนี้ ก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้หนังสือแบบเรียนของสหรัฐอเมริกา 2-3 ปีจะผลิตหนังสือใหม่ออกมาครั้งหนึ่ง สาเหตุที่ทำอย่างนั้น เพราะไม่ต้องการให้คนนำหนังสือมือสองมาขายได้เรื่อย ๆพอเขาออกแบบเรียนใหมขึ้นมา หนังสือมือสองตกรุ่นใช้ในห้องเรียนไม่ได้ เพราะแบบฝึกหัดแต่ละข้อไม่เหมือนกัน

@จริงๆเนื้อหาหลักไม่ได้เปลี่ยนอะไร

เขาสลับข้อของแบบฝึกหัด ทำให้เวลาครูให้การบ้านนักเรียนทำให้ใช้หนังสือเล่มเก่าไม่ได้ ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องพิมพ์หนังสือแบบเรียนใหม่ เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาต้องมาซื้อหนังสือใหม่ของสำนักพิมพ์ พอผมทราบเรื่องนี้มาก ๆ ทำให้ผมรู้สึกว่า การที่ผมนำหนังสือไปขายเป็นการช่วยนักเรียนสหรัฐฯด้วยซ้ำ

@มั่นใจกี่เปอร์เซ็นต์ที่จะชนะคดีในศาลสูง

ถ้าพูดเรื่องกฎหมายอย่างเดียวไม่ต้องเอาเรื่องล็อบบี้อะไรมาพูดทางกฎหมายลิขสิทธิ์เขียนอย่างไร ผมว่า ยังไงเราก็ถูก เราชนะ 100% ไม่ต้องเอาทนายเก่งไปสู้ก็ได้ คดีที่เป็นอย่างนี้เพราะลักษณะขององค์กรใหญ่ ๆ มาไล่ฟ้องกับพ่อค้าเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ถ้าบริษัทจะฟ้อง ไปฟ้อง e-Bay ก็ได้ แต่ทำไมไม่ฟ้อง e-Bay เพราะเขาสู้ทนายของ e-Bay ไม่ไหว

@คุณพ่อคุณแม่อยากให้สู้คดีต่อหรือบอกพอแล้ว ช่วยกันหาเงินไปจ่ายจะได้จบๆ

ผมพูดตรง ๆ ตัวเราเองบางทีก็ท้อ เรารู้จักคนที่เขาไม่สู้คดี เขาหนีไปเลย เขาก็รวย โดนปรับแค่เงินเท่าที่มี แต่อย่างเรา เรารู้ว่า เราถูก เราเลยสู้คดี เราทำเพื่อความถูกต้อง เราเสียเงินไปแล้ว 6 ล้านบาท แล้วก็มีข่าวซุบซิบอะไรมากมาย บอกว่า เราเป็นคนไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะมีคดี

ผมว่าสังคมไทยเราตัดสินคนเร็วเกินไป เขาไม่รู้เลยว่า คดีเกี่ยวกับอะไร แค่เขารู้ว่า ผมโดนฟ้อง แค่นี้เขาก็ตัดสินแล้วว่า ผมเป็นคนไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งอันนี้ทำให้เรารู้สึกท้อแท้มาก แต่ที่ผมสู้มาตลอด ชื่อเสียงก็ไม่เปลี่ยน ชื่อก็ชื่อเดิม เพราะผมเชื่อว่า ผมถูก อ่านกฎหมายยังไง ผมก็ถูก อยากจะเห็นคนไทยที่ดูข่าวนี้ แล้วช่วยสนับสนุนคนที่ทำ เพื่อความถูกต้องบ้าง ไม่อย่างนั้นเราเหมือนคนหนีเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาทั่วไป หากโดนฟ้องเมื่อไหร่เราก็หนี

@ทางเพื่อนร่วมงานที่มหาวิทยาลัยเข้าใจมากน้อยเพียงใดเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้น

มีผู้ใหญ่ที่เข้าใจและมีผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจแต่เรารู้ตัวเราเองว่า เราเป็นคนดีอย่างไร ถ้าเขารู้จักเรา เขาจะรู้ว่า เราเป็นคนดีแค่ไหน ตรงนี้ผมไม่กังวลมาก ถึงคนที่ไม่เข้าใจ เพราะเขายังไม่รู้จักเรา  ข่าวบางข่าวที่ออกไปก็ไม่ถูกต้อง

รายการอ้างอิง :
“ดร.สุภาพ เกิดแสง”อ.มหา′ลัยดังเปิดหมดเปลือกคดีถูกฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์สหรัฐ18ล.”ถ้าผมผิดทั้งโลกสะเทือน. มติชนออนไลย์.  วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555.

url: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1334761206&grpid=00&catid=00

 – ( 87 Views)

 
 Share on Facebook Share on Twitter Share on Reddit Share on LinkedIn
No Comments  comments 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*


six × = 48

You may use these HTML tags and attributes: <a href="" title=""> <abbr title=""> <acronym title=""> <b> <blockquote cite=""> <cite> <code> <del datetime=""> <em> <i> <q cite=""> <strike> <strong>