เริ่มเข้าฤดูหนาวกันอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว โดยเฉพาะในภาคเหนืออุณหภูมิ ตกลงมาถึงเลขตัวเดียวกันแล้วโดยเฉพาะในช่วงเวลาเช้าตรู่ หรือช่วงค่ำถึงกลางดึก และอยู่ดีๆ ก็มีฝนตกโปรยปรายลงมาบ้างเป็นบางช่วง
อากาศหนาวหลายคนชอบ และมักจะเปรยๆ ว่า อากาศหนาวดีกว่า อากาศร้อน เพราะว่าสบายๆ อากาศไม่ร้อนไม่หงุดหงิด แต่ถ้าหนาวแบบพอดีๆ ก็จะไม่น่ากังวลกันนัก แต่ถ้าหนาวแบบฉับพลันและติดต่อกันเป็นเวลานานก็จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โรคภัยไข้เจ็บอาจจะถามหากันได้ และในปี 2556 นี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศแนะนำประชาชนในเรื่องการดูแลสุขภาพ เพื่อป้องกันอาการเจ็บป่วยจาก 6 โรคที่พบบ่อยในฤดูหนาว ได้แก่
1. ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ อาการจะเริ่มด้วยการมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ไอ เมื่อเริ่มมีอาการควรนอนพักผ่อนให้มาก ๆ ดื่มน้ำบ่อย ๆ ถ้าตัวร้อนมากควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัว หรือกินยาลดไข้ อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-7 วัน แต่หากมีอาการไอมากขึ้น หรือมีไข้สูงนานเกิน 2 วัน ควรไปพบแพทย์
2. โรคปอดบวม จะมีอาการโดยทั่วไปได้แก่ ไอ เจ็บหน้าอก มีไข้สูง และหายใจหอบ การวินิจฉัยจะกระทำโดยการฉายรังสีเอกซ์และการตรวจเสมหะ ซึ่งหากมีความรุนแรง ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากเป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากที่สุดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี รวมทั้งเด็กที่มีน้ำหนักตัวน้อย เด็กขาดสารอาหาร เด็กที่มีความพิการแต่กำเนิด เช่น โรคหัวใจ เป็นต้น
3. โรคหัด มักเกิดในเด็กโตและวัยรุ่น อาการจะเริ่มจากมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง และจะมีผื่นขึ้นภาย หลังมีไข้ประมาณ 4 วัน จากนั้น ผื่นจะกระจายทั่วตัว โดยผื่นจะจางหายไปภายใน 2 สัปดาห์ เด็กที่ป่วยเป็นหัด ให้แยกออกจากเด็กอื่น ๆ ประมาณ 1 สัปดาห์
4. โรคหัดเยอรมัน เป็นได้ทั้งผู้ใหญ่ และเด็กเล็ก มีอาการไข้ ออกผื่นคล้ายโรคหัด บางรายอาจไม่มีผื่นขึ้น หากเป็นหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ ดังนั้น ควรพบแพทย์ และหยุดงาน หรือหยุดเรียนประมาณ 1 สัปดาห์
5. โรคอีสุกอีใส มักจะเกิดในเด็ก เมื่อเป็นโรคนี้แล้ว จะมีภูมิต้านทานโรคตลอดชีวิต อาการจะเริ่มด้วยไข้ต่ำ ๆ ต่อมา จะมีผื่นขึ้นที่หนังศีรษะ หน้า ตามตัว โดยเริ่มเป็นผื่นแดง ตุ่มนูน แล้วเปลี่ยนเป็นตุ่มพองใสหลังมีไข้ 2-3 วัน จากนั้น ตุ่มจะเป็นหนอง และแห้งตกสะเก็ดหลุดออกเองประมาณ 5-20 วัน เด็กนักเรียนที่ป่วยควรหยุดเรียนประมาณ 1 สัปดาห์ เด็กเล็กที่ป่วยควรตัดเล็บให้สั้น เพื่อป้องกันการอักเสบจากการเกาที่ผื่น
6. โรคอุจจาระร่วง ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า โรต้าไวรัส มักจะเกิดขึ้นกับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ติดต่อโดยการดื่มน้ำ หรือกินอาหารที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อนเข้าไป โดยเด็กจะถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ หรือถ่ายเหลวบ่อยครั้ง โดยทั่วไปอาการไม่รุนแรง แต่เด็กบางคนอาจขาดน้ำรุนแรง หากมีเด็กในบ้านถ่ายเหลว ควรให้กินอาหารเหลวบ่อย ๆ เช่น น้ำข้าวต้ม น้ำแกงจืด ให้ดื่มนมแม่ สำหรับเด็กที่ดื่มนมผสม ควรผสมนมให้เจือจางลงครึ่งหนึ่งจนกว่าอาการจะดีขึ้น หากยังถ่ายบ่อยให้ผสมสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ให้ดื่มบ่อย ๆ อาการจะกลับเป็นปกติได้ภายใน 8-12 ชั่วโมง หากอาการไม่ดีขึ้นต้องรีบพาไปพบแพทย์ทันที
สำหรับกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงในการที่จะเกิดโรคเหล่านี้ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด โรคโลหิตจาง และสำหรับบุคคลที่ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงก็ควรรักษาความอบอุ่นของร่างกาย ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายที่มักจะแฝงตัวมากับฤดูหนาวนั่นเอง
แหล่งที่มา :
“โรคที่มากับอากาศหนาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้ที่ http://health.kapook.com/view18341.html. (วันที่สืบค้นข้อมูล 18 ธันวาคม 2556).
“สธ.เตือนระวัง 6 โรคหน้าหนาว ปีที่แล้วพบผู้ป่วย 4.7 แสนราย”. ไทยรัฐ [ออนไลน์]. เข้าถึงได้ที่ http://www.thairath.co.th/content/edu/380374. (วันที่สืบค้นข้อมูล 18 ธันวาคม 2556).– ( 392 Views)