ในแวดวงวิทยาศาสตร์… ไม่ใช่ทุกครั้งเสมอไปที่มี “การค้นพบอันน่าอัศจรรย์ หรือ การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้” แต่บางครั้งในวงการวิทยาศาสตร์การค้นพลเรื่องธรรมดาๆ แต่อาจจะก่อให้เกิด “ความน่าพิศวง” ได้ หรือเป็นการค้นพบจากการวิจัยในทางวิทยาศาสตร์ที่ออกแนบแปลกๆ หรือบางครั้งการค้นพบเรื่องเหล่านั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะไร้ซึ่งสาระประโยชน์ที่สุดก็เป็นได้ และในปี 2013 นั้นก็มีเรื่องธรรมดาที่ค้นพบจากการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์แล้วพบว่าเป็นเรื่องที่ค่อนจะเอนเอียงไปทางไม่มีประโยชน์ที่สุด 10 เรื่อง
1. กลิ่นมีทั้งหมด 10 กลิ่น และกลิ่นข้าวโพดคั่วเป็นหนึ่งในนั้น
ตลอดระยะเวลาผ่านมามนุษย์เรารู้จักรสชาติพื้นฐาน 5 อย่าง ได้แก่ เปรี้ยว, หวาน, เค็ม, ขม และ รสกลมกล่อม แต่ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์จากวิทยาลัย เบตส์ และ มหาวิทยาลัย พิตต์สเบิร์ก ซึ่งเผยแพร่การวิจัยดังกล่าวไว้เมื่อเดือนกันยายน โดยระบุว่า จากการทดลองกลิ่นทั้งหมดราว 144 กลิ่น พวกเขาสามารถจำแนกกลิ่นออกมาได้เป็น 10 กลุ่ม และ 1 ใน 10 กลิ่นนั้นมีกลิ่นของ “ข้าวโพดคั่ว หรือ popcorn” รวมอยู่ด้วย ส่วนอีก 9 กลิ่นที่เหลือ คือ กลิ่นหอม, กลิ่นของต้นไม้/ยาง, กลิ่นของผลไม้, กลิ่นเคมี, กลิ่นมินต์, กลิ่นหวาน, กลิ่นเลมอน, กลิ่นฉุน และ กลิ่นเน่า
2. ไม่ควรกลั้น “ผายลม” บนเครื่องบิน
ทีมนักวิจัยซึ่งประกอบด้วยแพทย์โรคทางเดินอาหารจากประเทศอังกฤษและเดนมาร์ก เผยผลการวิจัยว่า “ไม่ควรกลั้นลมหายใจ โดยเฉพาะเวลาอยู่บนเครื่องบิน” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ไว้ว่า มนุษย์เราจะอยากผายลมบ่อยกว่าปกติเมื่อเวลาอยู่บนเครื่องบิน เหตุเพราะการเปลี่ยนแปลงความดันภายในห้องโดยสาร ซึ่งการกลั้นการผายลมบ่อยๆ หรือเป็นเวลานานนั้นอาจจะทำให้เกิดความผิดปกติหลายอย่าง เช่น เกิดความเครียด, มีความอึดอัด, ปวดท้อง, ลำไส้มีอาการบวมแก๊ส, อาหารไม่ย่อย และอาจจะเกิดอาการอื่นๆ ขึ้นอีกมากมาย
3. ขนาดของ “องคชาต” สำคัญนะ
เมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (เอเอ็นยู) (Australian National University : ANU) ค้นพบว่า เมื่อพูดถึงความน่าดึงดูดใจแล้วขนาดของ “อาวุธ” ของท่านชายก็ถือได้ว่ามีความสำคัญค่อนข้างมากทีเดียว โดยจากการทดลองกับผู้หญิงที่ให้ความสนใจกับเพศตรงข้าม 100 คน ด้วยการให้ดูภาพเปลือยของผู้ชายขนาดเท่าตัวจริงที่ติดไว้บนกำแพงจำนวน 53 ภาพ และพบว่าผู้หญิงมีความสนใจเพิ่มขึ้นตามขนาดของ “อาวุธ (องคชาต)” ที่ใหญ่ขึ้น แต่ก็ไม่มากมายนัก
แต่อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ยังระบุเพิ่มเติมว่า “ความสูง” ของผู้ชายก็มีผลต่อแรงสนใจของเพศหญิงเช่นกัน โดยค้นพบจากการทดลองนี้ว่า ความสูงมีผลในการเพิ่มความสนใจแก่ผู้หญิงเทียบเท่าขนาดของท่านชายเช่นกัน
4. การปรบมือติดต่อถึงกันได้
บางครั้งเราอาจจะสังเกตเห็นว่า เราจะเผลอปรบมือหลังจากชมการแสดงหรืออะไรบางอย่างที่น่าเบื่อหรือไม่ได้ความ ซึ่งในเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์ในประเทศสวีเดนได้ทำการวิจัย และสรุปผลออกมาว่า “สิ่งที่ทำให้เราปรบมือ ไม่ได้เกิดจากคุณภาพของสิ่งที่เห็น หรือคุณภาพจากการแสดง หรือสิ่งที่เรานั้นชื่นชอบชื่นชมไปเสียทั้งหมด หากแต่เกิดจากอิทธิพลของคนรอบข้าง” ต่างหาก นั่นคือ เมื่อคนรอบข้างเราปรบมือเราก็จะเผลอปรบมือตามไปด้วย (แต่จริงๆ แล้ว การปรบมือหลังจากชมการแสดง ถึงแม้จะไม่ได้ทรงคุณค่า หรือมีคุณภาพสักเท่าไหร่ แต่ด้วยมารยาททางสังคมแล้วเราควรจะปรบมือเพื่อเป็นการให้เกียรติต่อการแสดงนั้นๆ…. โดยไม่ต้องรอให้มีคนหนึ่งคนใดปรบมือนำเสมอไป)
5. หุ่นยนต์ 2 ล้อ ขับนเคลื่อนโดยผีเสื้อราตรี
ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทีมนักวิจัยชาวญี่ปุ่นได้พัฒนา “หุ่นยนต์ 2 ล้อ” ซึ่งขับเคลื่อนด้วยผีเสื้อกลางคืนตัวผู้ขึ้นมา โดยหุ่นยนต์ตัวนี้จะเคลื่อนที่เมื่อผีเสื้อซึ่งอยู่บนลูกกลิ้นเซ็นเซอร์ (ลักษณะคล้ายเม้าส์ลูกกลิ้ง) เคลื่อนไหวด้วยการกระตุ้นจากกลิ่นฟีโรโมนของผีเสื้อกลางคืนเพศเมีย โดยการทดลองนี้นักวิทยาศาสตร์ตั้งใจพัฒนาเพื่อสร้างหุ่นยต์ติดตามกลิ่น เพื่อใช้แทนที่สุนัขดมกลิ่นในอนาคต
6. ทากทะเลงอกอวัยวะเพศใหม่ได้ 3 ครั้ง
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ทีมนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า “ทากทะเล โครโมโดริส เรติคูลาตา (Chromodoris reticulata” สามารถตัดลึงค์ของตัวเองทิ้งได้หลังจากผสมพันธุ์แล้ว และที่น่าประหลาดคือลึงค์ของทากทะเลโครโมโดริส เรติคูลาตา สามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้อีกภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว (ภายในเวลา 24 ชั่วโมง) และที่น่าอัศจรรย์คือเจ้าทากทะเลพันธุ์นี้ตลอดชีวิตของมันสามารถเปลี่ยนลึงค์ใหม่ได้ถึง 3 ครั้งทีเดียว
และในเดือนพฤศจิกายน นักวิทยาศาสตร์ยังพบพฤติกรรมอันน่าประหลาดของทากทะเลสายพันธุ์ “เกรด แบร์ริเออร์ รีฟ” โดยพวกมันจะจิ้มอวัยวะสืบพันธุ์เข้าไปในส่วนหัวของอีกฝ่ายขณะมีการสืบพันธุ์ และจะฉีดสารคัดหลั่งเข้าไปในระบบประสาทส่วนกลางของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย
7. นักวิทยาศาสตร์ไขความลับ “ภาวะจิตไร้สำนึก”
นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นทำให้การอ่านความฝันไม่ใช่เรื่องในจินตนาการอีกต่อไป โดยเมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ทีมนักวิจัยวิทยาศาสตร์ทดลองแสกนสมองคนด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (เอ็มอาร์ไอ) และขอให้ผู้รับการทดสอบอธิบายภาพที่พวกเขาเห็นขณะหลับ ซึ่งคำตอบที่ได้ตรงกับแผนที่สมองที่ได้จากเครื่องเอ็มอาร์ไอ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคาดการณ์ภาพที่เกิดขึ้นในฝันของคนได้แม่นยำถึง 70% ทีเดียว
8. กินพริกไทยแสฉวนจะรู้สึกซ่าเหมือนถูกแตะผิวหนังรัวๆ
ใครก็ตามที่เคยได้ลิ้มรสอาหารที่มีส่วนผสมของพริกไทแสฉวน จะรู้ว่ามันสามารถทำให้รู้สึกเผ็ดซ่าบริเวณปลายลิ้น อย่างไรก็ตามในเดือนกันยายน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้ทำการตรวจสอบการส่งสัญญาณไปยังสมอง จากการตอบสนองต่อการทานพริกไทยแสฉวนและพบว่า รสเผ็ดซ่าที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับ “การถูกสัมผัสผิวหนังเบาๆ 50 ครั้งทุกวินาที”
9. หลอกสมองให้เชื่อว่านิ้วปลอมเป็นอวัยวะของร่างกาย
ในเดือนกันยายน ได้มีการเผยแพร่ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งในออสเตรเลีย โดยระบุว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถหลอกสมองผู้รับการทดลองให้เชื่อว่า “นิ้วปลอม” เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายจริงได้ โดยพวกเขาให้ผู้รับการทดสอบ 19 คนติดนิ้วปลอมยาว 12 เซ็นติเมตร ที่นิ้วชี้มือขวาแล้วให้ใช้มือซ้ายสัมผัสที่นิ้วปลอม แต่ผู้รับการทดสอบกลับรู้สึกเหมือนกำลังสัมผัสนิ้วของตัวเองอยู่จริงๆ
เรื่องนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบใหม่ว่า สมองใช้เพียงปลายประสาทสัมผัสจากกล้ามเนื้อเท่านั้น ในการสร้างแผนภูมิร่างกายขึ้นมา จากที่เคยเชื่อว่าใช้ประสาทหลายส่วน และรู้ด้วยว่าสมองรู้สึกเองว่าอวัยวะในร่างกายเป็นของเราโดยไม่จำเป็นต้องมองเห็นหรือสัมผัส
นักวิทยาศาสตร์คาดหวังว่าผลการวิจัยนี้จะสามารถเป็นแนวทางในการรักษาผู้ป่วยโรคจิตเภท, โรคหลอดเลือดสมอง หรือกลุ่มอาการหลงผิดคิดว่าแขนขายังอยู่ (phantom limb phenomenon) ได้ในอนาคต
10. สุนัขแกว่งหางไปทางซ้ายหรือขวา มีความหมายต่างกัน
ผู้เลี้ยงสุนัขโดยทั่วไปเป็นที่ทราบกันดีว่าเราสามารถบอกได้ว่าสุนัขมีความสุขหรือความเศร้า โดยดูจากการแกว่งหางของมัน แต่เมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยงานวิจัยว่า สุนัขแสดงอารมณ์ต่างกันขึ้นอยู่กับว่ามันแกว่างหางไปซ้ายหรือทางขวา โดยหากแกว่งหางไปทางขวาแสดงว่ามันรู้สึกผ่อนคลายและเป็นมิตร ขณะที่ถ้าแกว่างไปทางซ้ายแสดงว่ามันกำลังเครียด
จากการทดลองกับสุนัขหลากหลายสายพันธุ์จำนวนกว่า 43 ตัว ทดลองโดยให้สุนัขดูวิดีโอสุนัขตัวอื่นๆ แกว่งหาง พบว่าสุนัขที่ดูวิดีโอสุนัขแกว่งหางไปทางซ้ายจะมีพฤติกรรมวิตกกังวลมากกว่า และหัวใจเต้นเร็วขึ้น ส่วนสุนัขที่ดูวิดีโอสุนัขตัวอื่นแกว่งหางไปทางขวาสุนัขตัวนั้นจะดูสงบไม่มีอาการตื่นเต้น บางตัวถึงกับเดินเข้าหาสุนัขในจอภาพด้วย ทำให้นักวิทยาศาสตร์สรุปได้ว่า “การที่สุนัขแกว่งหางไปทางขวาเป็นการแสดงออกถึงความเป็นมิตรนั่นเอง”
แหล่งข้อมูล : 10 ผลวิจัยวิทยาศาสตร์สุดแปลกประจำปี 2013. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.thairath.co.th/content/oversea/391103. (วันที่ค้นข้อมูล : 2 มกราคม 2557).
– ( 166 Views)