ใน ปี ค.ศ.2007 มีความวิตกว่า ประเทศสหรัฐฯ กำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศทำให้มีเสียงสนับสนุนใน รัฐสภาสหรัฐฯ เกี่ยวกับการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรวมถึงการพัฒนาด้านศึกษา ความกังวลดังกล่าวนำไปสู่การออกกฎหมายชื่อ America Competes โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ ประเทศและปัจจุบันมีความร่วมมือระหว่างสองพรรคในการสนับสนุนให้มีกฎหมายมา แทนที่สมาชิกสภาผู้แทนของพรรคดีโมแครต ได้เสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงในตัวกฎหมาย ขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการตัดลดค่าใช้ จ่ายและการควบคุมเข้มงวดในการลงทุนด้านการวิจัย Joanne Carney ผู้อำนวยการด้านรัฐสัมพันธ์ของ American Association for the Advancement of Science (AAAS) กล่าวว่า สิ่งที่ต้องการเห็นคือการมีเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่สามารถกระตุ้นนวัตกรรม ที่สัมพันธ์กับความเป็นจริงของงบประมาณ ที่ผ่านมาได้กำหนดเป้าหมายที่สูงขึ้นในงบประมาณที่เพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อ สนับสนุนการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์และทางวิศวกรรมในหน่วยงานวิจัยหลัก ภาครัฐสามหน่วยงาน ได้แก่ National Science Foundation, the National Institute of Standard & Technology และ Office of Science ภายใต้ Department of Energy และยังขยายโปรแกรมการศึกษา STEM (Science, Technology, Engineering and Math) ที่จะสร้างความเข้มแข็งแก่กำลังคนของประเทศ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านความเห็นชอบในปี 2007 และมีการพิจารณาปรับปรุงจากพรรคร่วมทั้งสองพรรคในปี 2010 มาแล้ว
แต่ด้วย งบประมาณที่จำกัด ทำให้มีการยกเลิกงบประมาณในสองหน่วยงานที่มีการดำเนินการเหมือนกัน สภาคองเกรสกำลังประเมินกฎหมายที่หมดอายุและพิจารณาว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไร อีกบ้าง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกันได้เสนอให้แยกกฎหมาย America Competes Act ออกเป็นสองฉบับ โดยทั้งสองฉบับจะไม่รวมเรื่องเป้าหมายด้านงบประมาณเข้าไป โดยร่างกฎหมายฉบับหนึ่งจะเน้นเรื่องของ Office of Science ภายใต้ Department of Energy อย่างเข้มงวด และให้สภาคองเกรสควบคุมการตัดลดงบประมาณในแผนงานต่าง ๆ ส่วนอีกฉบับหนึ่ง ที่จะครอบคลุมภารกิจของ NSF และ NIST และกำลังอยู่ระหว่างการโต้แย้งกันอยู่ โดยประเด็นที่อภิปรายเน้นพิจารณาถึงระบบ peer review (กระบวนการตรวจสอบข้อเสนอโครงการโดยผู้เชี่ยวชาญ) ของ NSF ที่อ้างว่ามีประสิทธิภาพ ผู้อำนวยการ NSF ต้องยืนยันว่า หน่วยงานจำนวน 1,100 แห่งที่ได้รับการอุดหนุนการวิจัยสามารถดำเนินการตามเกณฑ์อย่างน้อยหนึ่งข้อ จากหกข้อที่ตั้งไว้ เช่น สามารถสร้างความก้าวหน้าด้านสุขภาพและสวัสดิการ เป็นต้น
ดูเพิ่มเติมฉบับเต็มได้ที่ http://www.nstda.or.th/nstda-doc-archives/doc_download/1207—-12557
– ( 27 Views)
