magnify
magnify

Open Knowledge for all 

Home เก็บมาเล่า เอามาฝาก ‘เอนไซม์’ วิจัยหนุนปศุสัตว์ไทย
formats

‘เอนไซม์’ วิจัยหนุนปศุสัตว์ไทย

การทำปศุสัตว์ของไทยยังต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีช่วยให้สัตว์เจริญเติบโตไม่มีโรคภัย ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค แนวทางการนำงานวิจัยมาใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อช่วยพัฒนาวงการปศุสัตว์ไทยจึงเกิดขึ้น โดยเป็นฝีมือของนักวิจัยไทยที่สามารถผลิต “เอนไซม์อาหารสัตว์” มาช่วยเสริมสร้างให้สัตว์เลี้ยงแข็งแรง และเป็นการลดการนำเข้าเอนไซม์ราคาแพงจากต่างประเทศ ช่วยให้วงการปศุสัตว์ไทยก้าวไกลไปอีกขั้น

เอนไซม์อาหารสัตว์ ?
ดร. วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพอาหาร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า งานวิจัยเอนไซม์อาหารสัตว์เป็นการวิจัยเกี่ยวกับเอนไซม์สำหรับเสริมเข้าไปในอาหารสัตว์เพื่อให้สัตว์เจริญเติบโตได้ดี คือ เมื่อสัตว์ได้รับเอนไซม์เข้าไปจะช่วยย่อยอาหารได้ดีขึ้น

เนื่องจากสัตว์จะขาดเอนไซม์ในบางกลุ่มที่จำเป็นในการย่อยคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ใช่แป้ง อย่างเปลือกพืช กากเมล็ดธัญพืชที่เหลือจากการแปรรูป ที่ใช้เป็นอาหารสัตว์ต่างๆ เช่น กาก รำ ฯลฯ อาหารจำพวกนี้สัตว์จะไม่สามารถย่อยได้ ดังนั้นถ้าเราให้อาหารเหล่านี้โดยไม่เสริมเอนไซม์ สัตว์จะดูดซึมอาหารไม่ได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้สัตว์มีสุขภาพไม่แข็งแรงและผลผลิตที่ได้ก็จะต่ำ”

ฝีมือนักวิจัยไทย ทดแทนการนำเข้า
งานวิจัย A-zyme เอนไซม์อาหารสัตว์ จึงได้พัฒนากระบวนการผลิตเอนไซม์ในสภาวะที่เหมาะสมและเลือกใช้จุลินทรีย์ที่ดีเพื่อนำมาผสมอาหารสัตว์ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิดต่างๆ เป็นการเสริมสร้างให้เกิดการใช้เทคโนโลยีการหมักในระดับอุตสาหกรรมเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และทดแทนการนำเข้าเอนไซม์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมสัตว์จากต่างประเทศ
ดร.วรรณพ กล่าวอีกว่าโจทย์งานวิจัยนี้เกิดจากภาคเอกชนที่เลี้ยงสุกรซึ่งจำเป็นต้องมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เอนไซม์ราคาแพง ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามไปด้วย
“ผลิตภัณฑ์เอนไซม์แต่ละชนิดมีความจำเพาะและความคงทนแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาและชนิดของจุลินทรีย์ที่ใช้ในการผลิต อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับชนิดของวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ใช้เลี้ยงสัตว์ ทำให้ได้ผลและความคุ้มค่าในการนำมาใช้แตกต่างกัน อาทิ ผลิตภัณฑ์เอนไซม์ที่พัฒนาในต่างประเทศ โดยใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ไม่ใช้ในประเทศไทย ก็จะมีความจำเพาะน้อยกว่าเมื่อนำเอนไซม์เหล่านี้เข้ามาใช้ในประเทศ อีกทั้งยังทำให้เราจะต้องสูญเสียดุลการค้าเพื่อนำเข้าในราคาแพง
นอกจากนี้เอนไซม์ที่ผลิตจากต่างประเทศส่วนใหญ่จะผลิตจากจุลินทรีย์ที่คัดแยกได้จากสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้อาจไม่ทนต่อสภาพแวดล้อมในประเทศไทยที่อากาศร้อน ส่งผลต่อเอนไซม์เสื่อมสภาพ มีประสิทธิภาพลดลง เมื่อนำมาใช้เลี้ยงสัตว์ เป็นต้น”

ธนาคารจุลินทรีย์ แหล่งจุลินทรีย์ชั้นดีของประเทศ
งานวิจัยดังกล่าวจึงมีความเพียรพยายามในการหาจุลินทรีย์ที่เหมาะสม เพื่อนำมาผลิตเอนไซม์และเป็นจุลินทรีย์ที่มาจาก ธนาคารจุลินทรีย์ หรือ Microbe Bank ของไบโอเทค ซึ่งเป็นแหล่งที่มีจุลินทรีย์ให้บริการมากกว่า 20,000 ตัวอย่างและมีเก็บรักษาจุลินทรีย์ตามมาตรฐานคุณภาพสากล (ISO 9001) คือ เก็บรักษาในสภาพเยือกแข็งในถังไนโตรเจนเหลว หรือในหลอดแห้งสุญญากาศ โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านจุลินทรีย์จะกำหนดขั้นตอน วิธีการจัดเก็บ เพื่อให้ได้จุลินทรีย์ที่ถูกต้อง มีชีวิตรอด และปราศจากการปนเปื้อน
ธนาคารจุลินทรีย์ของไบโอเทคยังพร้อมให้บริการด้วยคุณภาพ ปริมาณ ความหลากหลายของจุลินทรีย์ และการบริหารจัดการที่ดีมีมาตรฐานเทียบเท่ากับธนาคารจุลินทรีย์ระดับโลก เช่น ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น
นอกจากนี้ไบโอเทคยังได้ศึกษาและนำจุลินทรีย์ที่หลากหลายสายพันธุ์นี้ ไปใช้ประโยชน์ทั้งทางการแพทย์ การเกษตร อุตสาหกรรมอาหาร และสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถลดการพึ่งพาสารเคมี ลดการนำเข้ายาปฏิชีวนะ และผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ พัฒนาและปรับปรุงสินค้าเกษตรทำให้สามารถสร้างมูลค่าและแข่งขันในตลาดโลกได้

สรรหาจุลินทรีย์เหมาะสม
ดร. วรรณพ กล่าวอีกว่า จุดเริ่มต้นของโครงการนี้ยังเกิดจากความตั้งใจของทีมนักวิจัยจาก
ไบโอเทค สวทช.และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ร่วมกันคิดค้นและพัฒนาจุลินทรีย์ที่มีความเหมาะสมในการใช้ผลิตเอนไซม์ โดยมีการคัดเลือกจุลินทรีย์ที่มีศักยภาพสูง วิจัยและพัฒนาจนได้เป็นผลิตภัณฑ์เอนไซม์อาหารสัตว์
ทีมวิจัยพิจารณาแล้วไม่น่าจะเกินความสามารถของคนไทย โดยสิ่งที่ต้องทำคือคัดเลือกเชื้อจุลินทรีย์ที่มีความสามารถสูงในสภาวะที่ต้องการ เหมาะสมกับสภาวะในตัวสัตว์ และปลอดภัย ทีมวิจัยได้นำเชื้อราแอสเปอร์จิลลัสมาจากธนาคารจุลินทรีย์ที่เก็บรักษาสายพันธุ์จุลินทรีย์ (Biotec Culture Collection) ของไบโอเทคโดยได้คัดเลือกจุลินทรีย์กว่า 100 สายพันธุ์ และได้สายพันธุ์ซึ่งตรงตามเกณฑ์เพื่อผลิต เอนไซม์เพนโตซาเนส ที่ทำงานได้ดีในลำไส้ของสัตว์ ไม่สร้างสารพิษและย่อยอาหารสัตว์ได้ ซึ่งโดยธรรมชาติเชื้อราชนิดนี้ก็จะอาศัยอยู่ในดินทรายอยู่แล้วด้วย

จุดเด่น เอนไซม์อาหารสัตว์
ดร. วรรณพ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อได้วิจัยและพัฒนาเอนไซม์เพนโตซาเนสขึ้นมาเป็นเอนไซม์ที่ใช้เสริมในอาหารเลี้ยงสัตว์เพื่อช่วยย่อย ทำให้สัตว์ได้สารอาหาร อาทิ แร่ธาตุและโปรตีนจากการย่อยของเอนไซม์ เป็นต้น อีกทั้งเอนไซม์เพนโตซาเนสยังเป็นเอนไซม์หลักสำหรับเลี้ยงสัตว์บก ซึ่งในอดีตต้องนำเข้า 100% ทั้งนี้หากเกษตรกรไทยจะหันมาใช้เอนไซม์คุณภาพที่เหนือกว่าเอนไซม์นำเข้าและองค์ประกอบของเอนไซม์ที่ดีกว่าย่อมทำให้ได้ผลผลิตที่ได้มีประสิทธิภาพสูงตามไปด้วย

นอกจากนี้ยังทีมวิจัยยังได้มีการนำไปทดลองใช้จริงในสุกรพบว่า ทำให้สุกรมีน้ำหนักมากขึ้น อัตราแลกเนื้อต่ำลง คือ ใช้อาหารน้อยลงแต่ได้น้ำหนักมากขึ้น ย่อยและดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น

ต่อยอดสู่การนำไปใช้จริง
การต่อยอดงานวิจัยดังกล่าวยังมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับ บริษัท เอเชีย สตาร์ แอนิมัล เฮลธ์ จำกัด เพื่อนำผลงานดังกล่าวไปพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์

ดร. วรรณพ กล่าวว่า บริษัทได้เข้ามาดูงานและได้นำไปทดลองต่อในฟาร์มทั้งนี้ก็มองความเป็นไปได้ในการผลิตเอนไซม์ในปริมาณมาก ขยายขนาดการผลิตได้ง่ายและมีเทคโนโลยีรองรับ เอกชนจึงมีความมั่นใจในการนำผลงานวิจัยดังกล่าวไปต่อยอด
นอกจากนี้การนำเข้าเอนไซม์เป็นยังปัญหาหลักของประเทศ โดยประเทศไทยต้องนำเข้าเอนไซม์เป็นมูลค่านับพันล้านบาท อีกทั้งในปศุสัตว์ยังมีปัญหาเรื่องสัตว์ไม่ย่อย “สารเอ็นเอสพี” (NSP : Non-starch polysaccharides) ทำให้สัตว์กินอาหารแล้วไม่ย่อย สัตว์ขี้เหลว และดูดซึมอาหารไม่ได้ การพัฒนาผลงานวิจัยดังกล่าวจึงช่วยลดปัญหาสุขภาพเหล่านี้ของสัตว์ได้อีกด้วย

ดร. วรรณพ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากบริษัทได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีก็สามารถผลิตเอนไซม์อาหารสัตว์และนำไปจำหน่ายทั่วประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรมสุกร และยังมีการพัฒนาสูตรเอนไซม์ต่อเนื่องหลายสูตร ขยายการจำหน่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา เป็นต้น
การต่อยอดงานวิจัยนี้จึงเป็นตัวอย่างของความสำเร็จจากห้องปฏิบัติการสู่การใช้จริง และเป็นตัวอย่างว่าความหลากหลายของเชื้อจุลินทรีย์ที่นักวิจัยเก็บไว้นั้นสามารถนำไปใช้เกิดประโยชน์ต่อวงการปศุสัตว์ไทย

รายการอ้างอิง :

‘เอนไซม์’ วิจัยหนุนปศุสัตว์ไทย. กรุงเทพธุรกิจออนไลน์. (ไอที-นวัตกรรม : วิทยาศาสตร์). วันที่ 3 พฤศจิกายน 2555.– ( 328 Views)

 
 Share on Facebook Share on Twitter Share on Reddit Share on LinkedIn
No Comments  comments 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*


− 3 = three

You may use these HTML tags and attributes: <a href="" title=""> <abbr title=""> <acronym title=""> <b> <blockquote cite=""> <cite> <code> <del datetime=""> <em> <i> <q cite=""> <strike> <strong>