สารเคมีไม่ใช่วิธีการควบคุมศัตรูพืชที่ยั่งยืน ธรรมชาติต่างหากที่จะช่วยให้ธรรมชาติและคนยั่งยืน
ข้อมูลจากมูลนิธิโลกสีเขียวรายงานว่าเมื่อปี 2551 พบว่าประเทศไทยมีเนื้อที่ทางการเกษตรเป็นอันดับที่ 48 ของโลก แต่ใช้ยาฆ่าแมลงเป็นอันดับ 5 ของโลกและใช้ยาฆ่าหญ้าเป็นอันดับ 4 ของโลก
และหากดูปริมาณนำเข้าสารกำจัดศัตรูพืชของปี 2552 พบว่ามีการนำเข้าสารกำจัดศัตรูพืชทั้งสิ้น 118,152 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจากเมื่อปี 2545 ซึ่งมีปริมาณนำเข้า 39,634 ตันซึ่งตัวเลขการนำเข้านี้ก็มีแนวโน้มสูงเรื่อยๆ ข้อมูลเหล่านี้บ่งบอกว่าประเทศเกษตรกรรมอย่างไทยต้องคำนึงถึงการใช้สารเคมีปราบศัตรูพืชที่ส่งผลกระทบโดยตรงทั้งตัวผู้ใช้ ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมให้มากกว่านี้
ชีวินทรีย์ ทางเลือกใหม่
หากกล่าวถึงศัตรูพืชจะมีทั้งแมลงศัตรูพืชและจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค สารเคมีที่ใช้กำจัดจึงมีทั้งสารเคมีฆ่าแมลง และสารเคมียับยั้งเชื้อรา โดยทั่วไปในระบบนิเวศวิทยาที่สมดุลศัตรูพืชจะถูกควบคุมหรือมีศัตรูธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นทางเลือกใหม่ของเกษตรกรไทยอาจนำวิธีดังกล่าวมาใช้ปราบศัตรูพืชโดยการนำสิ่งมีชีวิตหรือผลิตภัณฑ์จากสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในธรรมชาติมาเพาะเลี้ยงและนำกลับไปใช้ในการควบคุมศัตรูพืชเรียกว่าการใช้ ชีวินทรีย์ ซึ่งเป็นการลดหรือควบคุมประชากรศัตรูพืชให้อยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับพืช
นายสัมฤทธิ์ เกียววงษ์ ผู้จัดการโรงงานต้นแบบผลิตเชื้อไวรัส NPV เพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ชีวินทรีย์ คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กชนิดหนึ่ง เช่น ไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย หรือจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ทั้งในด้านเกษตรและอุตสาหกรรม
“บ้านเราเป็นประเทศเกษตรกรรมอยู่ในเขตร้อนชื้นมีปัญหาด้านแมลงศัตรูพืชมากกว่าเขตหนาวอย่างยุโรปทำให้การทำเกษตรกรรมในประเทศเรามักนิยมใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและมีแนวโน้มการนำมาใช้ในปริมาณที่สูง
เนื่องจากเราต้องการเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้นเพียงพอกับความต้องการของตลาดและจำเป็นต้องควบคุมคุณภาพผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดด้วยเช่นกัน แต่เกษตรกรกลับนิยมใช้สารเคมีที่ก่อให้เกิดพิษและยังตกค้างในสิ่งแวดล้อม ดังนั้นในมุมของนักโรคพืช นักกีฎวิทยา จึงพยายามหาแนวทางในการควบคุมศัตรูพืชที่ไม่เป็นอันตราย เช่น การกำจัดตัวอ่อนของผีเสื้อด้วยการพ่นเชื้อโรคให้ป่วยตายไปในที่สุดด้วยวิธีการที่ปลอดภัยทั้งกับผู้ใช้ ผู้บริโภค รวมถึงสิ่งแวดล้อม”
ชีวินทรีย์ป้องกันและกำจัดศัตรูพืช
งานวิจัยชีวินทรีย์ป้องกันและกำจัดศัตรูพืช จึงเป็นที่มาของทางเลือก ทางรอดที่ยั่งยืนของการทำเกษตรกรรมรูปแบบใหม่ให้กับเกษตรกรไทย โดยผู้จัดการโรงงานต้นแบบผลิตเชื้อไวรัส NPV เพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช(ไบโอเทค) กล่าวอีกว่า “งานวิจัยนี้เป็นการนำเชื้อไวรัสชื่อว่า NPV ชนิดหนึ่งที่ทำให้หนอนป่วยเป็นโรคตาย และเป็นเชื้อไวรัสที่มีอยู่แล้วในบ้านเราเอง ไม่ได้สร้างขึ้นใหม่
ทีมวิจัยทำการวิจัยและคัดเชื้อไวรัสที่ดีที่สุดมาทดสอบทั้งด้านความปลอดภัยกับสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าเชื้อไวรัส NPVนี้จะทำให้หนอนบางชนิดเท่านั้นที่ได้รับเชื้อเข้าไปแล้วป่วยตายซึ่งมีความจำเพาะที่สูงมาก ได้แก่ หนอนกระทู้หอม และหนอนเจาะสมอฝ้าย ซึ่งเป็นหนอนสำคัญที่ได้ทำลายพืชทางเศรษฐกิจหลายชนิด เช่น องุ่น หอมแดง หอมหัวใหญ่ ส้ม มะเขือเทศ หรือไม้ดอกอย่างกุหลาบ เบญจมาศ ดาวเรือง”
ไวรัสปลอดภัยแทนสารเคมี
จากวิธีการแก้ปัญหาแบบเดิมคือการใช้สารเคมีแทบจะทุกชนิดที่มีประกาศโฆษณาว่าใช้ได้ดี แต่กลับพบว่าหนอนมีกระทู้หอมมีการดื้อยามากยิ่งขึ้น จึงต้องมีการเปลี่ยนชนิดสารเคมีที่มีความรุนแรงขึ้น จึงมีค่าใช้จ่ายที่สูงเพิ่มขึ้นตามมาอีกทั้งยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
ทีมวิจัยจึงแนะนำให้เกษตรกรใช้เชื้อไวรัสNPV เพื่อควบคุมหนอนกระทู้หอม โดยไวรัส NPV (Nuclear Polyhedrosis Virus, NPV) เป็นไวรัสในธรรมชาติที่ทำให้หนอนเป็นโรคและตายเมื่อหนอนกินไวรัสที่เราพ่นไว้บนพืชเข้าไป
โดยเชื้อจะเข้าสู่กระเพาะอาหารของหนอน อนุภาคไวรัสจะเริ่มทำลายเซลล์ผนังกระเพาะอาหารก่อนแล้วจึงขยายพันธุ์ทวีจำนวนมากขึ้น และแพร่กระจายเข้าสู่ภายในลำตัวของหนอน ทำลายอวัยวะภายในส่วนต่าง ๆ เช่น เม็ดเลือก ไขมัน กล้ามเนื้อ และผนังลำตัว เป็นต้น โดยทำให้หนอนตายในที่สุด ซึ่งไวรัสนี้ได้รับการทดสอบแล้วว่ามีความปลอดภัยต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ทั้งนี้เชื้อไวรัส NPV นั้นมีความเจาะจงกับเป้าหมายมาก โดยจะเลือกทำลายเฉพาะหนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ้าย
“เอาเชื้อไวรัสฉีดเข้าไปในพืชที่เราปลูก เมื่อผีเสื้อมาวางไข่และออกไข่เป็นหนอนก็จะกัดกินต้นพืชดังกล่าวทำให้ได้รับเชื้อไวรัสนี้ไปด้วยแต่ไม่มีอันตรายกับคนและสิ่งแวดล้อมมีความปลอดภัยสูงมาก ไม่ทำลายสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น”
การนำไปใช้แทนสารเคมี
นายสัมฤทธิ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า วิธีการนำไวรัส NPV ไปใช้นั้น ได้แก่ทางเลือกที่ 1 คือ สามารถนำไปพ่นใช้ทดแทนสารเคมีเมื่อเจอหนอนชนิดที่ตรงกับไวรัส สามารถพ่นไวรัสเช่น ทุก 5 หรือ 7 วันทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงการระบาดของหนอนดังกล่าว ถ้าระบาดมากสามารถลดอาจพ่นได้ในระยะ 3 หรือ 4 วัน เป็นต้น ซึ่งวิธีการดังกล่าวอาจเห็นผลช้าแต่มีความปลอดภัยสูง
สำหรับทางเลือกที่ 2 ได้แก่การนำไปใช้ร่วมกับสารเคมี คือ สามารถพ่นไวรัสก่อนและตามด้วยสารเคมี ซึ่งทำให้จากเดิมที่เคยพ่นสารเคมีจำนวนมากเกษตรกรก็จะใช้สารเคมีลดลง เช่น อาจเหลือเพียง 2-3 ครั้งต่อการพ่น 1 ครั้ง เพราะมีไวรัสเป็นตัวช่วยให้หนอนตายเร็วยิ่งขึ้น ทางเลือกนี้จะช่วยลดการใช้สารเคมีลงเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้นและลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรได้อีกด้วย
NPV ปลอดภัย ไม่ดื้อยา
ผู้จัดการโรงงานต้นแบบผลิตเชื้อไวรัส NPV เพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช (ไบโอเทค) กล่าวอีกว่า งานวิจัยดังกล่าวได้มีการนำไปทดลองใช้จริงกับเกษตรกร เช่น เกษตรกรสวนองุ่น หน่อไม้ฝรั่ง หอม ฯลฯ
“เกษตรกรยังตอบรับค่อนข้างน้อยเนื่องจากสารชีวินทรีย์มีจุดแข็ง คือ ปลอดภัยกับทุกคน เกษตรกร สิ่งแวดล้อม และผู้ใช้เอง แต่ยังมีจุดอ่อนคือ หนอนตายช้าเหมือนเชื้อโรคกว่าจะทำให้หนอนป่วยอ่อนแอใช้เวลาเป็นวัน หรือ 2-3 วันจะสู้สารเคมีไม่ได้ เพราะสารเคมีฉีดปุ๊บร่วงให้เห็นเลยเกษตรกรจะประทับใจสารเคมีมากกว่า แต่ไวรัส NPV ก็มีจุดเด่นอีกอย่างคือ เมื่อฉีดพ่นไปแล้วหนอนไม่ดื้อยาเหมือนสารเคมีที่ฉีดแล้วหนอนดื้อยา คือ หนอนสามารถพัฒนาตัวเองให้สู้กับสารเคมีได้
หากมองหาความยั่งยืนในระยะหลังบริษัทต่างๆทั้งจากอเมริกา ญี่ปุ่น ก็มีกฎหมายเข้มงวดในการควบคุมและการนำเข้าผลผลิตทางการเกษตร ดังนั้นเกษตรกรไทยจึงควรหันมาใช้ชีวินทรีย์ที่ปลอดภัยเพิ่มขึ้น ยิ่งไทยประกาศเป็นครัวโลกเป็นแหล่งอาหารปลอดภัย ดังนั้นเราต้องมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ดูแลผลผลิตทางการเกษตรเหล่านี้ให้ปลอดภัยเช่นเดียวกัน”
โรงงานต้นแบบผลิตเชื้อไวรัส NPV เพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช
ผู้จัดการโรงงานต้นแบบฯ กล่าวด้วยว่า สำหรับงานที่ทีมวิจัยชีวินทรีย์ป้องกันและกำจัดศัตรูพืช นั้นเป็นการทำโรงงานต้นแบบ “คือขยับขึ้นมาจากห้องทดลองแต่ยังไม่เป็นเชิงพาณิชย์ยังไม่เป็นอุตสาหกรรมเรียกว่าโรงงานต้นแบบให้เอกชนมาเรียนรู้และรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ก็มีการเชิญบริษัทเคมีเกษตรเข้ามาเยี่ยมชมโรงงานเพื่อให้ทดลองนำไปจำหน่ายและทีมวิจัยจะสนับสนุนด้านความรู้ทางวิชาการต่อเนื่อง”
ถึงวันนี้เกษตรกรไทยคงต้องหันมาเปลี่ยนแนวคิดใหม่ว่าชีวินทรีย์สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง มีประโยชน์ระยะยาวและยั่งยืน โดยเฉพาะความปลอดภัยต่อทั้งสุขภาพของเกษตรกรเอง ผู้บริโภครวมถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ
รายการอ้างอิง :
ประชาสัมพันธ์ สวทช..“ชีวินทรีย์” ทางเลือกยั่งยืนเพื่อเกษตรกรไทย. กรุงเทพธุรกิจ (ไอที-นวัตกรรม : วิทยาศาสตร์). วันที่ 10 ตุลาคม 2555– ( 840 Views)