ฮิปโปเครติส บิดาทางการแพทย์ของชาวกรีกได้บัญญัติไว้ในการรักษาเมื่อประมาณ 2,500 ปีที่แล้วว่า “จงใช้อาหารเป็นยาในการรักษาโรค” ซึ่งกลายมาเป็นปรัชญาในการรักษาโรคยุคต่อๆ มา และได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า อาหารเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานของร่างกายในการให้พลังงาน และสารอาหารที่จำเป็นในการดำรงชีวิต แต่ปัจจุบันมีหลักฐานเพิ่มเติมที่พบว่า องค์ประกอบของอาหารบางชนิดไม่จัดเป็นสารอาหารแต่อาจให้ประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพ
ดังนั้น องค์ประกอบหลักในอาหารจึงแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นสารอาหาร (nutrients) และส่วนที่ไม่ใช่สารอาหาร (non-nutritive) องค์ประกอบทั้งสองส่วนมีความสัมพันธ์ต่อการป้องกัน หรือช่วยส่งเสริมการรักษาโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกพรุน เป็นต้น ดังนั้นเมื่อพูดถึงอาหารเราไม่ได้หมายถึงองค์ประกอบในรูปสารอาหารขนาดใหญ่ (macronutrient) และสารอาหารขนาดจิ๋ว (micronutrient) เท่านั้น แต่เราจะมองถึงองค์ประกอบที่มีฤทธิ์ต่อสรีรวิทยาหรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive compound) และให้ผลในการลดหรือป้องกันโรค
แนวทางการพัฒนาอาหารฟังก์ชั่น ก็มาจากแนวคิดของการใช้อาหารเป็นยา (Food as medicine) นั่นเอง ในอดีตอาหารเป็นสิ่งที่ใช้รักษาโรคขาดสารอาหาร แต่ปัจจุบันเป็นที่เข้าใจว่าอาหารฟังก์ชั่นเป็นสุขภาพ’ class=’anchor-link’ target=’_blank’>อาหารสุขภาพ ที่อาจให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าแค่สารอาหารหลักๆ ที่มีอยู่ เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ เท่านั้น
Read more…– ( 200 Views)