magnify
magnify

Open Knowledge for all 

formats

รำลึกความหลังสู่อนาคตของ สกว. โดย ศาสตราจารย์ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์

รำลึกความหลังสู่อนาคตของ สกว.

เมื่อ วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย จัดงานครบรอบ ๒๐ ปี สกว. ในงานดังกล่าว ศาสตราจารย์ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ได้เล่าให้ฟังถึงการก่อตั้ง สกว. และอนาคต ของ สกว.ในมุมมองของท่าน

การก่อตั้งและการดำเนินงานที่ผ่านมา

เหตุใดจึงมี สกว. เหตุผลก็คือ ในช่วงนั้นหรือแม้กระทั่งในช่วงนี้ เราต้องยอมรับว่าระบบการสนับสนุนการวิจัยของไทยยังไม่มีประสิทธิภาพมากนัก สกว. จึงได้ช่วยขึ้นมา ก่อนมี สกว. ในช่วงนั้น งานวิจัยแทบไม่มีนโยบาย ไม่มีงบประมาณ และเท่าที่มีก็ยังติดในระเบียบราชการขยับตัวแทบไม่ได้ ดังนั้นโอกาสสำคัญที่จะปรับ ระบบการสนับสนุนการวิจัยของเรา

เมื่อมีตัวอย่าง คือ การก่อตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี  และถัดจากนั้นมา มีการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขึ้น แสดงว่ามีโอกาสและมีกลไกที่จะให้ตั้งองค์กรของรัฐที่ไม่ได้อยู่ในระบบราชการ โดยออกกฎหมายพิเศษ การก่อตั้ง สกว. ที่สำคัญ มีผู้ผลักดัน ๓ ท่าน ได้แก่ ดร.สง่า สรรพศรี ดร.สิบปนนท์ เกตุทัต และ ดร.ไพจิตร เอื้อทวีกุล ร่วมด้วย ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน ที่มีข้อเสนอด้านการสนับสนุนการวิจัยในมหาวิทยาลัยเป็นหลัก รวมเป็น ๔ ท่าน ซึ่งอยู่ในยุคของคณะรัฐมนตรีอานันท์ ๑ โดยได้มอบให้ ศ.ดร. ยงยุทธ เป็นผู้ช่วยร่าง พรบ. ของ สกว. โดยมีตัวอย่างทั้งสอง และเนื่องจาก สวทช. เป็นหน่วยงานที่ทั้งสนับสนุนและดำเนินการวิจัย จึงให้ดูว่าการตั้งหน่วยงานที่สนับสนุนการวิจัย โดยไม่ดำเนินการวิจัยเอง ควรจะมีการร่าง พรบ. ในรูปแบบใด

ซึ่ง ศ.ดร.ยงยุทธ ได้นำเอาหลักการที่ ครม. มอบให้ มาแปลเป็นรายละเอียดเพื่อจะได้หน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ราชการ โดยใช้ตัวอย่างจาก ๒ หน่วยงานนั้น (สวทช. กับ ม.สุรนารี) เป็นการจัดทำร่างซึ่งประสานจากระดับนโยบายมาสู่ระดับการทำงาน ที่สำคัญการร่าง พรบ.นี้ ให้มีความคล่องตัวในเรื่องระบบการบริหาร และเมื่อมีระบบการบริหารที่คลองตัวแล้ว ต้องมีธรรมาภิบาลด้วย ซึ่งจะเห็นว่ามีคณะกรรมการ ๒ ชุด ชุดที่ ๑ ก็คือ มอบนโยบายและดูให้เป็นไปตามนโยบาย คณะกรรมการชุดที่ ๒ มาช่วยติดตามประเมินผลเพื่อให้การทำงานนั้น ทำอย่างได้ผล (ตรงนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ บทเรียนที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าบางที่ ที่มีคณะกรรมนโยบาย บางแห่งบางชุด อาจดำเนินการไม่อยู่กับร่องกับรอย หรือแม้แต่ขาดธรรมาภิบาล หากไม่มีกลไกอะไรมากำกับให้ถูกต้อง ซึ่ง ดร.ไพจิตร กล่าวว่าต้องมีคณะกรรมการติดตามประเมินผลเป็นตัวคาน ซึ่งผลงานที่ผ่านมาทำให้เห็นว่าเป็นกลไกที่ดี) จากนั้น ครม. เสนอร่างผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการกฤษฎีกา สู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติและมีการตั้งกรรมาธิการซึ่ง อาจารย์ ดร. สง่า สรรพศรี เป็นประธาน ในที่สุดแล้ว มีมติเห็นชอบให้ตราเป็นกฎหมาย
Read more…– ( 148 Views)

 
 Share on Facebook Share on Twitter Share on Reddit Share on LinkedIn
No Comments  comments 
formats

โครงการบริหารน้ำอย่างยั่งยืน ตอนที่ 3

สำนักข่าวไทยนำเสนอข่าวเกษตร
วันที่ 3 พฤษภาคม 2556  กบอ. จะเปิดให้ยื่นประกวดแบบและราคาโครงการระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน งบประมาณ 350,000 ล้านบาท   คณะกรรมการยืนยันว่า วิธีการจัดซื้อจัดจ้างทำอย่างโปร่งใส ไม่เอื้อประโยชน์กลุ่มธุรกิจต่างชาติตามที่มีข้อกล่าวหา

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมและภาพข่าวได้ที่เว็บไซต์ สำนักข่าวไทย อสมท. -
http://www.mcot.net/site/content?id=51823ebb150ba0624600037a#.UYMZ48phsa8– ( 44 Views)

 
 Share on Facebook Share on Twitter Share on Reddit Share on LinkedIn
No Comments  comments 
formats

การปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ในวิกฤตการณ์เปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม

ปาฐกถาพิเศษเรื่อง  การปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ในวิกฤตการณ์เปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เป็นหนึ่งในหัวข้อการปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาวิชาการ ” Learn to Live in the World of Change” มหกรรมทีวีรักษ์โลก 360 องศา จัดขึ้นระหว่าง วันที่ 21-22 เมษายน 2556  ที่ อิมแพค เมืองทองธานี กรุงเทพฯ  บรรยายโดย  Environtmental and Disaster Prevention Expert Team

วิกฤตการ การเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะโลกร้อนมีสาเหตุจากที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นเรื่อยๆ  ในขณะที่โลกเราจะสมดุลเมื่อประชากรอยู่ที่ 2,000 ล้านคน หากเกิน 2,000 ล้านคนเมื่อไหร่โลกจะเริ่มขาดความสมดุลหรือเรียกว่าโลกเป๋  เมื่อสี่แสนปีที่ผ่านมาเกิดภาวะโลกอุ่น
3 ครั้ง และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แตะที่ 300 ppm และโลกอุ่นเมื่อแสนกว่าปีที่แล้ว น้ำทะเลสูงกว่าปัจจุบัน 7 เมตร ซึ่งแถบจังหวัดภาคอีสานของประเทศไทย ก็มีร่องรอยว่าเคยเป็นทะเลมาก่อน
ปัจจุบันมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่ในชั้นบรรยากาศ 390 ppm และหากสะสมกันมากเข้าก็จะกลายเป็นก๊าซมีเทน ซึ่งทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกมากกว่าถึง 10 เท่า ซึ่งโลกต้องปรับสภาพอย่างใหญ่หลวง การปรับตัวของโลกจะเชื่องช้าในช่วงแรก (เพราะความใหญ่ของโลก) และจะรวดเร็วในเวลาต่อมา ซึ่งปัจจุบันโลกอยู่ในช่วงที่มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว  ทำให้มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นได้แก่

  1. น้ำแข็งขั้วโลกละลาย
  2. แผ่นดินไหวมากขึ้น ซึ่งสืบเนื่องจากสาเหตุที่น้ำแข็งละลายทำให้น้ำหนักโลกเริ่มแกว่ง  เปลือกโลกขยับตัว

การคาดการณ์ที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทย ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในเขตแผ่นดินไหว แต่ประเทศที่อยู่รอบประเทศไทยเกิดแผ่นไหวตลอด เช่น พม่า ลาว
อีก 20 ปีข้างหน้า อุณหภูมิอยู่ที่ 50 องศา  ต่อไปประเทศไทย จะมีสภาพแล้ง น้ำท่วม แล้ง  น้ำท่วม พายุแรงขึ้น กัดเซาะชายฝั่งมากขึ้น ซึ่ง ณ ขณะนี้ 80 % ของไทยชายฝั่งถูกกัดเซาะไปเรียบร้อยแล้ว ในปี 2554 น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ประเทศ คิดเป็น  2 ใน 3 ของ 77 จังหวัด ที่ถูกน้ำท่วม

ดังนั้นประชาชนคนไทย ควรต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกให้ได้ ถึงแม้ไทยไม่ได้อยู่ในเขตแผ่นดินไหวก็ตาม แต่ที่ประเทศพม่าเกิดแผ่นดินไหวบ่อยมาก การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ควรมีการให้ความรู้ จากผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ  มีนโยบายจากรัฐบาล และหากเกิดภัยพิบัติควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่นกัน

 

เรียบเรียงจาก การปาฐกถาพิเศษ ในการสัมมนาวิชาการ  Learn to Live in the World of Change ในงานมหกรรมทีวีรักษ์โลก  360 องศา. วันที่ 21 เมษายน 2556. อิมแพค เมืองทองธานี.– ( 106 Views)

 
 Share on Facebook Share on Twitter Share on Reddit Share on LinkedIn
No Comments  comments 
formats

สาหร่ายช่วยลดโลกร้อน

สำนักข่าวไทยนำเสนอข่าวต่างประเทศ

สหรัฐ 2 พ.ค.2013  – ในขณะที่วงการนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ยังคงเดินหน้าค้นหาวิธีลดก๊าซเรือนกระจกลดภาวะโลกร้อนอย่างไม่ลดละ มีข่าวดีจากนักวิจัยในสหรัฐ ที่ค้นพบสายพันธุ์สาหร่าย ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งยังสามารถนำไปทำเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพได้ด้วย

ทีมวิจัย ไฮเทค ไบโอ ร่วมกับศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ทำการวิจัยสาหร่ายสีเขียว พืชที่มีชีวิตพันล้านปี ค้นหาสายพันธ์ที่ดูดซับ CO2 และให้น้ำมันไลปิด ที่สามารถ นำไปกลั่นน้ำมันชีวภาพได้ นอกจากนี้ยังได้ผลผลิตพลอยได้ เช่น ยา เวชสำอาง สีทาอาคาร อาหารเสริม เป็นต้น

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมและภาพข่าวได้ที่เว็บไซต์ สำนักข่าวไทย อสมท. -
http://www.mcot.net/site/content?id=518205b6150ba06246000331#.UYIlIsphsa8– ( 57 Views)

 
 Share on Facebook Share on Twitter Share on Reddit Share on LinkedIn
No Comments  comments 
formats

รถอีแต๋น

รถคู่กายเกษตรกรไทยอย่างรถอีแต๋น สร้างสรรค์ขึ้นด้วยฝีมือชาวนาไทย ในอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อ พ.ศ.2514 โดยเริ่มต้นใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการกำจัดวัชพืชในทุ่งนา ด้วยการนำชิ้นส่วนเครื่องยนต์จากรถมือสองมาประยุกต์ดัดแปลงเป็นรถสี่ล้อขนาดเล็ก โดยใช้เครื่องยนต์ดีเซลหนึ่งสูบ และต่อเสริมกระบะท้ายด้วยไม้เพื่อใช้บรรทุกสิ่งของ ขับเคลื่อนโดยสายพานที่ต่อพ่วงกับเครื่องยนต์ ภายหลังจึงนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่เกษตรกรไทย ส่วนที่มาของคำว่ารถอีแต๋นนั้นมาจากเสียงดังของเครื่องยนต์ขณะขับเคลื่อน ปัจจุบันรถอีแต๋นมีการพัฒนารูปแบบให้สอดคล้องกับการใช้งานที่หลากหลาย และได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกได้เช่นเดียวกับรถประเภทอื่น

แหล่งที่มา: น้องโนเนะ. (2556).แรกมีที่เมืองไทย: รถอีแต๋น. Update, 28(306); 105.

 

 

 – ( 773 Views)

 
 Share on Facebook Share on Twitter Share on Reddit Share on LinkedIn
No Comments  comments 
formats

วิธีเลือกใช้ 3G 2100MHz

สำนักข่าวไทยนำเสนอข่าวไอที
1 พฤษภาคม 2556- คาดว่าสัปดาห์นี้เป็นต้นไปเรื่อง 3G คงจะล้นทุกหน้จอ ทั้งจอทีวี จอคอมพิวเตอร์และจอมือถือ และจะเกิดคำถามเวียนไปเวียนมาให้คิดอยู่หลายรอบว่าเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนดี ?

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า 3G ที่เราเคยมีเคยใช้กัน ปัจจุบันนี้เป็นเน็ตที่วิ่งเข้ามือถือ โดยเบียดเบียนใช้คลื่นร่วมกับคลื่นที่เราใช้โทรคุยด้วยเสียง 850, 900 และ 1800 MHz  แต่ระบบ 3G ที่เรากำลังจะใช้นั้นเหมือนเป็นถนนเส้นใหม่ที่ช่วงความถี่ 2100 MHz  ทำให้เน็ตวิ่งได้เต็มที่ทั้งในเรื่อง เร็ว แรง  ชัด ไม่หลุด และทั่วถึงกันทุกค่าย
Read more…– ( 69 Views)

 
 Share on Facebook Share on Twitter Share on Reddit Share on LinkedIn
No Comments  comments 
formats

เผยเกาหลีเหนืออาจเริ่มเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เร็ว ๆ นี้

สำนักข่าวไทยนำเสนอข่าวต่างประเทศ
วอชิงตัน 2 พ.ค. 2013 -คณะนักวิจัยเปิดเผยว่า เกาหลีเหนืออาจพร้อมเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำมวลเบาได้ภายในไม่กี่สัปดาห์นี้ ซึ่งยิ่งทำให้หลายฝ่ายกังวลมากขึ้นจากการที่รัฐบาลเกาหลีเหนือประกาศว่าจะผลิตอาวุธนิวเคลียร์เพิ่ม
Read more…– ( 46 Views)

 
 Share on Facebook Share on Twitter Share on Reddit Share on LinkedIn
No Comments  comments 
formats

ดินสอพอง

อากาศร้อนกับวันสงกรานต์เป็นของคู่กัน ในวันนี้น้อง ๆ จะได้สนุกสนานกับเพื่อน ๆ และทุกคนในครอบครัว ที่นอกจากจะได้มารวมตัวกันแล้ว ยังได้เล่นน้ำ ปะแป้งกันให้คลายร้อนด้วย แป้งที่ใช้ในเทศกาลสงกรานต์เกิดจากการนำ ดินสอพอง หรือ มาร์ล มาผสมน้ำปะใบหน้ากัน ซึ่งดินสอพองนี้มีส่วนประกอบหลักคือ แคลเซียมคาร์บอเนต รวมถึงมีเคลย์ ซิลิกา ฯลฯ เป็นส่วนผสมอีกเล็กน้อย พบได้ตามธรรมชาติ มีลักษณะเป็นสีขาว (แต่ก็อาจพบเป็นสีอื่นได้) เนื้อเนียนละเอียด อ่อนร่วนหรือจับตัวเป็นก้อน นอกจากจะใช้ปะหน้าและร่างกาย หรืออาจใช้ผสมกับสมุนไพรเพื่อประเทินผิวแล้ว ดินสอพองยังใช้เป็นส่วนผสมในน้ำอบไทย ธูป ปูนซีเมนต์ และอื่น ๆ อีกมากมาย เกษตรกรเองก็ยังใช้ดินสอพองในการแก้ปัญหาดินเปรี้ยวได้ด้วย

แหล่งที่มา: น้องโนเนะ. (2556). เคมีรอบบ้าน: ดินสอพอง. Update, 28(306); 105. – ( 34 Views)

 
 Share on Facebook Share on Twitter Share on Reddit Share on LinkedIn
No Comments  comments 
formats

4 แนวทางการทำงานไม่ให้คั่งค้าง

คนทำงานไม่ให้คั่งค้างจะต้องมีอิทธิบาท 4 ประจำใจ คือ

  1. ฉันทะ แปลว่า ความพอใจ ความรักงานหรือเต็มใจทำ เราก็ทุ่มเทให้กับงานได้เป็นอย่างดี
  2. วิริยะ พากเพียรพยายามหรือแข็งใจทำ มิใช่ฝืนใจทำแบบซังกะตาย หากหมายถึงทำงานด้วยความเข้มแข็ง กล้าสู้ กล้าบุก
  3. จิตตะ ตั้งใจทำ หมายถึง คิดถึงงานที่เริ่มไว้ตลอดเวลา เอาใจจดจ่ออยู่ที่งานนั้น
  4. วิมังสา เข้าใจทำ หมายถึงทำงานด้วยการใช้ปัญญา ทำอย่างฉลาด

คุณสมบัติของผู้ที่จะทำงานไม่ให้คั่งค้างจะต้องมีความเต็มใจทำ แข็งใจทำ ตั้งใจทำ และเข้าใจทำ ใช้สูตรนี้สูตรเดียว การงานทุกอย่างไม่ว่าใหญ่หรือเล็กรับรองประสบความสำเร็จแน่นอน

แหล่งที่มา : เสฐียรพงษ์ วรรณปก. (2556). ระเบียงโบสถ์ : 4 แนวทางการทำงานไม่ให้คั่งค้าง. ชีวจิต, 15(349), 34.– ( 58 Views)

 
 Share on Facebook Share on Twitter Share on Reddit Share on LinkedIn
No Comments  comments 
formats

Facebook สามารถเดาได้ว่าคุณอ้วนหรือไม่

Published on May 2, 2013 by in S&T Stories

เว็บไซต์วิชาการ.คอม นำเสนอข่าววิทย์เรื่อง Facebook สามารถเดาได้ว่าคุณอ้วนหรือไม่

เวลาที่คุณคลิ๊ก “Like” ให้กับโรงเรียนสอนโยคะบนเพจเฟซบุค หรือเวลาไปซื้อดีลกับร้านอาหารฟาสต์ฟู๊ดนั้น ที่จริงแล้วคุณอาจจะกำลังให้ความช่วยเหลือเหล่านักวิจัยโรคอ้วนอยู่อย่างไม่รู้ตัวก็เป็นได้

ทีมวิจัยทีมหนึ่งจากโรงพยาบาลเด็ก Boston นั้นได้สังเกตเห็นถึงความเกี่ยวพันกันระหว่างความสนใจของผู้ใช้บริการเฟซบุคและอัตราโรคอ้วนในพื้นที่ ๆ อยู่อาศัยของพวกพวกเขาได้ “ข้อมูลได้แสดงให้เห็นว่าในท้องที่ ๆ ผู้ใช้บริการเฟซบุคนั้นมีความสนอกสนใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ออกกำลังกายอยู่เป็นจำนวนมากนั้น จะทำให้ค่าความแพร่หลายของโรคอ้วนและอาการน้ำหนักเกินของพื้นที่นั้นต่ำลง” นักวิจัย Rumi Chunara กล่าว “ข้อมูลเหล่านี้ได้เผยให้เห็นว่าเครือข่ายสังคมหรือโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คนั้นสามารถช่วยขยายขอบเขตการดูแลสาธารณสุขด้วยการทำให้นักวิจัยสาธารณสุขสามารถเข้าถึงข้อมูลในระดับประชากรที่พวกเขาไม่สามารถหาได้จากวิธีอื่นได้อย่างไร”  รายละเอียดเพิ่มเติมเข้าถึงได้ที่ http://vcharkarn.com/vnews/446765– ( 58 Views)

 
 Share on Facebook Share on Twitter Share on Reddit Share on LinkedIn
No Comments  comments