เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มักจะมีการเติมสารหน่วงไฟ เช่น เดคาบีดีอี เพื่อชะลอการติดไฟของวัสดุ แต่เมื่อผลิตภัณฑ์เหล่านี้เสื่อมสภาพ หมดอายุการใช้งาน และกลายเป็นขยะ สารมลพิษบางชนิดรวมถึงเดคาบีดีอีที่แฝงตัวอยู่ในผลิตภัณฑ์ก็มีโอกาสเล็ดลอดสู่สิ่งแวดล้อมและเข้าสู่ร่างกายของเราโดยไม่รู้ตัว ซึ่งผลกระทบจากสารเคมีแม้จะไม่ได้แสดงผลทันทีแต่เมื่อได้รับสะสมเป็นเวลานานและในปริมาณมากขึ้น อาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพเกินกว่าที่เราจะคาดคิด
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ดำเนินโครงการ “decaBDE สารมลพิษตกค้างยาวนานและการจัดการอย่างยั่งยืน” เพื่อสร้างความตระหนักรวมถึงแนวทางป้องกันและหลีกเลี่ยงภัยอันตรายของสาร decaBDE ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO)
ดร.ศิริกาญจน์ วิเศษสุวรรณภูมิ นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. และผู้ดำเนินโครงการ “decaBDE สารมลพิษตกค้างยาวนานและการจัดการอย่างยั่งยืน” กล่าวว่า เดคาโบรโมไดฟีนิลอีเทอร์หรือเดคาบีดีอี (decabromodiphenyl ether: decaBDE) เป็นสารหน่วงไฟชนิดหนึ่งที่ถูกใช้มานานอย่างกว้างขวางในหลายผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะพลาสติก เช่น จอโทรทัศน์แบบเก่า เคสเครื่องใช้ไฟฟ้า ปลอกสายไฟ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เช่น ผ้าม่าน โซฟา เบาะรถยนต์ และอาจปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์จากพลาสติกรีไซเคิล เช่น ของเล่นเด็ก และวัสดุสัมผัสอาหาร
“หลายปีที่ผ่านมามีการตรวจพบ decaBDE ในร่างกายมนุษย์ ทั้งในเลือด น้ำนมแม่ น้ำอสุจิ และในสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิด นอกจากนี้ยังพบในอากาศและฝุ่นทั้งภายในและภายนอกอาคารบ้านเรือน โดยเฉพาะในบริเวณรอบ ๆ พื้นที่สำหรับจัดเก็บหรือถอดแยกชิ้นส่วนซากอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้เพราะ decaBDE สามารถเล็ดลอดสู่สิ่งแวดล้อมได้ในทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิต การใช้ การกำจัดทิ้ง ไปจนถึงการรีไซเคิล ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ decaBDE สามารถกระจายตัวไปตามแหล่งน้ำ สะสมในดิน หรือแม้กระทั่งจับตัวกับอนุภาคในอากาศ ซึ่งทำให้เคลื่อนย้ายไปได้ไกลในสิ่งแวดล้อม จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมมีการตรวจพบ decaBDE ในพื้นที่ห่างไกลอย่างขั้วโลก ไม่เพียงเท่านี้ decaBDE ยังจับตัวกับไขมันได้ดีจึงสะสมและเพิ่มปริมาณในสิ่งมีชีวิตผ่านการกินกันเป็นทอด ๆ ในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งพบว่ามี decaBDE ปนเปื้อนอยู่ในอาหารหลายชนิด เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม และปลา”
เนื่องจากผลกระทบที่รุนแรงดังที่กล่าวมา decaBDE จึงถูกบรรจุเป็นหนึ่งในสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน หรือ สาร POPs (persistent organic pollutants) ในภาคผนวก A (สารที่ต้องเลิกใช้) ภายใต้อนุสัญญาสตอกโฮล์ม เมื่อปี พ.ศ. 2560 และอยู่ในทำเนียบสาร POPs ของประเทศไทยฉบับที่ 2 ร่วมกับสารมลพิษตกที่ค้างยาวนานอื่น ๆ รวม 15 ชนิด นอกจากนี้ decaBDE (ทั้งในรูปแบบสารเคมีเดี่ยวและสารผสม) ยังถูกควบคุมเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ในความรับผิดชอบของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งหากมีการนำเข้า ผลิต ส่งออก นำผ่าน และมีไว้ในครอบครองต้องขออนุญาตกรมโรงงานอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย
decaBDE อันตรายแค่ไหน ใครเสี่ยงบ้าง ?
ดร.ศิริกาญจน์ ให้ข้อมูลว่า จากผลการสำรวจในปี พ.ศ. 2562 พบว่าประเทศไทยมีการตกค้างของสาร decaBDE ในสิ่งทอที่ใช้งานอยู่ประมาณ 3 ล้านตัน และในเคสโทรทัศน์แบบหลอดรังสีแคโทดที่ผลิตก่อน พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) ทั้งที่ยังใช้อยู่และรอทิ้งประมาณ 500–820 ตัน
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับ decaBDE เข้าสู่ร่างกายคือผู้ที่สัมผัสกับผลิตภัณฑ์หรือชิ้นส่วนที่มี decaBDE โดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในโรงงานคัดแยกซากชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อนำไปหมุนเวียนหรือรีไซเคิล รวมถึงคนทั่วไปก็เสี่ยงได้รับ decaBDE ที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม
“decaBDE เข้าสู่ร่างกายได้ทั้งจากการหายใจ การสัมผัส การที่ฝุ่นเข้าปาก และการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อน และยังส่งต่อจากแม่สู่ลูกผ่านทางสายสะดือและการให้นมบุตร ซึ่งในทารกและเด็กเล็กพบปริมาณ decaBDE ต่อน้ำหนักตัวสูงกว่าผู้ใหญ่ จึงมีโอกาสได้รับผลกระทบมากกว่าด้วย เมื่อ decaBDE เข้าสู่ร่างกายจะเป็นพิษต่อระบบประสาท ส่งผลต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อและระดับสมดุลของฮอร์โมน ทำให้เด็กมีพัฒนาการช้าลง ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ decaBDE ในร่างกายสามารถสลายตัวเป็นสารมลพิษอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบรุนแรงขึ้น เช่น สารก่อมะเร็ง เป็นพิษต่อตับ ระบบสืบพันธุ์ และไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่ decaBDE ยังเป็นพิษต่อสัตว์และสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิดในระบบนิเวศด้วย”
เราจะลดความเสี่ยงจาก decaBDE ได้อย่างไร ?
ดร.ศิริกาญจน์ ให้คำแนะนำว่า ผู้ประกอบการและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องสามารถลดความเสี่ยงจาก decaBDE และหมุนเวียนวัสดุได้อย่างปลอดภัยโดยการบ่งชี้และแยกแยะวัสดุและผลิตภัณฑ์ว่ามี decaBDE ผสมอยู่หรือไม่ สวมใส่ถุงมือและหน้ากากกันฝุ่นในระหว่างทำงาน รวมทั้งเรียนรู้และปฏิบัติตามแนวทางการจัดการที่เหมาะสมด้วยเทคนิคที่ดีที่สุดและแนวทางปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด หรือ BAT/BEP
สำหรับบุคคลทั่วไปควรหมั่นทำความสะอาดที่อยู่อาศัย และจัดการขยะเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี โดยแยกจากขยะชนิดอื่นและนำไปทิ้งในจุดทิ้งขยะเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ทิ้งรวมกับขยะทั่วไป
แม้ว่าสารมลพิษตกค้างยาวนานอย่าง decaBDE จะถูกใช้งานมาหลายปี และยังมีบางส่วนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่หากผู้ประกอบการและผู้ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนสามารถปฏิบัติตามมาตรการและแนวทาง BAT/BEP ในการจัดการสารเคมีในผลิตภัณฑ์และสารมลพิษตกค้างยาวนานได้อย่างเหมาะสม นอกจากจะช่วยส่งเสริมการหมุนเวียนวัสดุอย่างปลอดภัยแล้ว ยังช่วยลดผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน เพื่อโลกที่ดีกว่าและอนาคตที่สดใสสำหรับเราทุกคน
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่, วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.