เกษตรกรยโสธรปลูก ‘ถั่วเขียว KUML’ พลิกนาทิ้งว่าง สร้าง ‘รายได้หลักหมื่น’
‘จังหวัดยโสธร’ คือหนึ่งใน 5 จังหวัด ที่มีพื้นที่อยู่ใน ‘ทุ่งกุลาร้องไห้’ ดินแดนที่เลื่องชื่อเรื่องร้อนแล้ง แต่กลับเป็นแหล่งผลิต ‘ข้าวหอมมะลิ’ ที่ดีที่สุดของประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่จึงมีอาชีพหลักคือ ‘การทำนา’ โดยเฉพาะ ‘นาอินทรีย์’ ซึ่งเดิมทีหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวแล้ว หากไม่ปล่อยที่นาว่างไว้ เกษตรกรมักจะปลูกพืชตระกูลถั่ว ได้แก่ ถั่วพร้า และปอเทือง เพื่อเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน แต่ในระยะหลังการปลูกพืชตระกูลถั่วเริ่มลดลง เพราะขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ดีและผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ต่ำ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมส่งเสริมการเกษตร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และภาคเอกชน โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก สำนักวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อดำเนิน “โครงการขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต” เพื่อสนับสนุนเกษตรกรปลูกถั่วเขียวเป็นพืชหลังนา ผ่านการทำงานเชื่อมกับสำนักงานเกษตรจังหวัด ทั้งสิ้น 32 จังหวัด ที่กรมส่งเสริมการเกษตรมีนโยบายส่งเสริมเรื่องการปลูกพืชตระกูลถั่วเป็นพืชหลังนา โดยโครงการปักธงนำร่องที่ ‘จังหวัดยโสธร’ ซึ่งสอดคล้องนโยบายขับเคลื่อน “ยโสธรเมืองเกษตรอินทรีย์ เมืองแห่งวิถีอีสาน” อีกทั้งยังมีการบรรจุถั่วเขียวเป็น 1 ใน 10 ชนิดสินค้าสำคัญของจังหวัด
‘ถั่วเขียว KUML’ พืชหลังนาอินทรีย์ตามมาตรฐาน EU
ปัจจุบันการรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ของสหภาพยุโรป (EU) ได้เพิ่มข้อกำหนดใหม่ที่ใช้ในปี 2567 ได้ระบุไว้ว่า “การปลูกพืชล้มลุกต้องมีการปลูกพืชหมุนเวียนที่เป็นพืชตระกูลถั่วในแต่ละปี ส่วนพืชยืนต้นและการปลูกพืชในโรงเรือน ต้องปลูกพืชสดระยะสั้นและพืชตระกูลถั่ว รวมทั้งเพิ่มความหลากหลายของพืช (For annual crop, multiannual crop rotation is required with leguminous crops. For perennial crop and greenhouses, shot-term green manure crop and legume as well as the use of plant diversity is required)” โดยให้กลุ่มผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ต้องปลูกพืชตระกูลถั่วหลังการเก็บเกี่ยวข้าวในสัดส่วน 5% ของพื้นที่เพาะปลูก
‘ถั่วเขียว KUML’ จึงถูกจับตาในฐานะ ‘พืชหลังนาที่มีความสำคัญ’ สำหรับใช้บำรุงดินและสร้างรายได้เพิ่ม ทำให้เกษตรกรมีความสนใจที่จะรับความรู้และเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวแบบครบวงจรให้ได้คุณภาพ รวมถึงผลิตและจัดเก็บเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวไว้ใช้เอง เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด และยังสามารถบำรุงดิน ได้รายได้เสริมจากการจำหน่ายผลผลิต และลดต้นทุนการซื้อเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวสายพันธุ์ดี ที่ตลาดมีความต้องการสูง เกิดความยั่งยืนในการผลิตทั้งระบบ

กฤษณ์ เสาประธาน ประธานสหกรณ์เกษตรอินทรีย์เลิงนกทา จำกัด ตำบลสามัคคี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร เล่าว่า สหกรณ์เกษตรอินทรีย์เลิงนกทาฯ มีสมาชิกมากกว่า 170 ครอบครัว สมาชิกส่วนใหญ่ปลูกข้าวอินทรีย์ และมีพื้นที่ทำนามากถึง 2,000 ไร่ ผลผลิตข้าวของกลุ่มได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในระดับสากล 2 มาตรฐาน คือ IFOAM และ EU
“ตามมาตรฐานของ EU หลังทำนาเสร็จ เกษตรกรต้องไถกลบตอซัง ห้ามเผา และต้องปลูกพืชตระกูลถั่ว 5% ของพื้นที่การทำนา ที่ผ่านมาเกษตรกรจะปลูกพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเขียว โดยซื้อเมล็ดพันธุ์จากพ่อค้าในท้องถิ่น แต่มักมีปัญหาถั่วหินปน ได้ผลผลิตน้อย เมล็ดเล็ก เวลาขายก็ได้ราคาต่ำ พอ สวทช. เข้ามาส่งเสริมการปลูกถั่วเขียว KUML ซึ่งเป็นถั่วเขียวสายพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตสูงและต้านทานโรค สหกรณ์ฯ จึงสนใจ เพราะนอกจากตอบโจทย์มาตรฐาน EU แล้ว ยังช่วยให้เกษตรมีรายได้เสริมหลังการทำนา ดีกว่าปล่อยที่นาว่างไว้เฉย ๆ”
สวทช. ไม่เพียงสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML แต่ยังลงพื้นที่ร่วมกับ ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน และสำนักงานเกษตรจังหวัด เพื่อจัดทำสื่อที่เข้าใจง่าย เกษตรกรสามารถเข้าถึงได้ง่าย และอบรมการปลูกถั่วเขียว KUML แบบครบวงจรให้แก่เกษตรกร
“แต่ก่อน เราไม่มีความรู้เรื่องการปลูกถั่วเขียว ก็หว่าน แล้วก็ปล่อยไว้ตามธรรมชาติ รอเก็บเกี่ยว แต่ครั้งนี้ทีมเจ้าหน้าที่ได้เข้ามาอบรมให้ความรู้ว่าการปลูกถั่วเขียวต้องทำอย่างไร อาจารย์ประกิจ สมท่า จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ผู้พัฒนาพันธุ์ถั่วเขียว KUML ช่วยแนะนำวิธีการตั้งแต่การเตรียมดิน ดูว่าดินมีความชุ่มชื้นเพียงพอไหม ก่อนปลูกก็ให้นำเมล็ดถั่วไปคลุกไรโซเบียมก่อน ซึ่งจะช่วยให้ถั่วเขียวต้านทานโรค รากจะมีปม หาอาหารได้เก่งขึ้น ต้นถั่วเขียวแข็งแรงขึ้น ระหว่างปลูกก็ต้องเดินสำรวจโรคแมลงและดึงวัชพืชทิ้ง ที่สำคัญยังสอนการคัดเมล็ดพันธุ์สำหรับเก็บไว้ใช้ปลูกต่อในปีถัดไป”
ถั่วเขียว KUML ฝักใหญ่ น้ำหนักดี มีตลาดรองรับ
การขาดแคลน ‘เมล็ดพันธุ์ดี’ ที่ให้ผลผลิตคุ้มค่าแก่การลงทุนลงแรง คือ สาเหตุหลักที่ทำให้เกษตรกรปลูกพืชตระกูลถั่วลดลง แต่เมื่อพวกเขาได้ทดลองปลูกถั่วเขียว KUML แล้ว เกษตรกรส่วนใหญ่ต่างยกนิ้วการันตีว่าผลผลิตคุณภาพดีและอยากปลูกเพิ่ม

ลุงมณี แสงแก้ว เกษตรกร สมาชิกสหกรณ์เกษตรอินทรีย์เลิงนกทา จำกัด เล่าว่า เริ่มปลูกถั่วเขียว KUML มาได้ 2 ปีแล้ว ข้อดีคือเมล็ดใหญ่กว่าพันธุ์พื้นบ้าน ฝักยาว ได้ผลผลิตเยอะ พอถั่วเขียวเมล็ดใหญ่ขึ้น ทำให้น้ำหนักดี ถึงปลูกน้อยแต่ก็ขายได้น้ำหนักเยอะ ที่สำคัญคือเติบโตสม่ำเสมอ เก็บเกี่ยวง่ายขึ้น เพราะสุกไล่เลี่ยกัน
ปลูกแล้วจะขายใคร ? คือโจทย์ใหญ่ของเกษตร แต่สำหรับถั่วเขียว KUML เกษตรกรแทบไม่ต้องกังวล เพราะ สวทช. ใช้กลยุทธ์ “ตลาดนำการผลิต” เชื่อมตลาดรับซื้อ พร้อมกำหนดมาตรฐานและราคาถั่วเขียว KUML จูงใจไว้ตั้งแต่ต้นทาง
กฤษณ์ เล่าว่า สหกรณ์เกษตรอินทรีย์เลิงนกทา จำกัด เปิดรับซื้อถั่วเขียว KUML ในราคากิโลกรัมละ 40 บาท ทั้งนี้มีข้อกำหนดว่าต้องเป็นถั่วเขียวพันธุ์ KUML ที่ปลูกในแปลงที่ได้รับรองมาตรฐาน EU หรือ I-FOAM ถึงจะได้ราคานี้ แต่หากเป็นแปลงนาที่ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อื่น ๆ เช่น PGS จะรับซื้อในราคากิโลกรัมละ 35 บาท สาเหตุที่รับซื้อถั่วเขียวได้ราคาดี เพราะเรามีลูกค้าที่รอซื้ออยู่แล้ว โดยผลผลิตถั่วเขียวที่รับซื้อมาจะนำมาตากแดดและนำเข้าเครื่องร่อนเพื่อคัดแยกเมล็ดที่มีคุณภาพ ก่อนบรรจุถุงสุญญากาศเพื่อส่งขายให้กลุ่มลูกค้าที่กินเจและอาหารสุขภาพในกรุงเทพฯ ซึ่งตลาดยังมีความต้องการผลผลิตอีกมาก
“ปีที่แล้วมีสมาชิกเริ่มปลูกแล้วนำมาขาย ทำให้มีรายได้เพิ่ม บางคนขายได้เงิน 20,000 บาท หรือ 30,000 บาท จากปกติไม่ได้มีรายได้หลังการทำนาเลย พอเกษตรกรท่านอื่นเห็นว่าปลูกแล้วมีรายได้จริง ก็เริ่มปลูกกันมากขึ้น ซึ่งในปี 2568 นี้ มีจำนวนสมาชิกสหกรณ์ฯ หันมาปลูกถั่วเขียวรวม 80% เกษตรกรที่เหลือบางคนแม้จะอยากปลูก แต่ด้วยสภาพดินที่ไม่พร้อม บางแปลงเป็นดินเหนียว ทำให้ปลูกไม่ได้”
“ปลูกถั่วเขียว KUML ดีตรงที่มั่นใจว่าขายได้” ลุงมณีกล่าวเสริมและเล่าว่า แต่ก่อนนี้ปลูกแล้วก็ต้องรอว่าจะขายใคร ไม่ที่ขาย กินเองบ้าง ขายคนในชุมชนบ้าง แต่ตอนนี้เก็บผลผลิตเสร็จส่งขายสหกรณ์ฯ ได้เลย
“ถ้าอยากมีรายได้เพิ่มหลังการทำนาก็ต้องมาปลูกถั่วเขียว KUML เพราะมีแหล่งรับซื้อรออยู่แล้ว ขายง่าย และได้เงินง่ายด้วย” ลุงมณีกล่าวย้ำด้วยความมั่นใจพร้อมรอยยิ้ม
ถั่วเขียว KUML พืชมหัศจรรย์ปรุงดินดี มีรายได้ยั่งยืน
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตปุ๋ยอินทรีย์และข้าวอินทรีย์บ้านคำครตา ตำบลดงมะไฟ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร เป็นหนึ่งในพื้นที่การส่งเสริมการปลูกถั่วเขียว KUML

ลัดดา พันธ์ศรี ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตปุ๋ยอินทรีย์และข้าวอินทรีย์บ้านคำครตา จ.ยโสธร เล่าว่า กลุ่มของเรามีสมาชิกทั้งหมด 138 ราย ผลิตข้าวอินทรีย์ได้รับรองมาตรฐานของสหภาพยุโรป (EU) และ มาตรฐานระบบอินทรีย์แคนาดา (COR) ซึ่งสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดของการทำข้าวอินทรีย์ คือ ‘การบำรุงดินหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว’
“แต่ก่อนนี้หลังทำนา เราปลูกถั่วพร้าและปอเทืองเพื่อเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน ไม่ได้เสริมสร้างรายได้ กระทั่ง ปี 2567 ได้รู้จักกับ สวทช. ผ่านการแนะนำของบ้านต้นข้าวออร์แกนิก กลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง จังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งเป็นเครือข่ายกัน ทำให้ได้เริ่มปลูกถั่วเขียว KUML ข้อดีของถั่วเขียว KUML คือ สุกพร้อมกัน แล้วก็ฝักใหญ่ เมล็ดใหญ่ เวลาเก็บน้ำหนักจะเยอะ ที่สำคัญคือถั่วเขียวเป็นพืชตระกูลถั่วที่ช่วยบำรุงดินให้กับต้นข้าวในฤดูกาลทำนา ดินจะร่วนซุยมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ได้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น เมล็ดข้าวที่ได้จะโต หุงแล้วหอม นิ่ม อร่อย เพราะเราไม่ใช้สารเคมีในการผลิตข้าวเลย”
การปลูกถั่วเขียว KUML 1 ไร่ จะใช้เมล็ดพันธุ์ 5 กิโลกรัม ซึ่งหลังจากหว่านและปั่นกลบแล้ว ระหว่างปลูกหากเจอโรคและแมลงศัตรูพืช หรือแปลงถั่วเขียวมีปัญหา เจ้าหน้าที่ทั้งจาก สวทช. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเกษตรจังหวัดยังคอยเป็น ‘พี่เลี้ยง’ ให้คำแนะนำและแก้ปัญหา
“พอถั่วเขียวเริ่มงอก เราก็ต้องหมั่นดูในแปลงว่ามีโรคและแมลงหรือไม่ เช่น ถ้าเจอเพลี้ยอ่อน ก็จะแจ้งเข้าไปในไลน์กลุ่ม ซึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดจะคอยดูว่าแปลงถั่วเขียวของสมาชิกท่านใดมีปัญหาบ้าง จากนั้นจะเข้ามาช่วยดูและให้คำแนะนำ เช่น การใช้ชีวภัณฑ์ หรือน้ำหมักชีวภาพ แต่ที่ปลูกมาสมาชิกยังไม่พบปัญหารุนแรงถึงขั้นที่สร้างความเสียหายจนไม่ได้ผลผลิต”
ทุกวันนี้ถั่วเขียว KUML นอกจากเป็นพืชบำรุงดินชั้นดี ยังเป็นถั่วมหัศจรรย์ที่สร้างรายได้เสริมให้แก่เกษตรกรกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตปุ๋ยอินทรีย์และข้าวอินทรีย์บ้านคำครตาอย่างมาก
ลัดดา กล่าวว่า ปีที่แล้วปลูกถั่วเขียว KUML จำนวน 5 ไร่ ได้ผลผลิตถั่วเขียวประมาณ 700 กิโลกรัม เก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ 60 กิโลกรัม ที่เหลือขายให้บ้านต้นข้าวออร์แกนิกทั้งหมดในราคากิโลกรัมละ 35 บาท ทำให้มีรายได้เพิ่มประมาณ 20,000 บาท ซึ่งทางต้นข้าวออร์แกนิกจะส่งให้บริษัทข้าวดินดี ที่ทาง สวทช. ได้เชื่อมเป็นตลาดรับซื้อผลผลิตถั่วเขียว KUML ไว้ตั้งแต่แรก แต่หากเราสามารถทำความสะอาดและคัดเมล็ดถั่วเขียวคุณภาพส่งขายบริษัทโดยตรงจะขายได้ในราคากิโลกรัมละ 40 บาท
“ปลูกถั่วเขียว KUML มีที่ขายแน่นอน เพราะตลาดยุโรป อเมริกา ยังต้องการผลผลิตอีกมาก ที่สำคัญจังหวัดยโสธรก็มีตลาดรองรับถั่วเขียวเพิ่มขึ้นมาก เรียกว่าเป็นพืชที่จะสร้างรายได้อย่างเป็นมรรคเป็นผลเลย”
ถั่วเขียว KUML ที่กำลังออกฝักเต็มผืนนาไม่เพียงเป็นพืชฟื้นฟูดินที่ช่วยขับเคลื่อน ‘ยโสธรสู่เมืองเกษตรอินทรีย์’ แต่ยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่ช่วยยกระดับรายได้ให้ ‘เกษตรกรทุ่งกุลาม่วนซื่น อยู่ดี มีแฮง’
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.