หน้าแรก คลังความรู้ คลังความรู้ นานาสาระน่ารู้ แนะนำ Object-Relational Mapping(ORM)
แนะนำ Object-Relational Mapping(ORM)
3 พ.ค. 2567
0
นานาสาระน่ารู้

Object-Relational Mapping (ORM) คือเทคนิคในการเชื่อมโยงและจัดการข้อมูลระหว่างฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (relational database) กับโปรแกรมที่ใช้หลักการของเชิงวัตถุ (object-oriented programming) โดยการสร้าง mapping ระหว่างข้อมูลที่เก็บในตารางฐานข้อมูล (relational tables) กับ object ในโปรแกรม  ข้อจำกัดของ ORM อาจไม่เหมาะกับงานที่มีความซับซ้อนสูงในการทำงานกับฐานข้อมูล เช่น query ที่ซับซ้อนมาก ซึ่งการเขียน SQL โดยตรงอาจมีประสิทธิภาพมากกว่า

ความสำคัญของ ORM ประกอบไปด้วย

    • ลดการเขียน SQL โดยตรง:
      ORM ช่วยให้โปรแกรมเมอร์สามารถทำงานกับฐานข้อมูลได้โดยไม่ต้องเขียนคำสั่ง SQL เอง ซึ่งจะช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการเขียนคำสั่ง SQL ผิดพลาด และทำให้โค้ดง่ายขึ้นในการบำรุงรักษา
    • โปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) กับฐานข้อมูลทำงานร่วมกันได้ง่าย:
      ORM ช่วยให้การทำงานระหว่างฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์กับโปรแกรมเชิงวัตถุเป็นไปอย่างราบรื่น โดยการแปลงข้อมูลจากฐานข้อมูลให้กลายเป็น object ที่สามารถใช้งานได้ทันทีในโปรแกรม
    • การจัดการการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างข้อมูล:
      ORM ทำให้การจัดการโครงสร้างข้อมูลในฐานข้อมูลง่ายขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตารางหรือ schema โดย ORM จะอัพเดตโครงสร้างตารางอัตโนมัติตามการเปลี่ยนแปลงใน object model
    • เพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนา:
      ORM ช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนาโปรแกรมเพราะสามารถลดการเขียนคำสั่ง SQL และทำให้โค้ดเข้าใจง่ายขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้การย้ายฐานข้อมูล (เช่น จาก MySQL ไปเป็น PostgreSQL) ทำได้ง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องเปลี่ยนคำสั่ง SQL ที่เกี่ยวข้อง

 

เครื่องมือที่ใช้สำหรับ  ORM ที่นิยมมีดังนี้:

  1. Hibernate (Java) เป็นหนึ่งใน ORM ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับ Java ช่วยให้โปรแกรมเมอร์สามารถจัดการกับฐานข้อมูลได้ผ่าน object โดยไม่ต้องเขียน SQL มากมาย รองรับการจัดการ transaction, caching, และการ mapping ที่ยืดหยุ่น
  2. Entity Framework (C# / .NET) เป็น ORM ที่มาพร้อมกับแพลตฟอร์ม .NET ของ Microsoft ช่วยให้โปรแกรมเมอร์จัดการกับฐานข้อมูล SQL Server, MySQL, PostgreSQL และอื่นๆ ผ่าน object-oriented code
  3. SQLAlchemy (Python) เป็นเครื่องมือ ORM ที่ยืดหยุ่นสำหรับ Python และได้รับความนิยมสูง ช่วยให้การ map object กับฐานข้อมูลทำได้อย่างสะดวก และยังรองรับการเขียน SQL โดยตรงในกรณีที่ต้องการ query แบบเฉพาะเจาะจง
  4. Django ORM (Python) Django ORM เป็นส่วนหนึ่งของ Django Web Framework ทำให้การจัดการฐานข้อมูลเป็นเรื่องง่ายสำหรับการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน ช่วยให้การ mapping ระหว่างตารางในฐานข้อมูลกับ object ในโปรแกรมเป็นไปโดยอัตโนมัติ
  5. Doctrine (PHP) เป็น ORM ที่ได้รับความนิยมในชุมชน PHP ใช้ในหลายๆ framework เช่น Symfony ช่วยในการแปลงข้อมูลจากฐานข้อมูลเป็น object ที่ใช้งานได้ในโปรแกรม PHP รองรับการทำงานในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ มีการใช้งานที่แพร่หลาย และทำงานได้ดีกับ PHP frameworks
  6. Active Record (Ruby on Rails) เป็น ORM ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Ruby on Rails framework ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถ map object กับฐานข้อมูลได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องเขียน SQL เป็นส่วนหนึ่งของ Ruby on Rails ทำให้การทำงานร่วมกันง่าย และรองรับการพัฒนาเว็บแอปที่รวดเร็ว
  7. Eloquent (PHP / Laravel) เป็น ORM ที่มาพร้อมกับ Laravel Framework ช่วยในการจัดการกับฐานข้อมูลและทำงานร่วมกับ object ได้อย่างสะดวกและง่ายดาย มี syntax ที่เรียบง่ายและชัดเจน ทำงานร่วมกับ Laravel framework ได้อย่างสมบูรณ์
  8. GORM (Golang) เป็น ORM ที่ได้รับความนิยมสำหรับภาษา Go ช่วยให้โปรแกรมเมอร์สามารถจัดการกับฐานข้อมูลได้อย่างสะดวกโดยใช้ object-oriented syntax สนับสนุนการทำงานแบบ automatic migrations และการ query ที่สะดวกใน Golang
  9. Sequelize (Node.js / JavaScript) เป็น ORM สำหรับ Node.js ที่รองรับการทำงานกับฐานข้อมูลหลายประเภท เช่น MySQL, PostgreSQL, SQLite, และ MSSQL ช่วยให้การจัดการฐานข้อมูลใน JavaScript/TypeScript ง่ายขึ้น รองรับการทำงานร่วมกับฐานข้อมูลหลายชนิด และมีการพัฒนาที่ต่อเนื่อง
3 พ.ค. 2567
0
แชร์หน้านี้: