รายงานข่าววิทย์ปริทัศน์ ฉบับที่ 4/62

ข่าววิทย์ปริทัศน์ ฉบับที่ 4 เมษายน 2562

การสร้างความร่วมมือแนว 4.0 ระหว่างไทยกับลาตินอเมริกา การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยกันนั้น นำไปสู่ การแลกเปลี่ยนความชำนาญและผสานประโยชน์กัน ซึ่งในแต่ละประเทศมีความเชี่ยวชาญด้าน วทน. ที่แตกต่างกัน โดยความเชี่ยวชาญด้าน วทน. ของประเทศที่กำลังพัฒนาจะมีความเกี่ยวข้องกับลักษณะทางกายภาพ ชีวภาพ และวัฒนธรรมของท้องถิ่นและการพัฒนาเทคโนโลยีจากภูมิปัญญาท้องถิ่น การสร้างความร่วมมือ ในการสนับสนุนส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากร การวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ เศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนการสนับสนุนการจัดกิจกรรม โครงการทางวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา จะช่วยให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการทูตวิทยาศาสตร์ และส่งเสริมให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล รัฐบาล ในสาย วทน. ซึ่งเป็นคนในวงการที่เป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้าของประเทศที่สำคัญ

กิจกรรมผู้บริหารด้าน วทน. จากลาตินอเมริกามาเยือนไทย ระหว่างวันที่ 11-15 มีนาคม 2562 สำนักงานที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ได้นำคณะผู้บริหารด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการศึกษา จากประเทศกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิก ประกอบด้วย เม็กซิโก ชิลี เปรู โคลอมเบีย และ โบลิเวีย ไปเยือนไทย เพื่อสร้างเครือข่ายด้าน วทน. และสนับสนุนการแลกเปลี่ยน การพัฒนาองค์ความรู้ ความเข้าใจด้าน วทน. รวมถึง การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาและบริหารอุทยานวิทยาศาสตร์ระหว่างหน่วยงานของไทยกับประเทศลาตินอเมริกา ผู้เข้าร่วมกิจกรรม 5 ประเทศ ประกอบด้วย เม็กซิโก เปรู ชิลี โคลอมเบีย โบลิเวีย

งานสัมมนา หัวข้อ Thailand Regional Science Parks and Latin America Connect ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ คณะผู้บริหารจากลาตินได้ให้การบรรยายในงานสัมมนากลุ่มผู้ฟังคือ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของอุทยานวิทยาศาสตร์จากภาคและจังหวัดต่างๆ ของไทย ผู้บริหารมหาวิทยาลัย อาจารย์ นักศึกษา และผู้ที่สนใจ จำนวน 120 คน โดยการบรรยายของคณะเจ้าหน้าที่จากลาตินมีดังต่อไปนี้

1.Monterrey, International Capital of Knowledge and Advanced Manufacturing โดย Dr.Jaime Parada ประเทศเม็กซิโก 2.Peruvian University Cayetano Heredia : Towards the Development of a Center for Innovation and Entrepreneurship Aimed at Connecting the World and Achieving the Sustainable Development Goals (SDG) โดย Dr. Victor Huanambal Tiravanti ประเทศเปรู 3.Nationa Commission for Scientific and Technological Research – Opportunities for Graduate Studies and International Cooperation โดย Dr. Sharapiya Kakimova ประเทศชิลี

  1. Colombia From STEAM (STEM + ART) Education to a sustainable industrialized nation โดย Dr. Juan Sebastian Osorio โคลอมเบีย 5.Research, Postgraduate and Social Interaction Department (DIPGIS) โดย Prof.Waldo Vargas-Ballester ประเทศโบลิเวีย 6.Open Innovation Partnerships : Thailand Regional and Global Connect โดย ดร.ธัญญานุภาพ อานันทนะ ผู้อำนวยการ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (อว.มช.) 7.Tech Enterprises Development in Northern Thailand โดย ดร.เกษมศักดิ์ อุทัยชนะ รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ลิลี่ เอื้อวิไลจิตร รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และให้บรรยายแนะนำ สวทช. เช่น หน้าที่และบทบาท ของ สวทช. ในการพัฒนา Platform เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา ให้สามารถทำได้เร็วขึ้นและใช้งบประมาณน้อยลง นอกจากนี้ยังได้บรรยายเกี่ยวกับแนวนโยบาย Thailand 4.0 สาขา วทน. ที่ประเทศไทยให้ความสำคัญ และ 10 อุตสาหกรรม (S-Curve) ประเทศไทยมีความสนใจที่จะสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศ ในส่วนของการให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ อุทยานวิทยาศาสตร์เป็นเสมือน One stop service สำหรับผู้ประกอบการทั้งภายใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม ASEAN โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถมาขอใช้สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ของอุทยานวิทยาศาสตร์ ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเป็นระยะเวลา 1 เดือน และ สวทช.จะช่วยหาคู่พันธมิตรทั้งที่เป็นมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชนหลังจากการหารือ คณะได้เยี่ยมชม ศูนย์ชีววัสดุประเทศไทย (TBRC) ของ BIOTEC ซึ่งเป็นศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลชีววัสดุ มีให้บริการในการจัดเก็บตัวอย่าง การฝึกอบรม และการให้คำแนะนำต่างๆ ปัจจุบันได้มีการทำ MOU กับประเทศมาเลเซียแล้ว

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ดร.อาภารัตน์ มหาขันธ์ รองผู้ว่าการวิจัยและพัฒนาด้านพัฒนาอย่างยั่งยืน วว. ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารฯ และบรรยายข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานโครงการที่สำคัญของ วว. เช่น โครงการ OTOP รวมถึง กลยุทธ์ในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ เช่น คูปองวิทย์เพื่อโอทอป มาตรการติดตามและวัดผลของธุรกิจที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก วว. และโครงการที่ผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและภาคเอกชน นอกจากนี้ ดร.อาภารัตน์ฯ ยังกล่าวว่า วว. มีร่วมมือกับต่างประเทศบ้างแล้วโดยปัจจุบันมีการเปิดรับนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และเวียดนาม เข้ามาศึกษาและดูงาน ดร.อาภารัตน์ฯ ได้พาคณะเยี่ยมชมศูนย์ความเป็นเลิศด้านสาหร่าย (Algal Excellent Center) เพื่อศึกษาเกี่ยวกับโครงการวิจัยสาหร่ายเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากสาหร่าย โดยปัจจุบัน วว. มีสาหร่ายน้ำจืดและน้ำเค็มจากแหล่งต่างๆ ทั่วประเทศ พร้อมทั้งจัดทำ ฐานข้อมูลกว่า 1,000 สายพันธุ์ และพยายามศึกษาพัฒนาวิธีการเพิ่มผลผลิตจากสาหร่ายโดยการวิจัยและปรับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเติบโต ซึ่งคณะผู้บริหารฯ ให้ความสนใจที่จะสร้างความร่วมมือกับศูนย์นี้เนื่องจากไทยมีความพร้มทั้งอุปกรณ์ ความรู้ และบุลากรในการวิจัย ซี่งผู้แทนจากทุกประเทศได้มีการหารือแลกเปลี่ยน สนใจต่อโครงการเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเม็กซิโก ได้แจ้งว่า อาจมีการเสนอการแลกเปลี่ยนวิจัย โดย PIIT ก็มีการเก็บตัวอย่างวิจัยเช่นกัน

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติจังหวัดเชียงใหม่ (สดร.) ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารฯ และให้บรรยายเกี่ยวกับข้อมูล บทบาท แผนการและเป้าหมายของ สดร. ประเด็นที่คณะผู้บริหารฯ ให้ความสนใจคือ สดร. ได้นำเอาองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางดาราศาสตร์ไปใช้เพื่อส่งเสริมการศึกษาสะเต็ม และการนำศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์ไปใช้ต่อยอดในสาขาอื่นๆ ได้ เช่น การแพทย์ สดร. ได้พาคณะผู้บริหารฯ ไปเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการหอดูดาว และวิศวกรรม โครงการความร่วมมือพัฒนาระบบเคลือบกระจกสำหรับโครงการหมู่กล้องโทรทรรศน์รังสีเซเรนคอฟเพื่อเยี่ยมชมห้องทดลองและงานวิจัยของ สดร. และเยี่ยมชมหอดูดาวแห่งชาติ ณ ดอยดอินทนนท์

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ คณะผู้บริหาร เยี่ยมชมศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยมี ดร.นพดล โค้วสุวรรณ์ หัวหน้าฝ่ายวิชาการให้การต้อนรับและให้ข้อมูลแก่คณะ โดยนอกจากการบรรยายข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับศูนย์ศึกษาฯ แล้ว ดร.นพดลฯ ได้พาคณะเยี่ยมชมงานในส่วนของงานศึกษาและพัฒนาป่าไม้ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางชีวภาพของพื้นที่ภาคเหนือของไทย และพระอัจฉริยภาพของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการแก้ไขและฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ และงานศึกษาและพัฒนาการประมงซึ่งเป็นศูนย์ศึกษา ทดลอง และเผยแพร่องค์ความรู้และพันธุ์ปลาให้แก่เกษตรกรรมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งคณะผู้บริหารฯ โดยเฉพาะ Dr. Tiravanti (เปรู) และ Dr. Kakimova (ชิลี) ให้ความสนใจเกี่ยวกับการจัดโครงการฝึกอบรมการเพาะพันธ์ปลา เช่น การจัดส่งผู้แทนจากเปรูหรือชิลีมาศึกษารูปแบบการดำเนินงานของศูนย์ และงานศึกษาของศูนย์การศึกษาฯ

สำนักการเกษตรต่างประเทศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คณะผู้บริหารฯ ได้พบกับ ดร.วนิดา กำเนิดเพ็ชร์ ผอ.สำนักการเกษตรต่างประเทศ กษ. เพื่อหารือเกี่ยวกับโครงสร้างของ กษ. การวิจัยต่างๆ แผนความร่วมมือกับต่างประเทศ กษ. ดร.วนิดาฯ กล่าวว่า วิทยาศาสตรีความสำคัญมากสำหรับการพัฒนาด้านเกษตรกรรมทั้งในด้านการผลิตของเกษตรกร การเพิ่มมูลค่าและการทำ ตลาดสินค้าเกษตรกรรม และการส่งออกผลิตภัณฑ์เกษตรสู่ต่างประเทศ ดร.วนิดาฯ ให้ข้อมูลว่า กษ. มีความสนใจที่จะสร้างความร่วมมือด้าน วทน.กับ ประเทศในลาตินอเมริกา เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีสินค้าเกษตรเป็นสินค้าที่สำคัญของประเทศเช่นกัน โดย กษ. มีการให้เงินทุนสนับสนุนการวิจัย ซึ่งแม้ว่าจะให้เฉพาะนักวิจัยของ กษ. เท่านั้น แต่นักวิจัยสามารถทำงานร่วมกับนักวิจัยจากต่างประเทศได้โดยเงินทุนสนับสนุนการวิจัยนี้มีหลายระดับแล้วแต่ความสำคัญและความเหมาะสมของโครงการ จากการหารือพบว่า สาขาการวิจัยที่มีความสนใจตรงกันมีหลายสาขา เช่น การวิจัยที่ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก ความปลอดภัยของอาหาร น้ำมันปาล์ม และกาแฟ แนะนำหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในลาตินอเมริกาและไทย The Institute of Innovation and Technology Transfer (I2T2) Technology Research and Innovation Park (PIIT) เม็กซิโก I2T2 ก่อตั้งโดยรัฐบาลของรัฐ Nuevo Leon เม็กซิโก มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในนโยบายสาธารณะ การพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรม และการบริหารอุทยานวิทยาศาสตร์ Technology Research and Innovation Park (PIIT) ซึ่งเป็นศูนย์เพาะบ่มผู้ประกอบการของธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ วทน. ของรัฐ Nuevo Leon ตั้งอยู่ที่เมือง Monterey I2T2 มีวิสัยทัศน์ในการสนับสนุนการถ่ายทดเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด โดยเริ่มตั้งแต่การทำวิจัยและพัฒนา การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การพัฒนาสินค้าและบริการ การสนับสนุนภาคการศึกษา ไปจนถึงการสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศ ปัจจุบัน PIIT ถือเป็นอุทยานวิทยาศาสตร์อันดับหนึ่งของเม็กซิโก ปัจจุบันมีการยื่นขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์กว่า 500 โครงการ ทำให้ PIIT เป็นอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ ผู้นำในภูมิภาค ลาตินอเมริกา

BIMEDCO – GEMEDCO เป็นบริษัทเอกชนที่มีเป้าหมายในการพัฒนาสุขภาพของชาวโคลอมเบีย ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย การบริการจากผู้เชี่ยวชาญ และการพัฒนาการศึกษาด้านการแพทย์แก่สาธารณะ บริษัท BIMEDCO – GEMEDCO มีการสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศ เช่น บริษัท General Electric (GE) โดยบริษัท BIMEDCO – GEMEDCO เป็น ตัวแทนในการวิจัย ผลิต และจำหน่ายให้กับ GE นอกจากนี้ยังมีความสนใจกับการสร้างความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ในเอเชียอีกด้วย

Innovation and Entrepreneurship Center, Cayetano Heredia Peruvian University มหาวิทยาลัย Cayetano Heredia เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่ตั้งอยู่ ณ เมืองลิมา เปรู โดย Cayetano Heredia เป็นชื่อของนักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงในช่วงศตวรรษที่ 19 ของเปรู มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ชั้นนำแห่งหนึ่งของประเทศ และเป็นมหาวิทยาลัยที่มีการตีพิมพ์บทความวิทยาศาสตร์อันดับต้นของประเทศ สาขาวิจัยที่สำคัญ เช่น biomedical imaging, tissue engineering, biomaterials, biomechanics and rehabilitation และ การใช้เทคโนโลยีเพื่อการให้บริการด้านการแพทย์

สถาบันวิจัยด้านดาราศาสตร์ในชิลี ชิลี เป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองหลวงดาราศาสตร์ของโลก โดยคาดว่าในปี 2563 โครงสร้างพื้นฐานทางดาราศาสตร์ในชิลีจะนับเป็นร้อยละ 70 ของโลก พื้นที่ทางตอนเหนือของชิลี มีสภาพที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาดาราศาสตร์ เนื่องจากมีท้องฟ้าโปร่ง และมีสภาพอากาศที่แห้งมากกว่า 300 วันต่อปี ปัจจัยเหล่านี้ดึงดูดนักวิจัย นักดาราศาสตร์ วิศวกร นักเรียน และนักดาราศาสตร์สมัครเล่นจากทั่วโลก มายังพื้นที่ดังกล่าว สำหรับประเทศไทย สดร. ได้ร่วมมือกับ University of North Carolina ติดตั้งกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.6 เมตร ภายใต้โครงการ PROMPT (Panchromatic Robotic Optical Monitoring and Polarimetry Telescopes) ซึ่งประกอบด้วยกล้องโทรทรรศน์ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ระยะไกล โดยสถานที่ติดตั้งคือ เซโร โตโลโล (Cerro Tololo) ประเทศชิลี หน่วยงานวิจัยด้านดาราศาสตร์ที่สำคัญของชิลีมีหลายแห่ง เช่น – Center for Excellence in Astrophysics and Associated Technologies (CATA) เป็นศูนย์วิจัยที่ใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่ที่ Calan Hill (Cerro Calan) กรุงซันติอาโก โดยมีการวิจัยวิทยาศาสตร์ 6 หัวข้อ วิจัยด้านเทคโนโลยีขั้นสูง 3 หัวข้อ และกิจกรรมเพื่อการศึกษาและการเข้าถึงสาธารณะ 1 หัวข้อ – Millennium Center for Supernova Science ศูนย์วิจัยแห่งนี้เน้นศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ Supernova

Universidad Mayor de San Andres Universidad Mayor de San Andres เมือง La Paz ประเทศโบลิเวีย ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2443 มหาวิทยาลัยแห่งนี้เก่าแก่อันดับสองของประเทศ และเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ สถาบันวิจัยที่สำคัญของมหาวิทยาลัยมีหลายสถาบัน เช่น The Institute of Ecology เป็นสถาบันที่วิจัยเกี่ยวกับสาขาพฤกษศาสตร์ และสาขาสัตววิทยา ศูนย์วิจัยนี้เป็นผู้นำในการสร้างนโยบายและวางกลยุทธ์ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ในโบลิเวีย งานวิจัยที่สำคัญ เช่น การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การวิจัยด้านนิเวศเกษตรแ หรือ Agroecology

 

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2534 เพื่อเป็นหน่วยงานที่บริหารกองทุนพัฒนาวิทยาศาสตร์ โดยอยู่ภายในการกำกับดูแลของคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) สวทช. มุ่งผลักดันให้ประเทศไทยแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองบนเวทีเศรษฐกิจระดับโลก โดยนำความสามารถอันเหนือชั้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยให้ภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมสามาถดำเนินงานได้ดี มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่ง สวทช. ได้ดำเนินงานผ่านการทำงานร่วมกันของศูนย์ทั้ง 5 ศูนย์และ 1 สถาบัน ได้แก่

-ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) มุ่งพัฒนางานด้านเทคโนโลยีชีวภาพ -ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) มุ่งพัฒนางานด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับวัสดุต่างๆ -ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) มุ่งพัฒนางานด้านอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ -ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) มุ่งพัฒนางานด้านนาโนเทคโนโลยี -ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) มุ่งให้ความช่วยเหลือนักวิจัยและบริษัทต่างๆ ในการนำผลงานการค้นพบและเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ -สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) (AIMI) ให้บริการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร แบบครบวงจร (One Stop Service)

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เป็นรัฐวิสาหกิจประเภทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการตามนโยบายพิเศษของรัฐ นั่นคือจัดตั้งเพื่อส่งเสริมการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบไม่แสวงหากำไร ศูนย์ความเป็นเลิศด้านสาหร่าย (Algal Excellent Center) มีผลงานวิจัย พัฒนา ถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนการให้บริการในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาหร่ายน้ำจืดขนาดเล็กแก่ภาคอุตสาหกรรม วว. ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพและความสำคัญของสาหร่ายขนาดเล็ก ที่มีบทบาทในด้านต่างๆ มากขึ้นตามลำดับ วว. จึงเป็นหน่วยงานแห่งเดียวในประเทศที่มีการดำเนินงานในด้านนี้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การจัดตั้งคลังเก็บรักษาสายพันธุ์สาหร่าย (TISTR Algae Culture Collection, TISTR ACC) ซึ่งในปัจจุบันมีการรวบรวมและเก็บรักษาสายพันธุ์สาหร่ายน้ำจืดขนาดเล็ก (freshwater microalgae) จากแหล่งต่างๆ ทั่วประเทศพร้อมทั้งจัดทำฐานข้อมูล กว่า 1,000 สายพันธุ์ มีห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยง วิเคราะห์ และทดสอบ ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพ (ศคช.) ที่สำคัญและโดดเด่น คือ วว. มีระบบการเพาะเลี้ยงสาหร่ายระดับขยายกลางแจ้งต้นแบบตั้งแต่ขนาด 100-40,000 ลิตร เป็นระบบการเพาะเลี้ยงแบบต่อเนื่องและครบวงจร ปริมาตรรวม 400,000 ลิตร

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2551 ตามพระราชดำริของสำเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งมีความสนพระทัยอย่างยิ่งในวิชาดาราศาสตร์ ท่านทรงพระกรุณารับโครงการดำเนินการของสถาบันฯ เป็นโครงการในพระราชดำริ 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการหอดูดาวแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในศุภมงคลวารเฉลิมพระชนมายุ 80 พรรษา และ 2) โครงการหอดูดาวภูมิภาคเพื่อประชาชน 5 แห่ง ที่จังหวัดนครราชสีมา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดฉะเชิงเทรา ภาคตะวันออก จังหวัดสงขลา ภาคใต้ จังหวัดพิษณุโลก ภาคเหนือ และจังหวัดขอนแก่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภารกิจของสดร.คือ 1.ค้นคว้า วิจัย และพัฒนาด้านดาราศาสตร์ 2.สร้างเครือข่ายการวิจัยและวิชาการด้านดาราศาสตร์ในระดับชาติและนานาชาติกับสถาบัน ต่างๆ ทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ 3.ส่งเสริม สนับสนุน และประสานความร่วมมือด้านดาราศาสตร์กับหน่วยงานอื่นของรัฐ สถาบันการศึกษาอื่นที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ 4.บริการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านดาราศาสตร์

Science & Technology Park (STeP) อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ “STeP” เป็นหน่วยงานวิชาการภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เกิดจากความร่วมมืออย่างเป็นทางการของ 7 คณะ อันประกอบไปด้วย คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และวิทยาลัยศิลปะสื่อและเทคโนโลยี ซึ่งสามารถตอบโจทย์อุตสาหกรรมหลัก ในเชียงใหม่และภาคเหนือ อาทิเช่น เกษตรแปรรูป กระบวนการอาหาร และหัตถอุตสาหกรรม โดยจะมีการขยายขอบเขตข้อตกลงความร่วมมือไปยังคณะอื่นๆ ต่อไปในอนาคต STeP เป็นศูนย์ให้บริการที่มีความพร้อมด้านทรัพยากรทั้งบุคลากร โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้วยกลไกการให้บริการที่หลากหลายในการสนับสนุน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ในการทำงานร่วมกัน เพื่อผลักดันงานวิจัยออกสู่เชิงพาณิชย์ ซึ่งครอบคลุมถึงการทำวิจัยร่วมกับภาคเอกชน การบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี การถ่ายทอดเทคโนโลยี การอนุญาตให้ใช้สิทธิ์เทคโนโลยี การออกแบบนวัตกรรม การให้บริการห้องปฏิบัติการและเครื่องมือปฏิบัติการ การให้บริการ โรงงานต้นแบบเทคโนโลยี รวมทั้งการสร้างโอกาสทางธุรกิจในรูปแบบต่างๆ

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ก่อกำเนิดจากการที่ได้รับพระราชดำริ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2525 ที่พระราชประสงค์ที่จะให้เป็นศูนย์กลางในการศึกษา ทดลอง ที่เหมาะสมกับพื้นที่ภาคเหนือ และเผยแพร่แก่ราษฎรให้สามารถนำไปปฏิบัติได้ด้วยตนเองต่อไป โดยทำการศึกษาพัฒนาป่าไม้ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง คือ ใช้สอย ไม้ผล ไม้เชื้อเพลิง ซึ่งจะอำนวยประโยชน์ในการอนุรักษ์ดินและน้ำตลอดจนความชุ่มชื้นเอาไว้เป็นประโยชน์อย่างที่ 4 และ พื้นที่ต้นน้ำลำธารให้ได้ผลอย่างสมบูรณ์เป็นหลัก โดยต้นทางเป็นการศึกษาสภาพพื้นที่ป่าไม้ต้นน้ำลำธารและ ปลายทางเป็นการศึกษาด้านการประมงตามอ่างเก็บน้ำต่างๆ ผสมกับการศึกษาด้านการเกษตรกรรม ด้านปศุสัตว์และโคนม และด้านเกษตรอุตสาหกรรม เพื่อให้เป็นศูนย์ที่สมบูรณ์แบบ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อราษฎรที่จะเข้ามาศีกษากิจกรรมต่างๆ ในศูนย์ฯ แล้วนำไปใช้ปฏิบัติอย่างได้ผลต่อไป ดังมีพระราชดำริว่า “ให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ ทำหน้าที่เสมือน “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต” หรืออีกนัย หนึ่งเป็น “สรุปผลการพัฒนา” ที่ประชาชนจะเข้าไปเรียนรู้และนำไปปฏิบัติได้”
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2019/ost-sci-review-april2019.pdf

รายงานข่าววิทย์ปริทัศน์ ฉบับที่ 2/62

ข่าววิทย์ปริทัศน์ ฉบับที่ 2 กุมภาพันธ์ 2562

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ดาราศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ได้ชื่อว่ามีความยากในการศึกษา และการพัฒนา เนื่องจากต้องใช้ต้นทุนที่สูงมาก เพราะต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง ที่จะมาช่วยให้เราสามารถสังเกตการณ์ สำรวจ หรือวิเคราะห์ปรากฎการณ์ และเทหวัตถุต่างๆ บนฟากฟ้าได้ การมีสถาบันและบุคลากรด้านดาราศาสตร์เป็นตัวชี้วัดของความก้าวหน้าทางวิทยาการและเศรษฐกิจสังคมของประเทศ การเริ่มต้นเรื่องดาราศาสตร์ของไทย ได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูโดยสถาบันพระมหากษัตริย์ มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ว่าด้วยการทรงศึกษาดาราศาสตร์ด้วยกล้องโทรทรรศน์มาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงสามารถทำนายการเกิดสุริยุปราคาที่หว้ากอ ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2411 จนได้รับการถวายพระสมัญญานามว่า พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย

เนื่องในวาระที่มีการสมโภช 200 ปี แห่งการพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย เมื่อปี 2547 และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระบิดาแห่งเทคโนโลยีไทย ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา ปี 2550 คณะรัฐมนตรี จึงมีมติอนุมัติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการโครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ในรูปแบบองค์การมหาชนขี้น เพื่อเป็นการรองรับนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยวันที่ 1 มกราคม 2522 เป็นวันสถาปนา สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. โดยมีที่ทำการอยู่ ณ อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร ศูนย์ดาราศาสตร์แห่งชาติของประเทศไทย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

Ultima Thule วัตถุที่ไกลที่สุดที่เคยมียานสำรวจใดไปถึง

ยานสำรวจอวกาศ New Horizons ได้นำภาพที่ได้จาก Ultima Thule ซึ่งเป็นวัตถุพ้นดาวเนปจูน (Trans Neptunian Object) ที่อยู่ห่างไปถึง 6 พันล้ากิโลเมตร นับเป็นวัตถุห่างไกลจากโลกมากที่สุดเท่าที่เคยมียานสำรวจใดๆ ของมนุษย์โฉบผ่าน ยานสำรวจอวกาศ New Horizons เป็นยานสำรวจอวกาศที่ถูกปล่อยออกไปเมื่อปี 2006 และในวันที่ 14 กรกฎาคม 2015 ได้เป็นยานสำรวจแรกที่โฉบผ่านและนำภาพถ่ายพื้นผิวที่แท้จริงของดาวพลูโตมาให้ได้ดูกันเป็นครั้งแรก หลังจากที่ยาน New Horizons ได้บรรลุภารกิจในการโฉบผ่านดาวพลูโต ทีมงานได้พยายามมองหาวัตถุ Trans-Neptunian วัตถุอื่นที่จะทำการศึกษาต่อไป ภายหลังจากที่ยาน New Horizons ได้ทำการศึกษาและมีความเข้าใจเกี่ยวกับดาว (486958) 2014 MU69 การตั้งขื่ออย่างเป็นทางการจึงจะเกิดขึ้น ตามมาตรฐานของ IAU หลังจากที่ได้ถูกรับเลือกเป็นวัตถุเป้าหมายของยาน New Horizons ทีมงานจึงได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เสนอชื่อที่จะนำมาใช้เป็นชื่อเล่นชั่วคราวของดาวดวงนี้ จนในที่สุดชื่อที่ได้รับความนิยมที่สุดคือ Ultima Thule คำว่า Ultima Thule มาจากภาษาละติน มีความหมายว่า ขอบเขตของโลกที่เรารู้จัก ซึ่งสำหรับวัตถุ Trans – Neptunian เป็นวัตถุที่ไกลจากโลกที่สุดเท่าที่ยานสำรวจใดๆเคยไปเยือน ยานสำรวจอวกาศ New Horizons ได้ทำการโฉบผ่านดาว Ultima Thule ด้วยระยะห่างเพียง 3,500 กม. ตรงกับเวลา 12.33 น. วันที่ 1 มกราคม 2019 ตามเวลาประเทศไทย และได้ทำการบันทึกภาพของ ขอบเขตของระบบสุริยะที่เรารู้จัก เอาไว้เป็นครั้งแรก ในเบื้องต้นนั้น ภาพคร่าวๆ เผยให้เห็นว่า ดาวดวงนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับพินโบว์ลิ่ง มีการหมุนรอบตัวเองและมีขนาดประมาณ 32 คูณ 16 กม. Ultima Thule เป็นวัตถุประเภท Contact Binary หรือ ดาวคู่แบบแตะกัน ซึ่งประกอบจากวัตถุทรงกลมสองวัตถุที่ชนกันจะหลอมติดกันจนมีรูปร่างอันแปลกประหลาด วัตถุนี้มีความยาวรวมกันประมาณ 31 กม. โดยนักดาราศาสตร์ตั้งชื่ออย่างไม่เป็นทางการสำหรับก้อนทรงกลมใหญ่ว่า Ultima โดยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 19 กม. และทรงกลมเล็กว่า Thule มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 14 กม.

ดาวเคราะห์แห่งดาวบาร์นาร์ด (Bernard’s Star) โลกใบใหม่ที่ไกลออกไป 4.3 ปีแสง ในจักรวาลของดาวฤกษ์ที่ชื่อว่าเบอร์นาด (Burnard’s Star) นักดาราศาสตร์ได้ส่องดูดาวเคราะห์ดวงใหม่ พบว่า ในกลุ่มดาวนี้ มีซุปเปอร์เอิร์ธที่มีมวลอย่างน้อย 3.2 เท่าของโลกโคจรรอบใกล้กับแนวเหมายันต์ (ระยะทางขั้นต่ำจากดาวฤกษ์ นอกเหนือจากระบบอัลฟาเซ็นทอรี) ซึ่งประกอบด้วยสามดาวและอยู่ห่างจากเราประมาณ 4.3 ปีแสง ดาวบาร์นาร์ดเป็นดาวที่อยู่ใกล้ที่สุดถัดไปเมื่ออยู่ห่างออกไป 6 ปีแสง ดาวฤกษ์บาร์นาร์ดมีการเคลื่อนที่ที่เร็วมาก ประมาณ 500,000 กม./ขม. ดาวเคราะห์ที่ถูกขนานนามว่าเป็นดาว b ของ Barnard เชื่อกันว่ามีอยู่ประมาณ 0.4 หน่วยทางดาราศาสตร์หรือ 37 ล้านไมล์จากดาว Barnard ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ดวงใหม่นี้โคจรรอบดาวฤกษ์และหมุนรอบตัวเองทุก 233 วัน การวิเคราะห์ดาวต่างๆ บนท้องฟ้า ต้องอาศัยอุปกรณ์ในลักษณะของเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์เช่น กล้องโทรทรรศน์ที่ Telecopio Nazionale Galieo หรือ Lick Observatory และ CARMENES ที่ Calar Alto Observatory ของสเปน กล้องโทรทรรศน์ 90 ซม. ที่หอดูดาวเซียร่าเนวาดา สหรัฐอเมริกา กล้องโทรทรรศน์หุ่นหยนต์ 40 ซม.ที่หอดูดาว SPACEOBS กลางทะเลทรายอตากามา ในชิลีและอุปกรณ์อื่นๆ มากมายที่ถ่ายภาพและบันทึกดางดาวอันไกลโพ้น การตรวจสอบ และการติดตามความเคลื่อนที่ของระบบจักรวาลของดาวบาร์นาร์ด จะดำเนินต่อไป ภายใต้โครงการที่ชื่อว่า Red Dots Hubble Fellow ที่ Carnegie Institute for Science ได้บันทีกไว้ว่า การศึกษาครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการทำงานร่วมกันและประสานงานในหลายๆทีม ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยประสบความสำเร็จมาก่อนในการวิจัยดาวเคราะห์นอกระบบ (Exoplanet) ซึ่งยากที่จะสังเกตได้ด้วยวิธีทั่วไป

นักดาราศาสตร์มองเห็นดาวฤกษ์ที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งเป็นดาวแคระแดงอายุ 13.5 พันล้านปี อยู่ในดาราจักรทางช้างเผือก หนึ่งในดาวที่เก่าแก่ที่สุดในจักรวาลซ่อนตัวอย่างเงียบๆ ในทางช้างเผือกประมาณ 2,000 ปีแสงจากโลก จากการศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Astrophysical Journal ของ Jake Park ดาวแคระแดง จัดเป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงสว่างในตัวเอง มีอายุ 13,500 ล้านปี ไม่พบร่องรอยว่ามันก่อตัวขึ้นจากเมฆที่ยังเหลืออยู่หลังจาก Big Bang เนื่องจากดาวฤกษ์ขนาดเล็กนั้นมีมวลเพียงหนึ่งในเจ็ดของมวลดวงอาทิตย์ และมีธาตุหนักและสสารดั้งเดิม จนทำให้เชื่อได้ว่า ดาวนี้เป็นประชากรดาวดวงแรกของดาราจักร ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) ดวงอาทิตย์น่าจะสืบเชื้อสายมาจากดาวมวลสูงอายุสั้นหลายพันดวงที่มีชีวิตและตายไปตั้งแต่ Big Bang อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สนใจที่สุดเกี่ยวกับดาวฤกษ์นี้ก็คือบางทีมันอาจมีบรรพบุรุษเพียงดวงเดียวที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งที่ยังเหลืออยู่ในดาราจักรช้างทางเผือกของเรา

Exoplanet ดาวเคราะห์นอกระบบ ดาวเคราะห์นอกระบบ (extrasolar planet หรือ exoplanet) หรือ ดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่นที่ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะจักรวาล ดาวเคราะห์เหล่านี้ เป็นดาวที่ไม่มีแสงในตัวเอง ดาวเคราะห์นอกระบบส่วนใหญ่เป็นดาวเคราะห์แก๊สยักษ์คล้ายกับดาวพฤหัสบดี แต่เทคโนโลยีดาราศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นมีแนวโน้มจะทำให้พบดาวเคราะห์นอกระบบขนาดเล็กลง หรือพวกดาวดิน ดาวหิน ดาวเคราะห์นอกระบบเริ่มเป็นประเด็นสำหรับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์เชือว่าดาวเคราะห์นอกระบบมีอยู่จริง เมื่อถึงปี 2000 มีการตรวจพบเพิ่มขึ้นทุกปีมากว่าปีละ 15 ดวง ประมาณการว่า อย่างน้อย 10% ของดวงดาวที่มีลักษระคล้ายดวงอาทิตย์จะต้องมีดาวเคราะห์บริวาร การค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบทำให้เกิดคำถามขึ้นอีกว่า จะมีบางดวงที่เอื้อต่อสิ่งมีชีวิตหรือไม่ ก็คือหาดาวที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับโลกมนุษย์ ที่มีความสมดุลของธรณีภาค (geosphere) อุทกภาค (hydrosphere) และ บรรยากาศ (atmosphere) จนก่อให้เกิดชีวภาค (biosphere) ขึ้นมา ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดได้ยากมากในจักรวาล สหพันธ์ดาราศาสตร์สากลได้นิยาม ดาวเคราะห์ ไว้ว่า ดาวเคราะห์ต้องโคจรรอบดาวฤกษ์ แต่ในปัจจุบันคำนิยามนี้จะใช้สำหรับดาวเคราะห์ภายในระบบสุริยะเท่านั้น มิได้ใช้นิยามนี้กับดาวเคราะห์นอกระบบสำหรับคำนิยามของดาวเคราะห์นอกระบบ ที่ใช้งานจริง โดยมีคำจำกัดความดังต่อไปนี้ วัตถุที่มีมวลแท้จริงต่ำกว่าขีดจำกัดมวลอันทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นของดิวเทอเรียม (ในปัจจุบันคำนวณได้ประมาณ 13 เท่า ของมวลดาวพฤหัสบดีสำหรับวัตถุที่ประกอบด้วยโลหะ) ที่โคจรรอบดาวฤกษ์หรือซากของดาวฤกษ์ ถือว่าเป็น ดาวเคราะห์ (ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากอะไร) สำหรับขนาดหรือมวลต่ำสุดสำหรับวัตถุนอกระบบสุริยะในการพิจารณาถึงการเป็นดาวเคราะห์ให้ใช้หลักการเช่นเดียวกับที่ใช้ในระบบสุริยะ ปัจจุบัน มีคำถามที่ยังตอบไม่ได้จำนวนมากเกี่ยวกับคุณสมบัติของดาวเคราะห์นอกระบบ อย่างเช่น รายละเอียดขององค์ประกอบของดาว และโอกาสที่ดาวเหล่านี้จะมีดวงจันทร์ของตัวเอง ในปัจจุบันพบว่าดาวเคราะห์นอกระบบจำนวนมากไม่มีน้ำซึ่งแสดงว่ายังคงต้องมีการศึกษาสมบัติของดาวเคราะห์นอกระบบเพิ่มเติม อีกคำถามหนึ่งคือมีสิ่งมีชีวิตในดาวเคราะห์นอกระบบหรือไม่ ดาวเคราะห์หลายๆ ดวงมีวงโคจรอยู่ในระยะที่สามารถมีสิ่งมีชีวิตได้ ซึ่งมีโอกาสที่เงื่อนไขหลายประการทำให้ดาวเคราะห์เหล่านั้นเป็นดาวเคราะห์คล้ายโลก แต่ดาวเคราะห์ที่พบได้เหล่านี้ ส่วนมากเป็นดาวเคราะห์ยักษ์คล้ายดาวพฤหัสบดีมากกว่า ถ้าดาวเคราะห์เหล่านี้มีดวงจันทร์ขนาดใหญ่ เป็นไปได้ว่าดวงจันทร์เหล่านั้นจะสามารถเป็นแหล่งกำเนิดสิ่งมีชีวิตได้ การตรวจหาสิ่งมีชีวิตบนดาวที่อยู่ห่างไกล (ยังไม่นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมหรือไม่) เป็นสิ่งที่น่าท้าทายอย่างยิ่ง แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ แม้ว่าการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้มาก็ตาม ดาวแท้ๆ ชื่อไทยๆ วัตถุบนฟากฟ้าชิ้นแรกที่คนไทยรู้จักในชื่อภาษาไทย น่าจะเป็น ไทยคม ซึ่งเป็นชุดดาวเทียมสื่อสารของไทย ที่ได้มีการยิงดวงแรกไปเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2536 และปัจจุบันมี 8 ดวงแล้ว ปัจจุบันอำนาจการดูแลสัญญาโอนไปที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ ไม่มีคำภาษาไทยได้รับการรับรองในศัพท์สากลในการเรียกชื่อดาว กระทั่งเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2558 สหพันธ์ดาราศาสตร์สากลได้ประกาศผลการคัดเลือกชื่อสามัญโลกต่างระบบ 20 แห่ง ที่แต่ละชาติเรียกต่างๆ กัน เช่น ไทยเรียก ดาวจระเข้ ลาวเรียก ดาวหัวช้าง อังกฤษเรียก ดาวคันไถ (Plow) โดยให้ชื่อดาวดวงนี้ว่า แชลาแวน (Chalawan) หรือออกให้ถูกในสำเนียงเจ้าของภาษาก็คือ ดาวชาละวัน นั่นเอง ชาละวัน เป็นดาวฤกษ์ดวงแรกบนท้องฟ้าที่มีชื่อสามัญสากลเป็นชื่อไทย ที่มาก็คือ สหพันธ์ดาราศาสตร์สากล หรือ IAU ซึ่งเป็นองค์กรสากลที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำหนดชื่อและนิยามต่างๆ ในทางดาราศาสตร์ ได้ดำเนินโครงการตั้งชื่อดาวเคราะห์นอกระบบ (NameExoWorlds) เป้าหมายที่จะตั้งชื่อสามัญให้แก่ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่นจำนวน 20 ระบบ บางระบบที่ดาวฤกษ์เองยังไม่มีชื่อสามัญก็ให้ตั้งชื่อสามัญให้ดาวฤกษ์นั้นด้วย สมาคมดาราศาสตร์ไทยได้จัดประกวดและคัดเลือกชื่อ ตะเภาแก้ว ซึ่งเสนอโดย ด.ญ.ศกลวรรณ ตระการรังสี ส่วนชื่อ ชาละวัน เสนอโดย นายสุภาภัทร อุดมรัตน์นุภาพ คณะทำงานจึงได้เพิ่มชื่อ ตะเภาทอง เข้าไปอีกชื่อเพื่อนำไปตั้งให้แก่ระบบสุริยะของดาว 47 หมีใหญ่ การสถาปนาชื่อไทยให้โลกต่างระบบครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย

19 ก.พ. คืนมาฆบูชาชวนจับตา “ซูเปอร์ฟูลมูน”

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) เผยคืนมาฆบูชา 19 กุมภาพันธ์ 2562 ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกที่สุดในรอบปี 2562 หรือ ซูเปอร์ฟูลมูน ดวงจันทร์เต็มดวงจะมีขนาดปรากฏใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย คืนวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562 ตรงกับวันมาฆบูชา ดวงจันทร์เต็มดวงจะปรากฎในตำแหน่งใกล้โลกที่สุดในรอบปี หรือ ซูเปอร์ฟูลมูน (Super Full Moon) ที่ระยะห่างประมาณ 356,836 กิโลเมตร เปรียบเทียบดวงจันทร์เต็มดวงช่วงเวลาปกติจะมีขนาดใหญ่กว่า 7% และสว่างกว่า 16% สังเกต ได้ด้วยตาเปล่าทางทิศตะวันออก ตั้งแต่เวลา 18.11 น. เป็นต้นไป ผู้สนใจรอชมและเก็บภาพความสวยงามของดวงจันทร์ได้ในคืนดังกล่าว ดวงจันทร์โคจรรอบโลกเป็นรูปวงรี 1 รอบใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน ดังนั้น แต่ละเดือนจะมีตำแหน่งที่ดวงจันทร์ใกล้โลกที่สุดเรียกว่า เปริจี (Perigee) มีระยะทางเฉลี่ยประมาณ 356,400 กิโลเมตรและตำแหน่งที่ไกลโลกที่สุดเรียกว่าอะโปจี (Apogee) มีระยะทางเฉลี่ยประมาณ 406,700 กิโลเมตร ปรากฏการณ์ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลก มีผลทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลงมากว่าปกติเล็กน้อย ไม่มีผลกระทบอื่นใดต่อโลก นอกจากนี้ การที่ผู้คนบนโลกสามารถมองเห็นดวงจันทร์เต็มดวงที่โตกว่าปกติเล็กน้อยในคืนที่ดวงจันทร์โคจรเข้ามาใกล้โลก นับเป็นเหตุการณ์ปกติที่อธิบายได้ตามหลัการทางวิทยาศาสตร์ แม้วว่าดวงจันทร์จะโคจรเข้าใกล้โลกทุกเดือน แต่อาจไม่ปรากฏเต็มดวงทุกครั้ง สำหรับ ดวงจันทร์เต็มดวงและใกล้โลกที่สุดในรอบปี ครั้งต่อไปตรงกับวันที่ 8 เมษายน 2563 ห่างประมาณ 357,022 กิโลเมตร

 

 ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2019/ost-sci-review-feb2019.pdf

 

 

 

 

 

รายงานข่าววิทย์ปริทัศน์ ฉบับที่1/62

ข่าววิทย์ปริทัศน์ ฉบับที่ 1 มกราคม 2562

เมื่อ Science หาใช่เพียง…วิทยาศาสตร์ เมื่อ Art หาใช่เพียง…ศิลปะ

การจัดตั้งกระทรวงใหม่ของประเทศไทย ในชื่อของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดยกระทรวงดังกล่าวมีหลักคือ 1) สร้างกลไกระดับกระทรวงที่สามารถตอบโจทย์ นโยบายประเทศไทย 4.0 ได้สำเร็จ 2) ไม่มีการเพิ่มกระทรวง และไม่เพิ่มความซ้ำซ้อนของการบริหารราชการ 3) ให้การศึกษาระดับอุดมศึกษาสามารถเป็นต้นน้ำ ไปสู่การวิจัยพัฒนานวัตกรรมให้กับประเทศ ทั้งในด้านการคิดค้น บุคลากร และโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยเหตุนี้ กระทรวงใหม่ไม่ได้เป็นการสร้างกระทรวงใหม่เพื่อให้มีตำแหน่งรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หรืออธิบดี เพิ่มขึ้น แต่เป็นแนวทางที่อยากหน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่ด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษา หรืออดีตทบวงมหาวิทยาลัยที่ถูกรวมกับกระทรวงศีกษาธิการปี 2545 ในฐานะสำนักคณะรรมการอุดมศึกษาแห่งชาติ (สกอ.) ย้ายมารวมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และตั้งเป็นกระทรวงใหม่ ที่ดูงานวิจัย และนวัตกรรม ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เพราะมหาวิทยาลัยจำนวนมากเป็นแหล่งศึกษาและคิดค้นวิทยาการมากมาย ในขณะที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นแหล่งสรรพกำลังบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีจำนวนมากก็ขาดฐานที่ดีจะนำมาต่อยอด เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม การวิจัย และพัฒนานวัตกรรมของหน่วยงานในสังกัดของ วท.หลายองค์กร เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย (วว.) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) ศูนย์ความเป็นเลิศทางชีววิทยาศาสตร์ (ศลช.) ในมิติของการพัฒนาทีมวิจัยร่วมกัน นำผลการวิจัยไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ หรือแม้กระทั่งการที่ วท. สนับสนุนการจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ให้อยู่ใต้ความดูแลของมหาวิทยาลัยต่างๆ เมื่อกลุ่มองค์การภาควิจัยและพัฒนาของ วท. สามารถทำงานร่วมกับกลุ่ม มหาวิทยาลัย ภายในร่มเงากระทรวงเดียวกันอะไรๆ น่าจะง่ายขึ้น ประเด็นถัดมาสาขาที่เป็นสายศิลป์จะทำอย่างไร คณะสายสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ การหาคำอธิบายต่างๆ กลไกมารองรับเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะวิธีวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เคมี ชีวะ ฟิกส์กับวิจัยทางสังคมศาสตร์ เช่น รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ มนุษยศาสตร์ อาทิ ประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ดุริยางคศาสตร์ ดังนั้น ทางออกชั้นแรกที่ต้องคิดคือ ทำใจให้กว้างสำหรับผู้ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องในการบริหารกระทรวงขวดใหม่ใส่เหล้าคอดเทลผสม ก็คือ คำว่า Science แท้จริง แปลว่าศาสตร์ คำว่าศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นวิทย์ สังคม มนุษย์ ย่อมอาศัยพื้นฐานความเข้าใจ วิธีวิจัย การใช้ตรรก การสุ่มตัวอย่าง การใช้หลักการของการสืบหาเหตุผล และข้อเท็จจริงมาพิสูจน์ ศาสตร์ไม่ว่าสาขาใด ย่อมนำไปสู่ผลการวิเคราะห์วิจัย และอาจนำไปสู่นวัตกรรม การนำผลการวิจัยไปเพิ่มมูลค่าทางการตลาด ย่อมเกี่ยวข้องกับทั้งวิทย์และศิลป์ ดังนั้น Art กลับสอดแทรกไปในวิทยาศาสตร์ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงการเจรจา ดังนั้น นักธุรกิจนวัตกรรมรุ่นใหม่ ที่เรียกว่า Start-up จึงต้องเป็นผู้มีองค์รวมของการใช้วิทยายุทธ ทั้งศาสตร์และศิลป์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ความหมายของคำว่า วิทยาศาสตร์ กับคำว่า ศิลปะ หรือ ศาสตร์ กับ ศิลป์ จึงมีความหมายแบบไม่สามารถแยกออกจากกันเป็นสองฝั่งชัดเจน บุคลากรไทยยุค 4.0 จึงมีความจำเป็นต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ในตัว ดังนั้น การก่อตั้งกระทรวงใหม่ที่ชื่อว่ากระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม พิสูจน์ได้ด้วยวิธี STEAM (Science, Technology, Engineering, Art, and Mathematics) กรอบแนวคิดใหม่ STEM นั่นเอง

 

วิทยาศาสตร์ช่วยสร้างองค์ความรู้ทางโบราณคดีเพื่อใช้ในงานพิพิธภัณฑ์ได้อย่างไร?

วิทยาการทางด้านวิทยาศาสตร์ พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์ต่างๆ และเครื่องมือหลายประเภทสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อวิเคราะห์โบราณวัตถุได้เช่นกัน เช่น การศึกษาร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตันและบริติชมิวเซียม เพื่อศึกษาโบราณวัตถุยุคโรมันด้วยเครื่องมือเอกซเรย์ พร้อมทั้งถ่ายภาพแบบ 360 องศา เพื่อนำไปประกอบให้เป็นภาพถ่ายแบบ 3 มิติ นอกจากนี้ ยังประยุกต์ใช้เทคนิค CT scan เพื่อสแกนดูภายในโบราณวัตถุได้เช่น การศึกษาภาชนะสำริดของชาวไวกิ้ง ประเทศสก๊อตแลนด์ ผลจากการสแกนพบว่าภายในบรรจุวัตถุจำนวน 20 ชิ้น เช่น เข็มกลัดเงิน ทองคำแท่ง ลูกปัดงาช้างเคลือบทอง ซึ่งวัตถุทั้งหมดถูกหุ้มไว้ด้วยหนังสัตว์ ในประเทศไทยมีการนำเทคนิคการเอกซเรย์มาวิเคราะห์การศึกษาเครื่องเขินซึ่งจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยเทคนิคการถ่ายภาพด้วยรังสีเอกซ์ (X-ray radiography) เพื่อศึกษาโครงสร้างของเครื่องเขิน และใช้วิธี Microscopic analysis เพื่อศึกษาจำนวนชั้นที่ลงรักและวัสดุที่ใช้ผสมในเนื้อรักของเครื่องเขินโบราณ นอกจากนี้ยังนำเทคนิควิเคราะห์ด้วยวิธีการเอกซเรย์ และถ่ายภาพด้วยรังสีแกมมา มาใช้วิเคราะห์ส่วนผสมของโลหะ และเทคนิคการหล่อพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ศิลปะศรีวิชัย สมัยพุทธศตวรรษที่ 14 นอกจากศึกษาภูมิปัญญาของช่างโบราณแล้วยังมีประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ในอนาคต

เรื่องเล่าจากขอบหลุม (ขุดค้น)

โบราณคดีเกี่ยวข้องกับศาสตร์อื่นๆ อย่างไรบ้าง วิชาโบราณคดีต้องอาศัยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ เริ่มจากการขุดค้น โดยอาศัยการใช้ข้อมูลระยะไกล (Remote Sensing) โดยการเอาแผนที่ ภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม นักโบราณคดีจะต้องลงพื้นที่สำรวจตรวจสอบร่องรอยที่พบจากการใช้ข้อมูลระยะไกลและไปพูดคุยสอบถามคนในท้องถิ่น ถ้าพบจะต้องระบุตำแหน่งที่พบโดยการใช้ GPS ถ้าพบหลายๆ แหล่งอาจใช้โปรแกรมด้านสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ช่วยเวลาเอาข้อมูลไปใส่ในคอมพิวเตอร์ เพราะสามารถมองเห็นการกระจายตัวของแหล่งโบราณคดีได้ง่าย ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลสะดวกมากขึ้น สำหรับการขุดค้น จะเลือกเนินดินสูงกว่าพื้นที่โดยรอบ ผิวดินมีหลักฐานโบราณคดีกระจายอยู่ เช่น เศษหม้อดินเผา แนวอิฐโบราณ ชิ้นส่วนกระเบื้องดินเผา กระดูกคน กระดูกสัตว์ ฯลฯ ในกรณีที่ขุดแล้วกลับไม่ค่อยพบโบราณวัตถุเราอาจจะใช้เครื่องสำรวจหยั่งลึกด้วยสัญญาณเรดาร์ (Ground Penetrating Radar หรือเรียกสั้นๆ ว่า GPR) เครื่องนี้สามารถส่งคลื่นทะลุลงไปใต้ดิน แล้วส่งสิ่งที่ตรวจวัดได้เป็นกราฟขยุกขยิกมาให้แปลความอีกทีหนึ่ง เมื่อตกลงกันได้แล้วว่าจะขุดตรงไหน นักศึกษาปี 2 จะวางผังหลุมขุดค้น โดยใช้เครื่องมือแบบช่างรังวัดช่วยในการวางผังคลุมให้ทั่วบริเวณที่จะขุด และทำผังบริเวณรอบๆที่ขุดค้นด้วย จะต้องส่งสัญญาณให้ขยับไม้สตาฟ ลากสายเทปวัดระยะยาวๆ แล้วตอกหมุดลงพื้น เสร็จแล้วขึงเชือกให้เป็นช่องตารางไว้ทั่วบริเวณ พวกเรานิยมใช้เชือกสีขาวแบบเชือกห่อพัสดุ ที่ขึงไว้เพื่อความสะดวกในการกำหนดขอบเขตของหลุมขุดค้น ส่วนขุดแล้วจะพบอะไรบ้างเป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้ เพราะการแปลความที่ได้จากการใช้เครื่อง GPR บอกได้เพียงว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ใต้ดินตรงนั้น หากขุดขึ้นมาแล้วพบโครงกระดูกของคนโบราณ นักศึกษาปี 3 ต้องใช้ความรู้วิชาการวิภาค (anatomy) บอกให้ได้ว่าเป็นโครงกระดูกผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นเด็กหรือแก่แล้ว และก็อาจจะเก็บขึ้นไปศึกษาในรายละเอียดต่อไปว่าเขาหรือเธอคนนั้นจากโลกนี้ไปด้วยสาเหตุอะไร และหากโชคดีพบโครงกระดูกที่อยู่นาภาพดี ไม่ผุจนเกินไป อาจเก็บตัวอย่างส่งไปวิเคราะห์ดีเอ็นเอ ก็จะได้ความรู้เกี่ยวกับประชากรยุคโบราณเพิ่มขึ้น นอกจากนี้มักจะขุดพบเครื่องใช้และเครื่องประดับที่ทำจากวัสดุต่างๆ ตลอดจนเมล็ดพืชแลโครงกระดูกสัตว์ฝังร่วมกับโครงกระดูกมนุษย์ด้วย สันนิษฐานว่าหลักฐานเหล่านี้เป็นของอุทิศให้กับคนตาย ไม่เพียงแต่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมความตายสิ่งของที่พบอาจบ่งบอกถึงสถานภาพทางสังคมของผู้ตาย อาจบอกถึงการติดต่อกับชุมชนอื่น และสภาพแวดล้อมในยุคนั้นได้อีกด้วย เช่น หลุมฝังศพยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายที่เต็มไปด้วยของอุทิศจำนวนมาก ที่โครงกระดูกสวมเครื่องประดับทำจากหินกึ่งอัญมณีและโลหะหลายชิ้น อาจแสดงให้เห็นว่าเป็นโครงกระดูกของบุคคลที่เคยมีสถานภาพสูงในชุมชนนั้น นอกจากนี้เมื่อนำเครื่องใช้และเครื่องประดับบางชิ้นไปวิเคราะห์หาองค์ประกอบเหมือนกับองค์ประกอบของเครื่องใช้หรือเครื่องประดับชนิดเดียวกันที่พบจากแหล่งโบราณคดีอื่นที่อยู่ไกลออกไป แสดงให้เห็นว่าคนในแหล่งโบราณคดีมีการติดต่อแลกเปลี่ยนกับชุมชนอื่น ซึ่งอาจเป็นการวิเคราะห์องค์ประกอบทางกายภาพ เช่น การใช้วิธีทางศิลาวรรณา (Petrographic Analysis) ศึกษาองค์ประกอบของเครื่องมือหินหรือภาชนะดินเผา หรือการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของลูกปัดแก้วโดยการใช้ X-Ray Fluorescence (XRF) หรือ Laser Ablation-ICP-MS นอกจากการพยายามสร้างภาพสันนิษฐานของสภาพแวดล้อมในอดีตจากพืชหรือสัตว์ที่พบแล้ว ยังมีงานโบราณคดีที่เน้นศึกษาภูมิประเทศในบริเวณที่พบว่ามีการตั้งถิ่นฐานในสมัยโบราณ เช่น การศึกษาว่าเมืองโบราณแห่งนี้เคยตั้งอยู่บนแนวชายฝั่งทะเลโบราณหรือไม่ นักโบราณคดีต้องค้นคว้าจากภาพถ่ายทางอากาศหรือภาพถ่ายดาวเทียมมาแปลความด้านสภาพภูมิประเทศโบราณก่อนสำรวจในพื้นที่จริง แล้ววางแนวเจาะเอาตัวอย่างตะกอนไปศึกษา ซึ่งต้องอาศัยความรู้ด้านธรณีวิทยากับโบราณคดีมาใช้คู่กันกับการกำหนดอายุของตะกอนด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ เช่น การใช้วิธีเรืองแสงความร้อน (Thermoluminescence Dating) ส่วนการกำหนดอายุจากอินทรียวัตถุก็นิยมใช้การหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี (Radiocarbon Dating) หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่าวิธีหาอายุโดยการใช้คาร์บอน 14 ซึ่งเป็นวิธีที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในการกำหนดอายุของแหล่งโบราณคดีด้วย

 

 

 ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2019/ost-sci-review-jan2019.pdf

 

 

 

 

 

 

 

 

การอนุญาตแบบเปิด (open licences) ลิขสิทธิ์ (copyright) และสมบัติสาธารณะ (public domain) คืออะไร

– การอนุญาตแบบเปิดคืออะไร
สามารถร่วมมือ พัฒนา เข้าถึง และแรงบันดาลใจ งานที่ได้รับการสร้างสรรค์โดยไม่ต้องยกเลิกการคุ้มครองโดยลิขสิทธิ์ที่ได้มาโดยอัตโนมัติสำหรับงานนั้น
ทำให้ยังคงเป็นเจ้าของงานนั้นในขณะที่อนุญาตให้บุคคลอื่น ใช้ แบ่งปัน และเรียบเรียงใหม่ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของงาน

– ลิขสิทธิ์คืออะไร
เมื่อไรก็ตามที่สร้างสรรค์งานใหม่ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเพลงหรือเรื่องราวใหม่ รูปภาพ สไลด์ จะได้รับการคุ้มครองโดยลิขสิทธิ์โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องทำอะไรเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ และตั้งใจจะคุ้มครองงานนั้นจากการนำไปใช้ที่เจ้าของไม่ต้องการโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของก่อน
ถ้าต้องการให้งานที่ได้รับการสร้างสรรค์ได้แบ่งปันอย่างฟรี โดยไม่ต้องขออนุญาตก่อน ต้องให้งานนั้นอยู่ภายใต้สมบัติสาธารณะหรือให้การอนุญาตแบบเปิด

– สมบัติสาธารณะคืออะไร
สิ่งที่อยู่ภายใต้สมบัติสาธารณะไม่คุ้มครองโดยกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งได้แก่ ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า หรือ กฎหมายสิทธิบัตร ไม่มีใครสามารถเรียกร้องสิทธิกับสิ่งนั้น และสิ่งนั้นสามารถใช้โดยใครก็ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของก่อน
ข้างล่างเป็น 4 หนทางที่จัดเป็นสมบัติสาธารณะ ได้แก่
1. การคุ้มครองโดยลิขสิทธิ์หมดอายุ
2. เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่สามารถต่อการคุ้มครองโดยลิขสิทธิ์ได้
3. งานอยู่ภายใต้สมบัติสาธารณะ
4. กฎหมายลิขสิทธิ์ไม่คุ้มครองงานต่อไปนี้ เช่น วลีสั้นๆ ข้อเท็จจริงและทฤษฎี และงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา

ที่มา: BCcampus (OpenEd). What are Creative Commons and Open Licences?. Retrieved September 30, 2019, from https://open.bccampus.ca/what-is-open-education/what-are-creative-commons-and-open-licences/

6 Big Research Ideas โดย the U.S. National Science Foundation (NSF)

The National Science Foundation (NSF) ได้ประกาศ 6 research ideas ใน 10 Big Ideas
(4 ideas คือ process ideas) เพื่อนำทางการวิจัยและลงทุนระยะยาว

NSF และหน่วยงานที่ขอรับทุน โดย NSF ได้อธิบายแนวคิด Big Ideas ว่าเปรียบเสมือนตัวกระตุ้นความท้าทายในการวิจัย ที่เป็นงานวิจัยใหญ่ สร้างสรรค์ใหม่ และมีพันธสัญญาระยะยาว นอกจากนี้ Big Ideas จะดึงดูดการมีส่วนร่วมเชิงสร้างสรรค์จากนักวิจัยจำนวนมาก ข้ามพรมแดนวิทยาศาสตร์ และนำไปสู่ผลกระทบทางวิทยาศาสตร์และสังคมที่ส่งประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมาก Big Ideas ต้องมีวิธีการดำเนินการที่ไม่ซ้ำใคร และมีนักวิจัยร่วมทีมวิจัยจากหลากหลายสาขาวิชา รวมถึงความร่วมมือจากอุตสาหกรรม เอกชน หน่วยงานวิทยาศาสตร์ สังคม และ มหาวิทยาลัย (Henry, 2018) 

จากไอเดีย “The U.S. National Science Foundation’s 6 big research ideas,” 2019 ดังกล่าว Elsevier ใช้ข้อมูลวิจัยจากฐาน Scopus ตั้งแต่ปี 2011 ถึง 2016 และเครื่องมือ SciVal ที่วิเคราะห์สถานภาพงานวิจัยปัจจุบันของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแบ่งข้อมูลตามภูมิศาสตร์ เช่น รัฐ หรือ สถาบัน
เป็นต้น จำนวนบทความ
/งานวิจัย และผลงานที่อยู่อันดับสูงสุด (วัดจากหลายมิติ เช่น ผู้แต่ง (บุคคลและหน่วยงาน) ที่มีผลงานตีพิมพ์มากที่สุด หรือ บทความที่ได้รับการอ้างอิงมากที่สุดในสาขาวิจัยนั้นๆ หรือค่า FWCI สูงสุด เป็นต้น) (National Science Foundation [NSF], n.d.)

6 Big Research Ideas ได้แก่

Future of Work at the Human-Technology Frontier มีทั้งหมด 4 ธีม คือ Building the human-technology partnership Augmenting human performance Illuminating the socio-technological landscape และ Fostering lifelong learning คำค้นและผลสืบค้นดังรูปภาพที่ 1

รูปภาพที่ 1 ผลการค้นคืนคำค้เกี่ยวกับ Human-Technology

Harnessing data งานวิจัยที่เกี่ยวกับ data science และวิศวกรรม หากสืบค้นด้วยคำค้น Data science research, research data infrastructure, cyberinfrastructure (คำนี้ NSF นำมาใช้เพื่อกล่าวถึง information storage system, technology repositories), data-capable workforce, mathematics, statistics, computational science, data modeling, simulation and visualization พบว่า University of Illinois at Urbana-Champaign มีผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสูงสุด (57) ลองลงมาคือ Indiana University (53)

Navigating the new Arctic สืบค้นด้วยคำค้น Arctic, narwhal, Arctic fox, Arctic hare พบว่า University of Alaska Fairbanks มีผลงานทั้งหมด 663 บทความ จำนวนอ้างอิงรวม 7,347 ครั้ง

Quantum leap สืบค้นด้วยคำค้น quantum mechanics, lasers, transistors, superposition, entanglement, precision sensors, quantum states พบว่า University of Pittsburgh
เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เป็นผู้นำงานวิจัยด้านนี้ โดยมีมีค่า FWCI สูงถึง 97

Understanding the rules of life คำสำคัญที่ใช้ และผลการสืบค้นดังรูปภาพที่ 2

รูปภาพที่ 2 ผลการค้นคืนคำค้เกี่ยวกับ Rules of Life

Windows on the universe สืบค้นด้วยคำค้น Multi-messenger astrophysics, cosmic rays, quantum and gravitational fields, stars, black holes, neutron stars พบว่า NASA มีผลงานตีพิมพ์มากที่สุดคือ 222 บทความ และทำวิจัยร่วมกับ University of Maryland ทั้งหมด 725 งานวิจัย และมีชิ้นงานที่ได้การอ้างอิงสูงสุดที่ 182 ครั้ง
STKS จะได้นำ Big Research Ideas ของ NSF มาใช้สืบค้นผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย โดยใช้ฐานข้อมูลที่ สวทช. บอกรับเป็นสมาชิก เพื่อสำรวจสภาพงานวิจัยปัจจุบันของประเทศไทยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทั้ง 6 Big Research Ideas ได้ใน NSTDA Style ฉบับต่อไป

อ้างอิง
Henry, Mike. (2018, September 5). NSF launches competition to identify new ‘Big Ideas’. Retrieved from https://www.aip.org/fyi/2018/nsf-launches-competition-identify-new-‘big-ideas’
NSF. (2018). NSF’s ten big ideas. Retrived Retrieved from https://www.nsf.gov/news/special_reports/big_ideas/
The U.S. National Science Foundation’s 6 big research ideas. (2019). Retrieved from https://www.elsevier.com/research-intelligence/campaigns/6-big-research-ideas

คลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด (Open Educational Resources, OER) คืออะไร

เป็นแหล่งทรัพยากรเพื่อการสอน การเรียนรู้ และการวิจัย ซึ่งได้รับอนุญาตโดยผู้สร้างสรรค์ เช่น ให้ใช้ เผยแพร่ ดัดแปลง

เป็นแหล่งทรัพยากรเพื่อการสอนที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้แบบเปิด เช่น ภายใต้สัญญาอนุญาตแบบเปิด Creative Commons หรืออนุญาตให้ใช้ภายใต้สมบัติสาธารณะ (public domain) และไม่มีลิขสิทธิ์คุ้มครอง สามารถเข้าถึง ใช้ เรียบเรียงใหม่ ปรับปรุง และแบ่งปันได้อยางฟรี ขึ้นอยู่กับการอนุญาตที่ใช้ มีหลายชนิดของ OER เช่น เป็นหลักสูตรออนไลน์ วีดีโอ Audio สไลด์นำเสนอ

เหตุผลหนึ่งที่เราใช้ OER เช่น ตำราเรียนแบบเปิด (open textbooks) คือใช้ได้ฟรี แต่ยังมีเหตุผลอื่นอีก เช่น เป็นส่วนหนึ่งของการสอนแบบเปิดและทำให้เกิดประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักเรียน หลายการศึกษาแสดงความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างการใช้ OER และการประสบผลสำเร็จทางการศึกษาของนักเรียนและชี้ให้เห็นว่า OER อาจช่วยลดอัตราการถอนตัว (withdrawal rates) แต่เพิ่มผลการเรียนให้ดีขึ้นสำหรับนักเรียน

สามารถเพิ่มการเข้าถึงการศึกษา ช่วยให้นักเรียนเข้าถึงและวางแผนการศึกษา กระตุ้นการเรียนรู้โดยให้แหล่งทรัพยากรการศึกษาในเวลาที่ต้องการ โดยตรง การใช้แบบไม่เป็นทางการแก่ทั้งนักเรียนและผู้สนใจเรียน เพิ่มคุณค่าของการผลิตความรู้ ประหยัดค่าใช้จ่าย เพิ่มคุณภาพ สร้างนวัตกรรมผ่านความร่วมมือ

ที่มา: BCcampus (OpenEd). What are Open Educational Resources?. Retrieved September 28, 2019, from https://open.bccampus.ca/what-is-open-education/what-are-open-educational-resources/

10 สาระสำคัญของการใช้บริการ Facebook ที่ควรรู้

ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะต้องจับตาดูเรื่องข้อมูลส่วนตัวที่ถูกนำไปใช้ จริงๆ แล้วประเทศไทยมีการเล่นเฟสบุ๊คกันอย่างมากมายโดยเป็นอันดับ 8 ของโลก ด้วยสถิติ 46 ล้านคน จากประชากร 70 ล้านคน นั่นคือ 70% ของคนในประเทศไทยมีเฟสบุ๊คใช้

ปัจจุบันเราอาจใช้เฟสบุ๊คกันอย่างสบายใจมานานแต่ รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศต้นทางของเทคโนโลยีนี้ก็พยายามหาทางเข้ามาควบคุม มาตรวจสอบเฟสบุ๊คกันอยู่เป็นประจำ

มีตัวอย่างที่น่าสนใจหากผู้ใช้งานเฟสบุ๊คสังเกตนั่นคือ หากมีการสนทนาผ่านทางโทรศัพท์เพิ่งจบไปแล้วเข้าใช้งานเฟสบุ๊คทันที จะด้วยมือถือหรือ พีซี ก็ตาม เมื่อเราเลื่อนฟีดลงมาไม่เกิน 2 โพส เราจะเห็นโฆษณาที่เกี่ยวกับสิ่งที่เราเพิ่งคุยจบไปขึ้นมาให้เห็นพอดี เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีคนสงสัยว่าเฟสบุ๊คอาจแอบฟังเราสนทนากันจริงๆ แต่อย่างไรก็ตามเฟสบุ๊คได้ปฏิเสธเรื่องนี้

นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเฟสบุ๊ครู้ใจเรายิ่งกว่าคนใกล้ตัวเราซะอีก การที่เฟสบุ๊คสร้างแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ให้เราใช้กันฟรีๆ นั้น ความจริงแล้วของฟรีไม่มีในโลก เราจำเป็นต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่างที่เราอาจไม่เคยสนใจ และข้อตกลงก่อนสมัครเฟสบุ๊คไม่เคยมีใคนอ่านหรือสนใจดู ก่อนสมัครทำให้เราต้องพลาดการรู้เรื่องราวถึงการนำข้อมูลของเราไปใช้ เพื่อจะอธิบายเรื่องนี้ แบไต๋ขออาสาที่จะสรุปเป็น 10 สาระสำคัญของข้อกำหนดการใช้บริการที่เราต้องรู้ ก่อนเล่นเฟสบุ๊ค

สำหรับข้อกำหนดการใช้งานของเฟสบุ๊คที่นำมาเสนอนี้เป็นเวอร์ชันที่เพิ่งอัปเดตกันไปล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2019

  • สาระสำคัญข้อแรก เฟสบุ๊คไม่เก็บค่าบริการ ดังนั้น คุณต้องยินยอมให้เราแสดงโฆษณา จากธุรกิจ องค์กรที่จ่ายเงินให้เรา โปรโมตทั้งในและนอกผลิตภัณฑ์ในเครือเฟสบุ๊ค โดยอาศัยข้อมูลส่วนตัวของคุณ
  • สาระสำคัญข้อที่ 2 การปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้คนเป็นหัวใจหลักในการออกแบบระบบโฆษณาของเรา เราไม่ได้ขายข้อมูลส่วนตัวของคุณแก่ผู้ลงโฆษณา และเราจะไม่แชร์ข้อมูลที่ระบุตัวคุณโดยตรงเช่นชื่อ นามสกุล อีเมล์ หรือข้อมูลติดต่ออื่นๆ กับผู้ลงโฆษณา เว้นแต่ว่าคุณให้สิทธิ์การอนุญาตเป็นการเฉพาะกับเฟสบุ๊ค
  • สาระสำคัญข้อที่ 3 หลังจากที่เฟสบุ๊คยิงโฆษณาไปตามกลุ่มเป้าหมายของลูกค้าเฟสบุ๊ค เฟสบุ๊คก็จะทำรายงานประสิทธิภาพการทำงานของโฆษณากลับไปที่ลูกค้าของเฟสบุ๊คอีกที เพื่อให้ลูกค้าของเฟสบุ๊คเข้าใจกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งข้อมูลที่ใช้ ก็จะมีข้อมูลประชากรศาสตร์ ข้อมูลความสนใจ เช่น เพศ อายุ เมืองที่อยู่อาศัย สนใจเรื่องอะไร รวมไปถึงวิธีการตอบโต้ระหว่างคุณกับเนื้อหาโฆษณานั้นๆ แต่ย้ำว่าเฟสบุ๊คจะไม่แชร์ข้อมูลที่ระบุตัวตนของคุณโดยตรง เว้นเสียแต่ว่าคุณให้สิทธิ์การอนุญาตเป็นการเฉพาะกับเฟสบุ๊ค  แล้วเราไปกดให้มันไปยังเนี่ย!!!
  • สาระสำคัญข้อที่ 4 เฟสบุ๊คพูดถึงสิทธิ์การอนุญาตการใช้เนื้อหาที่คุณสร้างขึ้นและแชร์ว่า เนื้อหาบางอย่างที่คุณแชร์ หรืออับโหลดเข้ามาในระบบไม่ว่าจะเป็นภาพหรือวิดีโอ หรือข้อความเนื้อหานั้นๆ สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาคือคุณ แต่เพื่อที่คุณจะใช้เฟสบุ๊คได้ต่อไป คุณก็จำเป็นต้องให้สิทธิ์การอนุญาตทางกฎหมายกับเฟสบุ๊คที่เรียกว่าการอนุญาตให้เฟสบุ๊คใช้เนื้อหาของคุณได้ด้วย แต่ถ้าคุณแชร์โพสต์หรืออัปโหลดเนื้อหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเฟสบุ๊ค หรือทำโดยเฟสบุ๊ค เช่น การประมวลผลภาพเพื่อนำไปสู่วิดีโอประทับใจแห่งวันวานทั้งหลาย คุณจะได้สิทธิ์แบบไม่เฉพาะตัว และเฟสบุ๊คสามารถถ่ายโอนได้ ไม่มีค่าลิขสิทธิ์ ในการใช้ แจกจ่าย ปรับเปลี่ยน แสดง คัดลอก หรือเสนอต่อสาธารณะ แปล และสร้างผลงานที่มาจากเนื้อหาของคุณได้ด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ ลิขสิทธิ์ของภาพ วิดีโอ บทความเป็นของเรา(ผู้ใช้งานเฟสบุ๊ค) แต่เมื่อคุณแชร์ด้วยเฟสบุ๊ค ก็เท่ากับว่าคุณได้ให้สิทธิ์และอนุญาตให้เฟสบุ๊คนำไปจัดเก็บ คัดลอกและแชร์สู่บุคคลอื่น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าของคุณ
  • สาระสำคัญข้อที่ 5 เนื้อหาของคุณยังคงถูกเก็บไว้ในระบบของเฟสบุ๊ค ซึ่งเฟสบุ๊คจะยังคงเก็บเนื้อหาตามระยะเวลาที่จำเป็น ซึ่งแตกต่างไปในแต่ละกรณี ดังนี้
    • ข้อกำจัดทางเทคนิคในกรณีนี้เนื้อหาของคุณจะถูกลบภายในเวลาไม่เกิน 90 วันจากระบบ หลังจากวันที่คุณลบเนื้อหาไม่ให้ปรากฏต่อสาธารณะชนแล้ว
    • ผู้อื่นนำเนื้อหาของคุณไปใช้แบบอนุญาตแล้วแต่ยังไม่ได้ลบ
    • เรื่องของการสืบสวน กิจกรรมที่ผิดกฏหมาย การเก็บรักษาหลักฐาน การปฏิบัติตามคำขอ จากเจ้าหน้าที่รัฐ
  • สาระสำคัญข้อที่ 6 มาดูข้อจำกัดด้านความรับผิดชอบจากเฟสบุ๊ค มีดังนี้ เฟสบุ๊คระบุชัดว่า เฟสบุ๊คออกผลิตภัณฑ์ตามสภาพ จึงไม่รับประกันว่าผลิตภัณฑ์จะปลอดภัย มั่นคง หรือปราศจากข้อผิดพลาด อยู่เสมอ เฟสบุ๊คขอปฏิเสธความรับผิดชอบในการรับประกันทั้งหมด เฟสบุ๊คไม่ควบคุม หรือชี้แนะให้ทุกคนพูดหรือทำสิ่งใด เฟสบุ๊ค ไม่รับผิดชอบต่อการกระทำทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ที่ถูกแชร์ ไม่ว่าเนื้อหานั้นจะไม่เหมาะสม ลามก ผิดกฏหมายอื่นๆ เฟสบุ๊คไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า เฟสบุ๊คจะมีปัญหา ดังนั้นจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้น สรุปง่ายๆ ก็คือเฟสบุ๊คไม่ได้รับประกันอะไรเลย และเนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่มีคนใช้งานมากที่สุดในโลก ดังนั้นเฟสบุ๊คจึงถูกโจมตีจากเหล่าแฮคเกอร์อยู่ตลอดเวลา จึงไม่สามารถรับประกันเรื่องความปลอดภัยได้นั่นเอง ทำให้ผู้ใช้งานต้องรับความเสี่ยงนี้กันเอาเอง
  • สาระสำคัญข้อที่ 7 ข้อนี้เด็ดมาก นั่นคือ เฟสบุ๊คเก็บข้อมูลทุกอย่างที่คุณปฏิสัมพันธ์ด้วย พูดง่ายๆ คือข้อมูลที่คุณให้เฟสบุ๊คไปแล้ว ทุกอย่างจะถูกประมวลผลโดยอัตโนมัติ เริ่มตั้งแต่เนื้อหาที่คุณดูหรือมีการโต้ตอบด้วย ฟีเจอร์ที่คุณชอบใช้ ใครที่คุณคุยด้วย รวมถึงเวลา ความถี่  ระยะเวลาที่ทำสิ่งนั้นๆ ทุกสิ่งอย่างที่เราใช้งานจะถูกเก็บไปประมวลผล และส่งกลับมานำเสนอให้เราอีกครั้ง เช่น ฟิลเตอร์รูปภาพที่เราอาจสนใจ เป็นต้น นอกจากนี้เฟสบุ๊คยังเก็บข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้น เพื่อนำมาใช้งานในอนาคต
  • สาระสำคัญข้อที่ 8 เฟสบุ๊คจะเก็บข้อมูลของอุปกรณ์ที่คุณใช้ ทั้งคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ สมาร์ตทีวี และอุปกณ์ใดๆ ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต โดยการใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ของเฟสบุ๊ค ที่จะทำหน้ารวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้ ตัวอย่างเช่น ระบบปฏิบัติการ เวอร์ชันของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ระดับแบตเตอรี่  ความแรงของสัญญาณ พื้นที่จัดเก็บที่มี ประเภทเบาร์เวอร์ ชื่อไฟล์ที่มีอยู่ในเครื่องและแอปที่มีใช้ และแม้แต่การเคลื่อนไหวของเมาส์ เพื่อนำไปใช้แยกระหว่างมนุษย์กับโปรแกรมบอตให้ได้ ยังมีการจัดเก็บข้อมูล wifi เสาสัญญาณโทรศัพท์  ข้อมูลจากการตั้งค่าอุปกรณ์ เช่น GPS กล้อง รูปภาพ ไอดีต่างๆ จากเกมส์และแอปที่เล่น (ไม่ได้เก็บพาสเวิร์ด) ชื่อผู้ให้บริการ ภาษา โซนเวลา หมายเลขโทรศัพท์มือถือ  ที่อยู่ IP ความเร็วในการเชื่อมต่อ และข้อมูลคุกกี้
  • สาระสำคัญข้อที่ 9 เป็นเก็บข้อมูลทางอ้อมจากพาสเนอร์ของเฟสบุ๊ค ง่ายๆ ก็คือใครที่ใช้การเข้าสู่ระบบด้วยเฟสบุ๊คเพื่อใช้งานแอปพลิเคชั่นต่างๆ ข้อมูลเหล่านี้ก็จะถูกส่งให้เฟสบุ๊คด้วยเหมือนกัน  อย่างเช่นไม่ได้เล่นเฟสบุ๊คไปเป็นปี พอกลับเล่นได้เห็นโฆษณาตรงกับสิ่งที่เราอยากได้อยู่พอดี กลไกเหล่านี้ทำผ่านทาง API หรือ SDK ที่แอปต่างๆ ได้ฝั่งเอา เพื่อให้รู้กิจกรรมนอกเฟสบุ๊ค ว่าผู้ใช้งานไปท่องเว็บไหนมา หรือเล่นเกมส์อะไรอยู่ แม้ว่าผู้ใช้งานไม่ได้เล่นเฟสบุ๊คหรือไม่มีบัญชีผู้ใช้เลยก็ตาม  นอกจากนี้ยังรวมถึงข้อมูลการซื้อ ออนไลน์ ออฟไลน์ ซึ่งสามารถบอกได้เลยว่าผู้ใช้งานซื้ออะไรไปบ้างในเว็บนั้นๆ
  • สาระสำคัญข้อที่ 10 เฟสบุ๊คยืนยันหนักแน่นว่า  เราไม่ขายข้อมูลของคุณ และจะไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด แต่เฟสบุ๊คจะนำข้อมูลที่มีทั้งหมดมาทำเป็นกราฟและสรุปใน เฟสบุ๊คบิสซิเนส  เพื่อให้ลูกค้าของเฟสบุ๊คตัดสินใจซื้อบริการโฆษณา ส่วนข้อมูลสาธารณะจะถูกส่งให้ยังบุคคลที่สาม เช่นผู้พัฒนาเกมส์ เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาเกมส์ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้เฟสบุ๊คกำลังจำกัดการเข้าถึงของข้อมูลของผู้พัฒนาแอป เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิด และจะไล่ลบแอปที่ผู้ใช้งานไม่ได้ใช้งานเกิน 3 เดือน เพื่อป้องกันการนำข้อมูลหรือบัญชีของผู้ใช้งานไปใช้ในทางที่ผิด

ถึงตรงนี้ผู้ใช้งานเฟสบุ๊คอย่างเราคงต้องพิจารณาว่าจะใช้งานเฟสบุ๊คต่อไปหรือไม่ เพราะเฟสบุ๊คก็คือธุรกิจหนึ่งที่ต้องการทำกำไร เฟสบุ๊คทำให้เราได้ประโยชน์ทั้งความสนุก การเล่น มิตรภาพ การงาน หลายคนสร้างสังคมได้และนำไปสู่ธุระกิจการค้าที่มีประโยชน์มากมาย ดังนั้นการได้ใช้งานฟรีก็ต้องแลกอะไรบางอย่างของเรา การรู้เท่าทันข้อกำหนดการใช้งานของเฟสบุ๊ค จะช่วยให้เราระมัดระวังการใช้งาน และส่วนความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ใช้งานในอนาคตได้

ตำราเรียนแบบเปิด (open textbook) คืออะไร

ตำราเรียนแบบเปิดจัดเป็นส่วนหนึ่งของคลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด (open educational resources, OER) จัดเป็นสมบัติสาธารณะ (public domain) คือสิ่งนั้นไม่มีลิขสิทธิ์คุ้มครอง

ตำราเรียนแบบเปิดมีอยู่ในรูปของดิจิทัล สามารถเข้าถึงออนไลน์หรืออยู่ในรูปแบบที่แบ่งปันกันได้ เพื่อใช้ได้ฟรีโดยใครก็ได้ เช่น นักเรียน ผู้สอน บรรณารักษ์ โดยทั่วไปตำราสามารถ เช่น ถูกดัดแปลง สั่งพิมพ์ แบ่งปัน เรียบเรียงใหม่ นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ถ้าตำราอยู่ภายใต้สัญญาอนุญาตแบบเปิด Creative Commons หรือการอนุญาตแบบเปิดอื่นๆ ผู้ใช้ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดในการอนุญาตนั้นๆ

ตำราเรียนแบบเปิดช่วยให้นักศึกษาในระดับอุดมศึกษาลดค่าใช้จ่ายในการศึกษา

ที่มา: BCcampus (OpenEd). What are Open Textbooks?. Retrieved September 28, 2019, from https://open.bccampus.ca/what-is-open-education/what-are-open-textbooks/

จะหาแหล่งตำราเรียนแบบเปิด (open textbook) ได้จากที่ไหน

ข้างล่างเป็นแหล่งที่มีตำราเรียนแบบเปิดและสื่อการสอนอื่นๆ ซึ่งอนุญาตแบบเปิดและฟรีสำหรับผู้สอนที่จะนำไปใช้และปรับให้เหมาะสมตามความต้องการ

– OpenStax College (https://openstax.org/) จัดให้มีตำราเรียนฟรีสำหรับนักเรียน ซึ่งเป็นตำราที่ผ่านการตรวจสอบและเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ
– Open Academics Textbook Catalog (https://open.umn.edu/opentextbooks/) เจ้าของคือ University of Minnesota เป็นแหล่งตำราเรียนแบบเปิดของ 150 เรื่องครอบคลุมสาขาธุรกิจ บัญชี เทคโนโลยีสารสนเทศ เศรษฐศาสตร์ คณิตศาสตร์ มนุษยศาสตร์ กฎหมาย คณิตศาสตร์และสถิติ ธรรมชาติ ฟิสิกส์ และสังคมศาสตร์
– Orange Grove Text โครงการคลังวัสดุการศึกษาแบบเปิดของ Florida
– College Open textbooks (https://oer.thatmatter.org/) รวบรวมตำราเรียนแบบเปิดตามสาขาวิชา ส่วนใหญ่ตำราจะผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ
– Global Text Project เป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง Terry College of Business ของ University of Georgia และ The Daniels College of Business ของ University of Denver เป็นแหล่งตำราเรียนแบบเปิดในสาขาธุรกิจ คอมพิวเตอร์ การศึกษา สุขภาพ วิทยาศาสตร์ และสังคมศาสตร์
– Connexions (https://cnx.org/) เป็นแหล่งวัสดุการศึกษาที่ได้รับการอนุญาตแบบเปิดและฟรีในสาขา เช่น ดนตรี วิศวกรรมไฟฟ้า
– CCCOER (Community College Consortium for Open Educational Resources)

ที่มา: BCcampus (OpenEd). Where to find open textbooks. Retrieved September 28, 2019, from https://open.bccampus.ca/open-textbook-101/where-to-find-open-textbooks/
 

เศรษฐกิจหมุนเวียน CIRCULAR ECONOMY

เป็นระบบเศรษฐกิจที่เน้นการออกแบบเพื่อการปรับตัวระยะยาว โดยจะอนุรักษ์และเพิ่มการใช้ประโยชน์ต้นทุนทางธรรมชาติ ด้วยการควบคุมทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด และใช้ทรัพยากรหมุนเวียนให้มีความสมดุลมากยิ่งขึ้น ผ่านการนำมาใช้ประโยชน์ใหม่ หรือแลกเปลี่ยนกันซึ่งก่อนให้เกิดประโยชน์กับสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรวม อีกทั้งยังทำให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ทางด้านธุรกิจและเศรษฐศาสตร์

เศรษฐกิจหมุนเวียน CIRCULAR ECONOMY
สวทช. กับเศรษฐกิจหมุนเวียน

เศรษฐกิจหมุนเวียนช่วยแก้ปัญหาสำคัญของโลกในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี สวทช. เร่งพัฒนางานวิจัยที่มุ่งใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และคิดค้นวิธีการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือทิ้ง ที่นอกจากจะไม่กลายเป็นขยะที่สร้างภาระต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ เช่น แพ็กแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์นั่งไฟฟ้า, การพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาผลิตไบโอดีเซลจากเปลือกไข่, ระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อผลิตก๊าซชีวภาพในโรงงานแป้งมันสำปะหลัง, พีลิกนินแคร์จากกากอ้อยสู่สารต้านเชื้อ, การผลิตไบโอแคลเซียมจากเปลือกไข่, การผลิตอาหารเสริมโปรคอลลาเจนจากเยื่อหุ้มไข่