แบตเตอรี่ก็เหมือนกับร่างกายของคนเราที่มีวันเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา ส่วนจะเสื่อมเร็ว เสื่อมช้า เสื่อมน้อย เสื่อมมาก ถ้าสังเกตดูเราก็จะเห็นสัญญาณบางอย่างที่บอกให้รู้ว่า แบตเตอรี่ของเราไม่ทรงพลังเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
สัญญาณแรกที่อาจสังเกตได้คือ จำนวนชั่วโมงการใช้งานลดลง เมื่อแบตเตอรี่เสื่อม พลังงานของแบตเตอรี่ที่ใช้ได้ต่อการชาร์จเต็มจะลดลงจากปกติ เนื่องจากความสามารถในการกักเก็บและจ่ายพลังงานไฟฟ้า หรือที่เรียกกันว่า ความจุของแบตเตอรี่น้อยลง เช่น ปกติเราชาร์จแบตเตอรี่พัดลมมือถือเต็มแล้วใช้งานได้ต่อเนื่อง 5 ชั่วโมงกว่าแบตเตอรี่จะหมด แต่พอแบตเตอรี่เสื่อมจะใช้งานได้น้อยกว่า 5 ชั่วโมง
สัญญาณที่สองคือ ความร้อนของแบตเตอรี่สูงขึ้น เมื่อแบตเตอรี่เสื่อม ความต้านทานภายในตัวแบตเตอรี่จะสูงขึ้น ความร้อนจึงเกิดขึ้นมากกว่าแบตเตอรี่ใหม่ที่มีกระแสเท่ากัน ดังนั้นหากเรากำลังใช้งานอุปกรณ์ใด ๆ อยู่ แล้วรู้สึกว่าตรงบริเวณที่ใส่แบตเตอรี่มีความร้อนเกิดขึ้น แสดงว่าแบตเตอรี่ที่ใช้ในอุปกรณ์นั้นอาจจะเริ่มเสื่อมแล้ว
สัญญาณที่สามคือ แบตเตอรี่มีลักษณะผิดแปลกไปจากเดิม เนื่องจากข้างในแบตเตอรี่มีวัสดุและสารเคมีที่เรียกว่า อิเล็กโทรไลต์ บรรจุอยู่ หากวัสดุและสารเคมีเหล่านี้เสื่อมสภาพก็อาจทำให้เกิดแก๊สสะสมภายในแบตเตอรี่ ส่งผลให้แบตเตอรี่เกิดอาการบวม เกิดรอยรั่ว และมีสารเคมีรั่วซึมออกมาภายนอก ซึ่งสารเคมีหลายชนิดส่งผลเสียต่อสุขภาพของเรา ตั้งแต่เบาบางไปจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดังนั้นเมื่อพบว่าแบตเตอรี่ที่เรากำลังใช้งานอยู่นั้นเริ่มส่งสัญญาณ 3 อย่างดังที่กล่าวมา ก็ให้เตรียมเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้ว เพราะการใช้งานแบตเตอรี่เสื่อมสภาพต่อไปอาจทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเราเสียหาย และหากแบตเตอรี่เสื่อมจนเกิดการรั่วซึมของสารเคมีก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพเราด้วย
ที่มา : เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่
เรียบเรียงโดย รักฉัตร เวทีวุฒาจารย์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ออกแบบกราฟิกโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.