หน้าแรก จดหมายข่าว สวทช. ฉ.10 – ไบโอเทค – สวทช. ประสบความสำเร็จ พัฒนาชุดตรวจหาเชื้อมาลาเรีย
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.10 – ไบโอเทค – สวทช. ประสบความสำเร็จ พัฒนาชุดตรวจหาเชื้อมาลาเรีย
24 ธ.ค. 2558
0
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
บทความ

alt

alt

ไบโอเทค – สวทช. ประสบความสำเร็จ

พัฒนาชุดตรวจหาเชื้อมาลาเรีย

alt

 

นักวิจัยไบโอเทคคิดค้นเทคนิคการตรวจหาเชื้อมาลาเรียจากเลือดผู้ป่วย จนพัฒนาเป็นชุดตรวจหาเชื้อมาลาเรียได้สำเร็จสามารถทำได้ง่าย สะดวก ทราบผลเร็ว และมีความแม่นยำ

โรคมาลาเรีย ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย และทั่วโลกยังคงให้ความสำคัญกับปัญหานี้เช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการพิจารณามอบรางวัลโนเบลในสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ (Nobel Prize in Physiology or Medicine) ประจำปี ค.ศ. 2015 นี้ ได้มอบให้แก่นักวิจัยชาวจีน Tu YouYou ซึ่งเป็นผู้ค้นพบวิจัยและพัฒนายา Artemisinin เพื่อใช้รักษาโรคมาลาเรีย ซึ่งยาดังกล่าวได้ช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคมาลาเรียจำนวนมากทั่วทั้งโลกและเป็นยาราคาถูกที่ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงได้

 

สำหรับประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2557 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีรายงานจำนวนผู้ป่วยโรคมาลาเรียมากกว่า 30,000 ราย ถึงแม้จำนวนผู้ป่วยจะลดลงในแต่ละปี แต่ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถกำจัดเชื้อมาลาเรียให้หมดไปได้ ส่งผลให้มีการระบาดของโรคในพื้นที่เสี่ยงและยังคงมีผู้ป่วยซ้ำในทุกปี และยังเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ทุรกันดาร

โรคมาลาเรียเกิดจากเชื้อโปรโตซัวในกลุ่มพลาสโมเดียม (Plasmodium) ที่อาศัยอยู่ในเม็ดเลือดแดง โดยมียุงก้นปล่องเพศเมียเป็นพาหะนำโรค เมื่อยุงที่ได้รับเชื้อจากเลือดของผู้ป่วยไปกัดผู้อื่นก็จะทำให้เกิดการแพร่เชื้อต่อไป เชื้อก่อโรคมาลาเรียที่พบในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นชนิดพลาสโมเดียม ฟัลซิพารัม (Plasmodium falciparum) และพลาสโมเดียม ไวแว็กซ์ (Plasmodium vivax) โดยเชื้อทั้งสองชนิดนี้จะก่อให้เกิดความรุนแรงของโรคมาลาเรียที่แตกต่างกัน รวมถึงการรักษาและระบาดวิทยาของเชื้อก็มีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ดังนั้นการจำแนกชนิดของเชื้อ จึงมีความสำคัญต่อการเฝ้าระวังและการรักษาโรคเป็นอย่างมาก

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดยคณะนักวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้ศึกษาและพัฒนาเทคนิคสำหรับการตรวจหาเชื้อมาลาเรีย พลาสโมเดียม ฟัลซิปารัม และ พลาสโมเดียม ไวแวกซ์ ในตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยโรคมาลาเรียขึ้น เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่าย และสามารถนำไปใช้ทดสอบในพื้นที่จริงที่มีการระบาดได้ทันที ซึ่งเทคนิคที่พัฒนาขึ้นนี้เป็นการบูรณาการความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาของนักวิจัยไบโอเทค 3 ท่าน ได้แก่ ดร. สุกัญญา ยงเกียรติตระกูล ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการค้นหาโมเลกุลที่สำคัญของเชื้อมาลาเรียเพื่อนำมาใช้เป็นเป้าหมายในการตรวจหาเชื้อ คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการนำเอาเทคนิคแลมป์ (LAMP) มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาเป็นชุดทดสอบในการตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อต่างๆ และ ดร. ดารินทร์ คงคาสุริยะฉาย ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านระบาดวิทยาของมาลาเรีย รวมถึงวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคมาลาเรีย

alt       alt       alt

ดร.สุกัญญา ยงเกียรติตระกูล นักวิจัยห้องปฏิบัติการการวิเคราะห์และประยุกต์ใช้สารชีวโมเลกุล เปิดเผยว่า เทคนิคที่คณะวิจัยพัฒนาขึ้นนี้ เรียกว่า “LAMP-LFD” เป็นการนำเอาเทคนิควิธีการตรวจ 2 ประเภทมาประยุกต์ใช้ร่วมกัน คือเทคนิคแลมป์ (LAMP) ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้อุณหภูมิคงที่เพียงอุณหภูมิเดียว (ในช่วง 60-65 องศาเซลเซียส) และเทคนิค lateral flow dipstick หรือ LFD ซึ่งเป็นเทคนิคการใช้แผ่นจุ่มวัดแบบง่าย จึงทำให้สามารถอ่านผลได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว ด้วยเทคนิค LAMP-LFD นี้ทำให้เราสามารถตรวจแยกเชื้อมาลาเรียทั้งสองชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ มีความถูกต้อง มีความแม่นยำและมีความจำเพาะในการตรวจเชื้อแต่ละชนิดสูงมาก

คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย นักวิจัยอาวุโสและหัวหน้าห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด กล่าวเสริมว่า เทคนิค LAMP-LFD นี้ เริ่มต้นจากการเพิ่มสารพันธุกรรมด้วยเทคนิค LAMP ซึ่งถูกติดฉลากด้วยสารเรืองแสง จากนั้นใช้เทคนิค LFD เพื่อทำให้เกิดแถบสีบนแผ่นจุ่มวัดแบบง่าย จึงทำให้สามารถอ่านผลได้ด้วยตาเปล่า และข้อดีของเทคนิค LAMP-LFD ที่คณะวิจัยพัฒนาขึ้นนี้อีกอย่างหนึ่งคือ มีขั้นตอนการเตรียมตัวอย่างเลือดก่อนตรวจที่ง่ายไม่ยุ่งยาก จึงทำให้สามารถลดเวลาในการตรวจตัวอย่างจำนวนมากได้ เทคนิค LAMP-LFD นี้มีความไวในการตรวจสูงกว่าเทคนิคพีซีอาร์ทั่วไปประมาณ 10 เท่า และมีความจำเพาะต่อเชื้อพลาสโมเดียม ฟัลซิปารัม และ พลาสโมเดียม ไวแวกซ์ อย่างมาก อีกทั้งขั้นตอนการตรวจก็ทำได้ง่ายและสะดวก โดยใช้เวลาในการตรวจรวมทั้งสิ้นเพียง 55 นาที ไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์หรือเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีราคาแพง และไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ดังนั้นคณะวิจัยจึงเล็งเห็นว่าเทคนิค LAMP-LFD นี้มีโอกาสที่จะนำไปสู่การใช้งานในพื้นที่จริงได้และจะเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการตรวจเชื้อมาลาเรียให้แก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้ด้วย

ดร.ดารินทร์ คงคาสุริยะฉาย นักวิจัยห้องปฏิบัติการวิศวกรรมโปรตีน-ลิแกนด์และชีววิทยาโมเลกุล กล่าวว่า ในปัจจุบัน การตรวจวินิจฉัยเชื้อมาลาเรียโดยใช้วิธีตรวจหาเชื้อจากแผ่นฟิล์มเลือดภายใต้กล้องจุลทรรศน์ยังถือเป็นวิธีมาตรฐาน แต่วิธีการนี้จำเป็นต้องอาศัยบุคลากรที่มีทักษะและความชำนาญเป็นอย่างมากในการจำแนกเชื้อ และถึงแม้ว่าจะมีความพยายามพัฒนาการตรวจวินิจฉัยให้ทันสมัยและรวดเร็วขึ้น โดยใช้วิธีพีซีอาร์ (PCR) หรือการวินิจฉัยอย่างรวดเร็วโดยวิธีทดสอบอิมมูโนโครมาโทกราฟิก (RDT) แต่ก็ยังคงพบปัญหาการเกิดผลบวกปลอม (false positive) และผลลบปลอม (false negative) ในการตรวจ จากข้อดีของเทคนิค LAMP-LFD ที่ได้พัฒนาขึ้น ในห้องปฏิบัติการ ทำให้คณะวิจัยได้นำเทคนิค LAMP-LFD ไปทดลองใช้งานจริง โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อตรวจหาเชื้อมาลาเรียจากตัวอย่างเลือดที่ได้จากผู้ป่วย พบว่าเทคนิค LAMP-LFD มีค่าความไว (Sensitivity) และความจำเพาะ (Specificity) ต่อเชื้อมาลาเรียแต่ละชนิดสูงมาก และนอกจากจะสามารถใช้ตรวจผู้ป่วยมาลาเรียแล้ว เมื่อนำเทคนิค LAMP-LFD ที่พัฒนาขึ้นนี้ไปใช้กับผู้ที่มีการติดเชื้อแต่ยังไม่แสดงอาการ ก็พบว่าสามารถตรวจหาเชื้อได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่เทคนิค LAMP-LFD จะถูกพัฒนาไปใช้ในการศึกษาด้านระบาดวิทยาของโรคมาลาเรียด้วย ปัจจุบัน เทคนิค LAMP-LFD สำหรับตรวจหาเชื้อมาลาเรีย พลาสโมเดียม ฟัลซิปารัม และพลาสโมเดียม ไวแวกซ์ นี้ ได้มีการยื่นขอจดอนุสิทธิบัตรในประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาให้เป็นชุดตรวจสำเร็จรูปที่สะดวกต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ คณะวิจัยยังมีแผนงานที่จะพัฒนาชุดตรวจสำหรับเชื้อมาลาเรียดื้อยาต่อไปในอนาคตอีกด้วย

24 ธ.ค. 2558
0
แชร์หน้านี้: