(วันที่ 25 ธันวาคม 2566) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว. : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและนักวิจัย แถลงข่าวสรุปผลงาน สวทช. ประจำปี 2566 “สวทช. ขับเคลื่อนงานวิจัย BCG เพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทย สู่ความยั่งยืน” พร้อมเปิดนโยบาย 11 BCG Implementation ปี 2567 เพื่อแสดงความมุ่งมั่นขององค์กรวิจัยระดับชาติในการพัฒนาประเทศตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้วยการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสนับสนุนภาคส่วนต่าง ๆ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. แถลงว่า สวทช. ในยุค 6.0 ได้ประกาศวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้ สวทช. เป็นขุมพลังหลักของประเทศด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ในการพัฒนาระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้เข้มแข็ง ตามนโยบายที่ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มอบไว้คือ “เอกชนนำ รัฐสนับสนุน” ทั้งนี้ สวทช. ได้ระดมบุคลากรจากหลายส่วนงานมาร่วมขับเคลื่อนและผลักดันยุทธศาสตร์ NSTDA Core Business สร้างพลังวิจัยรับใช้สังคม โดยเพิ่มบทบาทการทำงานเชิงรุกผลักดันงานวิจัยให้เข้าถึงประชาชนและใช้ประโยชน์ในวงกว้าง ช่วยลดช่องว่างปัญหาคอขวดของงานวิจัย ให้เห็นผลเป็นที่ประจักษ์ชัดในสังคมมากขึ้นและยังได้รับการตอบรับจากประชาชนผู้ใช้งานจริงหลักล้านคนในหลายภาคส่วน
@พลังวิจัยรับใช้สังคม ลดช่องว่าง ประชาชนเข้าถึงและใช้ประโยชน์จริง
“ตัวอย่างผลงานในปี 2566 ที่ประชาชนและผู้ให้บริการจากหน่วยงานภาครัฐ สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากพัฒนาเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดย สวทช. และถูกนำไปใช้จริงในหน่วยบริการขนาดใหญ่ของภาครัฐเพื่อให้บริการภาคประชาชน 2 ด้าน สำคัญ ได้แก่
1.Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมและผู้ให้บริการมีระบบการติดตามแก้ปัญหาที่รวดเร็วขึ้น ผ่านช่องทางแอปพลิเคชันไลน์ (LINE @TraffyFondue) จากการใช้บริการแพลตฟอร์ม Traffy Fondue มีผู้ร้องเรียนผ่าน Traffy Fondue กว่า 5 แสนครั้ง สถิติการใช้งานทั่วประเทศพบว่าประชาชนใช้บริการร้องเรียนทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง แบ่งเป็นในเวลาราชการ ร้อยละ45 และนอกเวลาราชการ ร้อยละ 55 เจ้าหน้าที่รับเรื่องเร็วขึ้น 1.8 เท่า (จาก 1.1 วัน เหลือ 0.6 วัน) เวลาแก้ไขเร็วขึ้น 4 เท่า (จาก16วัน เหลือ 4 วัน) โดยปัจจุบันขยายผลไปยังหน่วยงานต่าง ๆ มากถึง 11,808 หน่วยงาน เจ้าหน้าที่ใช้งาน 54,768 คน ขยายผลการใช้งานไปใน 53 จังหวัดทั่วประเทศ โดยในจำนวนนี้มี 17 จังหวัดที่ใช้งานทุกส่วนราชการ
และ 2. A-MED Digital Healthcare Platform แพลตฟอร์มที่ถูกพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาการบริการด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยการพัฒนาระบบบริการด้านสาธารณสุข A-MED Care Pharma เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขขั้นปฐมภูมิผ่านร้านยา โดยเป็นการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่าง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สภาเภสัชกรรม และร้านยาคุณภาพ ได้ใช้ประโยชน์จากการพัฒนาเทคโนโลยีของทีมวิจัย สวทช. ไปช่วยทำให้ผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Common Illness) ใน 16 อาการ สามารถรับยาฟรีผ่านการดูแลโดยเภสัชกรที่ร้านยาคุณภาพใกล้บ้านได้ทันที ช่วยประหยัดเวลาการเดินทางของผู้ใช้บริการ ที่สำคัญสามารถลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดภาระงานของแพทย์ในการตรวจคนไข้ในแต่ละวันได้ ทั้งนี้ผลจากการที่ร้านยาคุณภาพใช้ระบบ A-MED Care Pharma ของ สวทช. ไปสนับสนุนการบริการประชาชนในโครงการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 อาการ ณ ร้านยาคุณภาพที่เข้าร่วมโครงการมากกว่า 1,600 แห่ง รวมบริการมากถึง 1.1 ล้านครั้งแล้ว
นอกจากนี้ สวทช. ยังมีอีก 2 ด้านที่เกี่ยวกับภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ FoodSERP แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน ในรูปแบบ One stop service ที่ครอบคลุมด้านพัฒนากระบวนการผลิตและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารฟังก์ชัน เวชสำอาง และสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ (Functional ingredients) วิเคราะห์ทดสอบด้านประสิทธิภาพ คุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ ซึ่งให้บริการแก่ผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชนและหน่วยงานภาครัฐ รวม 106 ราย สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ระดับอุตสาหกรรมได้มากถึง 18 ผลงาน
และ Industry 4.0 Platform แพลตฟอร์มให้บริการ Digital Transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตแบบครบวงจร ที่รวบรวมบริการและกิจกรรมสนับสนุนการยกระดับภาคอุตสาหกรรม ช่วยให้ผู้ประกอบการไทย สามารถดำเนินการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนและของเสีย ลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถให้บริการแก่โรงงานกว่า 100 โรงงาน ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) ออกมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยใช้ผลการประเมิน Thailand i4.0 Index เป็นเกณฑ์การพิจารณา ทั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถนำเงินลงทุน 100% ไปหักจากภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นเวลา 3 ปีได้อีกด้วย
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ตลอดปี 2566 สวทช. สามารถผลิตผลงานวิจัยและเทคโนโลยีที่ภาครัฐ เอกชน และประชาชน นำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้าง สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม มูลค่า 46,000 ล้านบาท เกิดการลงทุนทางด้าน วทน. มูลค่า 15,000 ล้านบาท ยกระดับอุตสาหกรรมด้วยโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยให้บริการวิเคราะห์ทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ และให้คำปรึกษาทางเทคโนโลยีมากกว่า 83,000 รายการ ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม สวทช. สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา พร้อมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ภาคเอกชนและอุตสาหกรรมนำไปสู่การใช้งานจริงเชิงพาณิชย์ ด้านการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรและชุมชนให้เข้มแข็ง สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เกษตรกรทั่วประเทศ 14,200 คน สำหรับการพัฒนาและสร้างเสริมบุคลากรวิจัยให้แก่ประเทศ โดยสนับสนุนบัณฑิตและนักวิจัยอาชีพ ผ่านการให้ทุน รวม 713 คน และส่งเสริมการเรียนรู้ด้าน วทน. ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ และค่ายวิทยาศาสตร์ โดยมีเยาวชนและครูเข้าร่วม 10,264 คน
@ชูวิจัยเด่นปี 66 ด้านเกษตรแม่นยำ-ชีวภัณฑ์เพื่อการเกษตร ด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ
นอกจากนี้ สวทช. ได้นำตัวอย่างผลงานวิจัยเด่นจาก 5 ศูนย์เทคโนโลยีแห่งชาติ มาร่วมจัดแสดง อาทิ ชีวภัณฑ์เพื่อการเกษตร (ผลงานโดยไบโอเทค) ประกอบด้วย ชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืช และชีวภัณฑ์ควบคุมโรคพืช ชีวภัณฑ์ควบคุมวัชพืช นอกจากนี้ทีมยังได้พัฒนา SOP คู่มือการจัดการศัตรูพืชด้วยชีวภัณฑ์แบบครบวงจรสำหรับทุเรียนและถั่วฝักยาว เพื่อเป็นตัวช่วยให้เกษตรกรดูแลรักษาจัดการแปลงเกษตรกรรมของตน รวมถึงส่งเสริมให้ใช้ชีวภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และได้ดำเนินการเผยแพร่ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ของทีมวิจัยและพันธมิตร รวมไปถึงได้นำไปใช้เป็นสื่อเรียนรู้ในการจัดอบรมให้แก่เกษตรกรกว่า 150 ราย
ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ HandySense (ผลงานโดยเนคเทค) เทคโนโลยีเซนเซอร์และระบบควบคุมอัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการแปลงเพาะปลูก ช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างน้อย 20% ปัจจุบันมีศูนย์ต้นแบบการถ่ายทอดเทคโนโลยีสมาร์ทฟาร์มมากกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ และประกาศเป็นเทคโนโลยีแบบเปิด เพื่อให้ผู้สนใจนำไปใช้ประโยชน์
ชุดตรวจวัดโลหะหนักในพืชสมุนไพรและน้ำ หรือ M Sense (ผลงานโดยนาโนเทค) สำหรับวิเคราะห์สารปนเปื้อนในรูปแบบต่างๆ นำร่องตรวจวัดไอออนแมงกานีส (Mn Sense) ฟลูออไรด์ (F Sense) และทองแดง (Cu Sense) มุ่งเน้นการใช้งานภาคสนาม มีความไวและความจำเพาะสูง ใช้งานง่าย ต้นทุนต่ำ สามารถประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม บอกผลการวิเคราะห์ได้ทั้งเชิงคุณภาพด้วยการเปรียบเทียบแถบสี และบอกผลเชิงปริมาณโดยใช้ร่วมกับเครื่องอ่านสีแบบพกพา DuoEye Reader มีความถูกต้องแม่นยำสอดคล้องกับวิธีมาตรฐานในห้องปฏิบัติการ ราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับชุดตรวจที่นำเข้าจากต่างประเทศ
“EnPAT” น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากปาล์มน้ำมันไทย (ผลงานโดยเอ็นเทค) ช่วยป้องกันไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ยกระดับความปลอดภัยของประชาชน พร้อมเปิดโอกาสสู่เศรษฐกิจโอเลโอเคมีมูลค่าสูง
และ “Rachel” ชุดบอดี้สูทช่วยในการเคลื่อนไหวสำหรับผู้สูงอายุ (ผลงานโดยเอ็มเทค) ใช้สวมใส่ตลอดวัน ช่วยในการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากกิจวัตรประจำวัน ที่เป็นการพัฒนาที่ผสมผสานองค์ความรู้สหวิทยาการ ได้แก่ ด้านวัสดุศาสตร์ (กล้ามเนื้อจำลอง) ชีวกลศาสตร์-กายวิภาคศาสตร์ (การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อและกระดูก) และแฟชั่นดีไซน์ (สวมและใส่สบาย) ที่เตรียมขยายผลการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์โดยผู้ผลิตเสื้อผ้าชั้นนำภายในประเทศ
นอกจากนี้ สวทช. ยังมีส่วนร่วมขับเคลื่อนแผนปัญญาประดิษฐ์ระดับประเทศ โดยทันทีที่มีแผนปฏิบัติการ AI ประเทศไทยขยับอันดับขึ้นจาก 59 เป็น 31 จากการจัดอันดับดัชนีความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาล
อีกทั้งร่วมขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ระดับประเทศและจังหวัดนำร่อง มีจำนวนผู้ที่ได้รับการพัฒนาทักษะ BCG สะสม ปี 2564 – 2565 รวมกันกว่า 6 แสนคน และมีสัดส่วนของเศรษฐกิจ BCG สูงขึ้นในจังหวัดนำร่อง เช่น จันทบุรีและราชบุรี
@ปักธง ปี 67 รวมพลังวิจัย สวทช. ขับเคลื่อนงานวิจัย BCG เพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทย สู่ความยั่งยืน
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปี 2567 สวทช. ยังคงมุ่งมั่นนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ขยายผลงานวิจัยไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ตามนโยบายที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศุภมาส อิศรภักดี ได้เน้นย้ำให้เร่งผลักดันงานวิจัยเข้าถึงประชาชนและสนับสนุนการดำเนินงานของภาคเอกชนอย่างเต็มกำลัง โดยปักธง รวมพลัง สวทช. ขับเคลื่อนงานวิจัย 11 BCG Implementation ด้วยกลยุทธ์ “1 ลด – 2 เพิ่ม – 1 สร้าง” ที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทยอย่างยั่งยืน
“1 ลด” คือ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ประกอบด้วย 3 โครงการวิจัย ได้แก่ 1.ทุ่งกุลาร้องไห้ เกษตรกร/ผู้มีรายได้น้อยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี สินค้าเกษตรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ได้รับการยกระดับด้วย วทน. 2.Traffy Fondue บริหารจัดการปัญหาเมือง เชื่อมโยงประชาชนเข้ากับหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ และ 3.Platform การสื่อสารของผู้พิการ & ผู้สูงอายุ เป็นแพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารของคนพิการแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อบริการสื่ออ่านง่ายสำหรับบุคคลที่บกพร่องทางการรับรู้
“2 เพิ่ม” คือ เพิ่มอัตราการเติบโตทางศรษฐกิจ ประกอบด้วย 2 โครงการวิจัย ได้แก่ 1.สารสกัดมูลค่าสูง กะเพรา กระชายดำ ใบบัวบก โดยพัฒนากระบวนการผลิตสารสกัดมาตรฐาน ระดับอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์อาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และ 2. แพลตฟอร์มการผลิตอาหารฟังก์ชัน และ Functional Ingredients เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน อาหารเฉพาะทาง และอาหารอนาคต รวมถึงร่วมสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรม Functional ingredients ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอางของประเทศ
และ เพิ่มการพึ่งพาตนเอง ประกอบด้วย 4 โครงการวิจัย ได้แก่ 1.Digital healthcare ขยายผลแพลตฟอร์มบริการการแพทย์ปฐมภูมิและระบบเบิกจ่าย / การเบิกจ่าย / การบริการการแพทย์ฉุกเฉิน / บริการ
ข้อมูลและเฝ้าระวังโรค / ล่ามภาษามือทางไกลสำหรับการแพทย์ 2.วัคซีนสัตว์ ทดสอบประสิทธิภาพต้นแบบวัคซีนออโตจีนัส ASFV เชื้อตายพัฒนากระบวนการผลิตวัคซีนASFV สู่การผลิตในประเทศ 3.ชุดตรวจโรคไตและเบาหวาน พัฒนาชุดตรวจติดตามโรคไตและเบาหวานที่ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับ อย. และเข้าระบบสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) และ 4.National AI Ecosystem พัฒนาระบบนิเวศส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ในภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม
และ “1 สร้าง” คือ สร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 2 โครงการวิจัย ได้แก่ 1.ตัวชี้วัดและฐานข้อมูล CO2 , CE, SDGs พัฒนาตัวชี้วัดสำคัญเพื่อสนับสนุนแนวทาง SDGs ปรับปรุงฐานข้อมูลวัฎจักรชีวิตระดับประเทศ รวมถึงตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียน และ 2. Industry 4.0 Platform สนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน โดยมุ่งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการใช้ทรัพยากร ลดการปลดปล่อยของเสีย และการปรับตัวเข้าสู่มาตรฐานอุตสาหกรรมสีเขียว