การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกที่ทวีความรุนแรง อุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นทุกขณะกลายเป็นปัจจัยคุกคามที่นำมาสู่การเกิด ‘ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว’ (Coral Bleaching) ซึ่งทำลายพื้นที่แนวปะการังไปแล้วในหลายพื้นที่ทั่วโลก
ล่าสุดเมื่อช่วงกลางเดือนเมษายน 2567 องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ โนอา (National Oceanic and Atmospheric Administration: NOAA) โดยหน่วยเฝ้าระวังแนวปะการัง (Coral Reef Watch: CRW) ได้เปิดเผยผลการสำรวจติดตามการเปลี่ยนแปลงของมหาสมุทรและแนวปะการังทั่วโลกช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2567 พบว่าเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวแผ่ขยายเป็นวงกว้างในทะเลและมหาสมุทรทั่วทั้งเขตร้อน ทั้งในมหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย รวมไปถึงทะเลแคริบเบียน ทะแลแดง อ่าวเปอร์เซีย อ่าวเอเดน ไม่เว้นแม้แต่แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Great Barrier Reef ของออสเตรเลีย โดยครั้งนี้นับเป็นปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวระดับโลกครั้งที่ 4 นับตั้งแต่ที่หน่วยเฝ้าระวังแนวปะการังของโนอาได้สำรวจและบันทึกไว้ และเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันในประเทศไทยก็เริ่มพบการเกิดปะการังฟอกขาวแล้วเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2567 ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รายงานผลการติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาวและติดตามอุณหภูมิน้ำทะเลบริเวณเกาะยา จังหวัดตรัง พบปะการังเริ่มมีสีซีดจางและพบปะการังฟอกขาวประมาณ 1% ของปะการังมีชีวิตในพื้นที่สำรวจ โดยพบที่ระดับความลึกน้ำ 2–5 เมตร อุณหภูมิของน้ำทะเลมีค่าเฉลี่ย 31.80±0.37 องศาเซลเซียส (ระหว่างวันที่ 2–19 เมษายน 2567)
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดปะการังฟอกขาวมาจากการที่น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งน้ำทะเลบนโลกนี้มีปริมาณมหาศาล การที่อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มขึ้นแสดงว่าโลกของเราอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นมาก อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส สำหรับคนเราอาจไม่รู้สึกถึงผลกระทบมากนัก แต่สำหรับปะการังแล้ว อุณหภูมิน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นเพียงองศาเดียวหมายถึงความเป็นความตายของปะการัง
ทั้งนี้ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว คือ ภาวะที่ปะการังมีสีซีดจางจนมองเห็นเป็นสีขาว ซึ่งเป็นผลมาจากการสูญเสียสาหร่าย Symbiodinium สาหร่ายขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการัง โดยปกติสาหร่ายกับปะการังจะอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพากัน ปะการังให้ที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย ขณะที่สาหร่ายสังเคราะห์ด้วยแสงช่วยสร้างอาหารและคาร์บอนให้แก่ปะการังเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและสร้างโครงสร้างหินปูน และยังมีส่วนช่วยสร้างสีสันสวยงามให้แก่ปะการังที่ปกติจะมีเพียงเนื้อเยื่อใส ๆ เท่านั้น แต่เมื่ออุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น สาหร่ายจะผลิตออกซิเจนปริมาณมากซึ่งเป็นพิษต่อเนื้อเยื่อของปะการัง ปะการังจึงขับสาหร่ายออกจากเนื้อเยื่อเพื่อลดปริมาณออกซิเจน เมื่อไม่มีสาหร่ายอาศัยอยู่แล้ว ปะการังเหลือเพียงเนื้อเยื่อใสที่เผยให้เห็นโครงสร้างหินปูนสีขาวที่อยู่ภายใน จึงเป็นที่มาของคำว่า “ปะการังฟอกขาว”
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ของหน่วยเฝ้าระวังแนวปะการัง โนอา ได้เปิดเผยอีกว่าหากน้ำในมหาสมุทรยังคงอุ่นขึ้น ภาวะปะการังฟอกขาวก็จะยิ่งถี่และรุนแรงมากขึ้น และหากปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นรุนแรงและยืดเยื้อยาวนานเกินไป อาจส่งผลทำให้ปะการังตาย สร้างความเสียหายอย่างมากต่อระบบนิเวศในทะเลและส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อผู้คนที่ต้องพึ่งพาแนวปะการังในการดำรงชีวิต
แนวปะการังเป็นระบบนิเวศที่มีความสำคัญอย่างมากในท้องทะเล แม้ว่าแนวปะการังจะครอบคลุมพื้นที่ใต้ทะเลแค่ประมาณ 1% ของพื้นที่ใต้ทะเลทั้งหมด แต่ว่าสิ่งมีชีวิตในทะเลประมาณ 25% ใช้ประโยชน์จากปะการัง ทั้งเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร อนุบาล และที่หลบภัย อีกทั้งยังมีประชากรกว่า 500 ล้านคนบนโลกที่ต้องอาศัยพึ่งพาประโยชน์จากแนวปะการัง มีประมาณการว่ามูลค่าที่ได้จากแนวปะการังทั่วโลกนั้นสูงกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี โดยมาจากอุตสาหกรรมด้านการประมงและการท่องเที่ยว
การฟอกขาวของปะการังที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การดำรงชีวิต ความมั่นคงทางอาหาร และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่หากความเครียดที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดการฟอกขาวลดลงในช่วงเวลาที่ยังไม่สายเกินไป ปะการังก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ใหม่และเป็นที่พึ่งพิงให้แก่สรรพชีวิตบนโลกใบนี้ต่อไป
ที่มา :
- NOAA confirms 4th global coral bleaching event
- SCI UPDATE : ‘ปะการังทนร้อน’ ทางรอดโลกวิกฤติ
- กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ และวัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช. และวัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.