หน้าแรก นาโนเทค สวทช. ใช้ AI พัฒนาเครื่องตรวจชนิดไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ

นาโนเทค สวทช. ใช้ AI พัฒนาเครื่องตรวจชนิดไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ

20 มี.ค. 2568
0
ข่าวประชาสัมพันธ์
นานาสาระน่ารู้
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

นาโนเทค สวทช. ใช้ AI พัฒนาเครื่องตรวจชนิดไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ

 

ไมโครพลาสติกกำลังเป็นภัยเงียบที่คุกคามต่อสุขภาวะของสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างไม่รู้ตัว เพราะพลาสติกชิ้นเล็กจิ๋วที่มีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตรเหล่านี้ สามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านทางการบริโภคอาหารและน้ำดื่ม รวมถึงการสูดดมอนุภาคในอากาศ ก่อนหน้านี้มีการเผยแพร่ข้อมูลว่า มนุษย์อาจบริโภคไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายในปริมาณ 5 กรัมต่อสัปดาห์ หรือเทียบเท่ากับบัตรเครดิต 1 ใบ อีกทั้งล่าสุดผลวิจัยหลายชิ้นตรวจพบ “ไมโครพลาสติกในร่างกายมนุษย์” ปริมาณมาก ทั้งในอุจจาระ เลือด เนื้อเยื่อสมอง หรือแม้แต่รกเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ในระยะยาว

ด้วยเหตุนี้ ทั่วโลกต่างพยายามเร่งศึกษาวิจัยไมโครพลาสติกอย่างจริงจัง เช่น การจำแนกชนิดไมโครพลาสติกเพื่อหาทางลดปริมาณการปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาเครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ ซึ่งมีขนาดเล็ก พกพาได้ และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI)  ในการประมวลผล เพื่อให้ได้ผลตรวจที่ถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว

 

ภาพ ดร.อัศวพงษ์ ทรัพย์พัฒน์ นักวิจัย กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและกระบวนการนาโน นาโนเทค สวทช.
ดร.อัศวพงษ์ ทรัพย์พัฒน์ นักวิจัย กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและกระบวนการนาโน นาโนเทค สวทช.

ภาพทีมวิจัยจากนาโนเทค สวทช.

 

ดร.อัศวพงษ์ ทรัพย์พัฒน์ นักวิจัย กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและกระบวนการนาโน นาโนเทค สวทช. กล่าวว่า ไมโครพลาสติก” เกิดจากเม็ดพลาสติกตั้งต้น (primary microplastics) เช่น เม็ดบีดส์ที่ใช้ในการผลิตและสังเคราะห์ผลิตภัณฑ์พลาสติกประเภทพอลิเอทิลีน (polyethylene: PE), พอลิโพรพิลีน (polypropylene: PP), พอลิสไตรีน (polystyrene: PS) หรือเกิดจากการย่อยสลายของขยะพลาสติกที่ถูกทับถมเป็นเวลานาน และมีการปนเปื้อนสะสมอยู่ในแม่น้ำ ทะเล และมหาสมุทร ทำให้สัตว์น้ำกินเข้าไปและเกิดการส่งต่อในห่วงโซ่อาหาร ปัจจุบันการศึกษาเรื่องไมโครพลาสติกยังไม่แพร่หลายมากนัก เนื่องจากวิธีวิเคราะห์ชนิดไมโครพลาสติกต้องใช้เครื่องมือขนาดใหญ่ เช่น Fourier Transform Infrared Spectroscopy (FTIR) ที่ต้องติดตั้งในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ที่สำคัญต้องนำเข้าจากต่างประเทศ มีราคาแพงหลายล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายในการตรวจวิเคราะห์สูงถึง 1,000 บาทต่อตัวอย่าง

“ทีมวิจัยนาโนเทคนำทีมโดย ดร.จันทร์เพ็ญ ครุวรรณ์ หัวหน้าโครงการ ได้พัฒนาเครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ มีขนาดเล็ก พกพาง่าย วิธีการใช้งานเพียงนำตัวอย่างไมโครพลาสติกมาย้อมสีด้วย สีย้อมฟลูออเรสเซนต์-กราฟีนแบบใหม่” ซึ่งสามารถย้อมไมโครพลาสติกและช่วยให้ติดสีมากขึ้นถึง 4 เท่า จากนั้นนำเข้าเครื่องวัดฯ แสงยูวีจะกระตุ้นไมโครพลาสติกให้เกิดการเรืองแสงเป็นเฉดสีตามชนิดพลาสติก เนื่องจากพลาสติกแต่ละชนิดมีความเป็นขั้วต่างกัน (polarity) ทำให้เห็นสีย้อมต่างกันจึงใช้สีระบุชนิดไมโครพลาสติกได้”

 

ภาพไมโครพลาสติกชนิด PE, PET, PS และ PVC
ไมโครพลาสติกชนิด PE, PET, PS และ PVC
ภาพไมโครพลาสติกชนิด PE, PET, PS และ PVC ที่ผ่านการย้อมสีแล้ว
ไมโครพลาสติกชนิด PE, PET, PS และ PVC ที่ผ่านการย้อมสีแล้ว

 

สำหรับขั้นตอนการวิเคราะห์ผล ทีมวิจัยนำเทคโนโลยีแมชีนเลิร์นนิง (Machine Learning) มาสร้างการเรียนรู้ในการจำแนกภาพ (image classification) อัตโนมัติ ทำให้เครื่องวัดฯ ระบุชนิดและปริมาณของไมโครพลาสติกได้อย่างแม่นยำ เช่น พลาสติกชนิด PE, PP, PET, PS และ PVC และที่สำคัญใช้เวลาประมวลผลเพียง 1 นาที

 

ภาพเครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ
เครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ
ภาพเครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ
เครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ

 

นักวิจัยนาโนเทค สวทช. กล่าวว่า จุดเด่นของเครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ คือ มีขนาดเล็ก เหมาะต่อการตรวจวัดเชิงรุกในพื้นที่ ทำให้ทราบถึงแหล่งขยะพลาสติกที่เป็นต้นตอของไมโครพลาสติกได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญคือเป็นเทคโนโลยีที่ประดิษฐ์ได้เองในประเทศ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งแหล่งน้ำจืด น้ำทะเล และน้ำกร่อย

เครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำที่พกพาได้สะดวก ตรวจง่าย และมีต้นทุนต่ำ จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ตรวจตัวอย่างได้เพิ่มขึ้นและรวดเร็ว ทำให้ทราบว่าไมโครพลาสติกที่พบในแต่ละพื้นที่มีต้นตอมาจากพลาสติกชนิดไหน เช่น ขวดน้ำที่ทำจากพลาสติก PET แก้วน้ำที่ทำจากพลาสติก PP หรือ PS ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนลดปริมาณขยะพลาสติกที่เป็นสาเหตุของการเกิดไมโครพลาสติกได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มการเฝ้าระวังเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพน้ำ รวมถึงลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตได้อย่างยั่งยืน”

 

ภาพอินโฟกราฟิกสรุปจุดเด่นของเครื่องตรวจวัดและระบุชนิดไม่โครพลาสติกในแหล่งน้ำว่าประกอบด้วย 4 ข้อหลัก คือ 1) ระบุชนิดและปริมาณพลาสติก เช่น PE, PP, PET, PS และ PVC ได้ 2) ประมวลผลรวดเร็วและแม่นยำด้วย AI ใช้เวลาแค่ 1 นาที 3) อุปกรณ์ขนาดกระทัดรัดเหมาะกับงานภาคสนาม 4) ผลิตได้ภายในประเทศ ลดการนำเข้าลดราคาค่าอุปกรณ์

 

ปัจจุบันนวัตกรรมเครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำได้ยื่นจดสิทธิบัตร และนำไปสาธิตใช้งานที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน จังหวัดภูเก็ต รวมทั้งเปิดให้ผู้สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีและนำไปใช้ประโยชน์ในการตรวจวัดคุณภาพน้ำ หรือใช้ในกระบวนการควบคุมปริมาณไมโครพลาสติกในพื้นที่ต่าง ๆ

 

ภาพบรรยากาศการลงพื้นที่ใช้เครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำให้กับชุมชน
ภาพบรรยากาศการลงพื้นที่
ภาพไมโครพลาสติกจากตัวอย่างน้ำทะเลจังหวัดภูเก็ต
ไมโครพลาสติกจากตัวอย่างน้ำทะเล จ.ภูเก็ต

 

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามนวัตกรรม เครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ ได้ในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 20 (NAC2025) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 มีนาคม 2568 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ภายในงานยังมีงานสัมมนาวิชาการที่น่าสนใจถึง 40 หัวข้อ และมีนิทรรศการที่จัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมจาก สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรกว่า 100 บูท ดูรายละเอียดและลงทะเบียนร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่ www.nstda.or.th/nac/  หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 2564 8000


เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
อินโฟกราฟิกโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.

แชร์หน้านี้: