ในปี 2562 IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ 63 ประเทศทั่วโลก และได้เผยแพร่ใน IMD World Competitiveness Yearbook 2019 โดยมีผลการจัดอันดับดังนี้
ตารางผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 5 อันดับแรกและประเทศไทย ปี 2561-2562 โดย IMD
ประเทศ | สิงคโปร์ | ฮ่องกง | สหรัฐอเมริกา | สวิตเซอร์แลนด์ | สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | ไทย | ||||||
ปี | 2562 | 2561 | 2562 | 2561 | 2562 | 2561 | 2562 | 2561 | 2562 | 2561 | 2562 | 2561 |
อันดับรวม | 1 | 3 | 2 | 2 | 3 | 1 | 4 | 5 | 5 | 7 | 25 | 30 |
1. สมรรถนะทางเศรษฐกิจ |
5 | 7 | 10 | 9 | 1 | 1 | 23 | 25 | 7 | 3 | 8 | 10 |
1.1 เศรษฐกิจในประเทศ | 8 | 7 | 18 | 20 | 2 | 2 | 6 | 8 | 22 | 22 | 30 | 34 |
1.2 การค้าระหว่างประเทศ | 1 | 2 | 4 | 3 | 16 | 14 | 29 | 34 | 2 | 1 | 6 | 6 |
1.3 การลงทุนระหว่างประเทศ | 5 | 7 | 4 | 3 | 1 | 1 | 18 | 33 | 16 | 10 | 21 | 37 |
1.4 การจ้างงาน | 7 | 8 | 17 | 12 | 6 | 7 | 29 | 27 | 9 | 3 | 3 | 4 |
1.5 ระดับราคา | 58 | 51 | 62 | 61 | 48 | 41 | 57 | 53 | 18 | 25 | 29 | 23 |
2. ประสิทธิภาพของภาครัฐ |
3 | 3 | 1 | 1 | 23 | 26 | 4 | 2 | 2 | 4 | 20 | 22 |
2.1 ฐานะการคลัง | 7 | 3 | 1 | 1 | 50 | 51 | 5 | 4 | 3 | 2 | 16 | 18 |
2.2 นโยบายภาษี | 12 | 13 | 2 | 2 | 13 | 22 | 8 | 9 | 3 | 3 | 6 | 6 |
2.3 กรอบการบริหารด้านสถาบัน | 2 | 3 | 8 | 9 | 22 | 23 | 1 | 1 | 5 | 10 | 34 | 35 |
2.4 กฎหมายด้านธุรกิจ | 2 | 2 | 1 | 1 | 16 | 14 | 12 | 18 | 5 | 11 | 32 | 36 |
2.5 กรอบการบริหารด้านสังคม | 9 | 17 | 20 | 23 | 37 | 34 | 8 | 5 | 18 | 29 | 48 | 45 |
3. ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ |
5 | 11 | 2 | 1 | 11 | 12 | 9 | 9 | 1 | 2 | 27 | 25 |
3.1 ผลิตภาพและประสิทธิภาพ | 9 | 15 | 8 | 10 | 5 | 7 | 10 | 11 | 2 | 2 | 43 | 40 |
3.2 ตลาดแรงงาน | 8 | 10 | 6 | 8 | 26 | 27 | 15 | 23 | 2 | 2 | 9 | 6 |
3.3 การเงิน | 6 | 7 | 1 | 1 | 2 | 4 | 3 | 2 | 16 | 22 | 19 | 24 |
3.4 การบริหารจัดการ | 16 | 18 | 3 | 7 | 18 | 11 | 17 | 13 | 1 | 2 | 27 | 24 |
3.5 ทัศนคติและค่านิยม | 4 | 9 | 3 | 7 | 30 | 27 | 21 | 15 | 2 | 1 | 26 | 17 |
4. โครงสร้างพื้นฐาน | 6 | 8 | 22 | 23 | 1 | 1 | 2 | 2 | 33 | 36 | 45 | 48 |
4.1 สาธารณูปโภคพื้นฐาน | 11 | 7 | 3 | 6 | 12 | 12 | 8 | 10 | 2 | 9 | 27 | 31 |
4.2 โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี | 1 | 2 | 18 | 19 | 6 | 3 | 8 | 9 | 24 | 27 | 38 | 36 |
4.3 โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ | 14 | 17 | 23 | 24 | 1 | 1 | 4 | 3 | 39 | 37 | 38 | 42 |
4.4 สุขภาพและสิ่งแวดล้อม | 23 | 25 | 20 | 23 | 7 | 8 | 1 | 2 | 35 | 46 | 55 | 58 |
4.5 การศึกษา | 2 | 2 | 16 | 18 | 21 | 21 | 9 | 8 | 41 | 44 | 56 | 56 |
สิงคโปร์ได้อันดับ 1 ดีขึ้นกว่าปีก่อน 2 อันดับ รองลงมาคือ ฮ่องกง ยังคงครองอันดับเดิมเหมือนปีที่แล้ว ถัดมาเป็นสหรัฐอเมริกา ซึ่งตกลงมา 2 อันดับจากปีที่แล้วเคยเป็นอันดับ 1 สวิตเซอร์แลนด์ได้อันดับ 4 ในปีนี้ดีกว่าปีที่แล้ว 1 อันดับ อันดับ 5 คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ซึ่งขึ้นมา 2 อันดับจากปีที่แล้ว ส่วนไทยได้อันดับ 25 ดีขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 5 อันดับ
สิงคโปร์ได้อันดับ 1 ในปีนี้เลื่อนอันดับขึ้นกว่าปีก่อน 2 อันดับ เกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นถึง 3 ปัจจัยจากทั้งหมด 4 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับจากอันดับ 7 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 5 ในปีนี้ 2. โดยเฉพาะปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 6 อันดับ ในปีนี้ได้อันดับ 5 จากอันดับ 11 ในปีที่แล้ว 3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ มีอันดับ 6 ในปีนี้ ส่วนอีก 1 ปัจจัยคือ ประสิทธิภาพของภาครัฐ ยังคงรักษาอันดับ 3 ไว้เหมือนปีที่แล้ว ปัจจัยย่อยที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจคือ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศ ปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศ และปัจจัยย่อยการจ้างงานเป็นอันดับ 1, 5 และ 7 ในปีนี้ จากปีที่แล้วได้อันดับ 2, 7 และ 8 ตามลำดับ ในขณะที่ปัจจัยย่อยทั้งหมด (5 ปัจจัยย่อย) มีการเลื่อนอันดับขึ้นทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจมีอันดับเลื่อนขึ้นมาก โดยเฉพาะปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพ และปัจจัยย่อยทัศนคติและค่านิยมมีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 6 และ 5 อันดับจากอันดับ 15 และ 9 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 9 และ 4 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ และปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมีผลต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน โดยปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีเลื่อนอันดับขึ้นจากอันดับ 2 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 1 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เลื่อนอันดับขึ้นจากอันดับ 17 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 14 ในปีนี้ และปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเลื่อนอันดับขึ้นเป็นอันดับ 23 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 25
ฮ่องกงยังคงครองอันดับ 2 เหมือนปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการยังคงรักษาอันดับ 1 ไว้ได้ของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ และปีนี้ได้อันดับ 2 ถึงแม้จะเลื่อนอันดับลง 1 อันดับจากปีที่แล้วของปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ส่วนอีก 2 ปัจจัยได้แก่ ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับเลื่อนลง 1 อันดับเป็นอันดับ 10 ในปีนี้ และปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานมีอันดับดีปานกลางทั้งปีนี้และปีที่แล้วโดยได้อันดับ 23 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 22 การยังคงรักษาอันดับไว้เหมือนเดิมได้ของปัจจัยย่อยฐานะการคลัง ปัจจัยย่อยนโยบายภาษี และปัจจัยย่อยกฎหมายด้านธุรกิจที่อันดับ 1, 2 และ 1 ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐยังคงรักษาอันดับ 1 ไว้ได้ ถึงแม้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานมีอันดับดีปานกลางทั้งปีนี้และปีที่แล้ว แต่มี 1 ปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีมากคือ สาธารณูปโภคพื้นฐานมีอันดับ 6 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 3
ถึงแม้สหรัฐอเมริกามีอันดับรวมตกลงมาจากอันดับ 1 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 3 ในปีนี้ แต่ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจและปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานยังคงครองอันดับ 1 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว ปัจจัยย่อยที่ส่งผลให้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจยังคงครองอันดับ 1 ไว้ได้คือ ปัจจัยย่อยเศรษฐกิจในประเทศและปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศที่ยังครองอันดับ 2 และ 1 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว ตามลำดับ ส่วนปัจจัยย่อยที่ทำให้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานยังคงครองอันดับ 1 ไว้ได้คือ ปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐาน ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ และปัจจัยย่อยการศึกษาที่ยังคงครองอันดับ 12, 1 และ 21 ไว้เหมือนเดิมกับปีที่แล้ว ตามลำดับ
สวิตเซอร์แลนด์ได้อันดับ 4 ในปีนี้ เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับจากปีที่แล้ว เนื่องจากปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจเลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับจากอันดับ 25 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 23 ในปีนี้ ในขณะที่ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจยังคงรักษาอันดับ 2 และ 9 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว ตามลำดับ และปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐเลื่อนอันดับลง 2 อันดับ จากอันดับ 2 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 4 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศและปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศมีผลอย่างมากต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ โดยปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศเลื่อนอันดับขึ้น 5 อันดับ เป็นอันดับ 29 ในปีนี้ และปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศเลื่อนอันดับขึ้นถึง 15 อันดับ เป็นอันดับ 18 ในปีนี้
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้อันดับ 5 ในปีนี้ดีขึ้นจากปีที่แล้ว 2 อันดับ เนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นถึง 3 ปัจจัยได้แก่ 1. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐเลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับจากอันดับ 4 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 2 ในปีนี้ 2. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับจากอันดับ 2 ในปีที่แล้วส่วนปีนี้ได้อันดับ 1 3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานเลื่อนอันดับขึ้น 3 อันดับจากอันดับ 36 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 33 ในปีนี้ ส่วนที่เหลืออีก 1 ปัจจัยคือ ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจเลื่อนอันดับลง 4 อันดับจากอันดับ 3 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 7 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ทำให้เกิดการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐคือ ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน ปัจจัยย่อยกฎหมายด้านธุรกิจ และปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสังคมที่เลื่อนอันดับขึ้น 5, 6 และถึง 11 อันดับจากอันดับ 10, 11 และ 29 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 5, 5 และ 18 ในปีนี้ ตามลำดับ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยการเงินและปัจจัยย่อยการบริหารจัดการ 6 และ 1 อันดับเป็นอันดับ 16 และ 1 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเลื่อนอันดับขึ้น ปัจจัยย่อยหลักที่ทำให้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานเลื่อนอันดับขึ้นได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐานเลื่อนอันดับขึ้น 7 อันดับจากอันดับ 9 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 2 ในปีนี้ 2. ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเลื่อนอันดับขึ้นถึง 11 อันดับจากอันดับ 46 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 35 ในปีนี้
คงเป็นข่าวดีมากของไทยที่เลื่อนอันดับรวมขึ้นถึง 5 อันดับจากอันดับ 30 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 25 ในปีนี้ เนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นถึง 3 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ และปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน จากอันดับ 10, 22 และ 48 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 8, 20 และ 45 ในปีนี้ ตามลำดับ ในขณะอีก 1 ปัจจัยคือ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเลื่อนอันดับลง 2 อันดับจากอันดับ 25 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 27 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ส่งผลอย่างมากต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจคือ ปัจจัยย่อยเศรษฐกิจในประเทศและปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศที่เลื่อนอันดับขึ้น 4 และถึง 16 อันดับจากอันดับ 34 และ 37 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 30 และ 21 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศเป็นปัจจัยย่อยที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมากที่สุดในบรรดาปัจจัยย่อยทั้งหมด ส่วนปัจจัยย่อยที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐได้แก่ ปัจจัยย่อยฐานะการคลัง ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน และปัจจัยย่อยกฎหมายด้านธุรกิจที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 2, 1 และ 4 อันดับจากอันดับ 18, 35 และ 36 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 16, 34 และ 32 ในปีนี้ ตามลำดับ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐาน ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ และปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมทำให้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานมีอันดับเลื่อนขึ้น โดยปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐานและปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เลื่อนอันดับขึ้น 4 อันดับจากอันดับ 31 และ 42 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 27 และ 38 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเลื่อนอันดับขึ้น 3 อันดับจากอันดับ 58 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 55 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับลงอย่างมากถึง 9 อันดับจากอันดับ 17 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 26 ในปีนี้ของปัจจัยย่อยทัศนคติและค่านิยม ทำให้เป็นปัจจัยย่อยที่มีการเลื่อนอันดับลงมากที่สุดในบรรดาปัจจัยย่อยทั้งหมด ส่งผลอย่างมากต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีมากในปีนี้ได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศได้อันดับ 6 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว อยู่ภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ 2. ปัจจัยย่อยการจ้างงานได้อันดับ 3 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 4 อยู่ภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ 3. ปัจจัยย่อยนโยบายภาษียังครองอันดับ 6 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว อยู่ภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ 4. ปัจจัยย่อยตลาดแรงงานมีอันดับ 9 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 6 อยู่ภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ปัจจัยย่อยที่มีอันดับไม่ค่อยดีในปีนี้ต้องได้รับการพัฒนาอย่างมากพบเพียงในปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้อันดับ 55 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 58 2. ปัจจัยย่อยการศึกษายังคงครองอันดับ 56 ไว้เหมือนปีที่แล้ว
ถึงแม้ไทยจะเลื่อนอันดับขึ้นในปีนี้ถึง 5 อันดับ เป็นอันดับ 25 ในปีนี้ แต่เป็นอันดับระดับดีปานกลาง ทำให้ไทยต้องพัฒนาในอีกหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และด้านการศึกษาที่ได้อันดับต่ำมากในปีนี้และปีที่แล้วดังที่กล่าวมาแล้ว เพื่อในปีหน้าไทยจะเลื่อนอันดับขึ้นมาก