Thomson Reuters World IP today ได้จัดทำรายงานเรื่อง Patented in China: The present and future state of innovation in china เมื่อเดือนตุลาคม 2010 เป็นเรื่องที่น่าสนใจ จึงขอถ่ายทอดและสรุปสาระสำคัญคือ เศรษฐกิจของประเทศจีนได้เคลื่อนย้ายจุดสำคัญจากภาคการเกษตรแบบดั้งเดิม และอุตสาหกรรมการผลิตไปในทิศทางที่ไปสู่กิจกรรมนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น
บทนำ
เมื่อปี 2008 กรุงปักกิ่ง ได้จัดกีฬาระดับโลกโอลิมปิกเกมส์ได้อย่างยอดเยี่ยมที่ผ่านมาประเทศจีนมีการเจริญเติบโตที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วมาก ทั่วโลกต่างจับตามองอย่างอยากรู้อยากเห็น
การปฏิรูปเศรษฐกิจของจีน เริ่มในปี 1987 ต่อมาได้เห็นผลปรากฎออกมาจากประเทศที่ยากจนกำลังพัฒนากลายมาเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจเป็นอันดับที่ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา ทั้งในแง่ความเท่าเทียมกันในกำลังซื้อและในแง่ GDP และเมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้กระตุ้นส่งเสริมให้ประเทศนำระบบนวัตกรรมมาใช้ด้วยหลายๆ มาตรการ เช่น
- การเพิ่มงบประมาณการวิจัยพัฒนาของประเทศ (increased overall R&D budget)
- ใช้ระบบหักลดภาษี (introduced tax breaks)
- ระบบแรงจูงใจทางการเงินเพื่อเพิ่มนวัตกรรมท้องถิ่น (Monetary incentives to increase indigenous innovation)
- ลงทุนสถาบันวิชาการของประเทศ (Investing in the nation’s academic institutions)
ซึ่งมาตรการเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนเบื้องหลังกิจกรรมสิทธิบัตรของจีน ขณะนี้ระบบกฎหมายสิทธิบัตรของจีนมีอายุได้ 25 ปี หลังจากเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อปี 1985 ขณะนี้ สำนักงานสิทธิตรจีนได้กลายเป็น สำนักงานใหญ่อันดับที่ 3 ของโลกที่มีการรับการยื่นขอจดสิทธิบัตรรองจากสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น
ในช่วงปี 2003 ถึง 2007 จีนมีค่า GDP เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 9.75/ปี ในขณะที่จำนวนการยื่นขอจดสิทธิบัตรเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 28.4 ต่อปี หากแนวโน้มยังเป็นเช่นนี้ต่อไป จีนจะกลายเป็นผู้นำในกิจกรรมสิทธิบัตรของโลกในอนาคตอันใกล้นี้ รายงานนี้เป็นการนำเสนอแนวโน้มกิจกรรมสิทธิบัตรของจีน และจินตนาการถึงว่าสารสนเทศสิทธิบัตรของโลกจะมีภาพเป็นอย่างๆรในช่วง 5 ปีต่อไปนี้
สมรรถภาพในอดีต
สำนักงานสิทธิบัตร 5 แห่งที่สำคัญของโลกได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป เกาหลีใต้ และ จีน คิดรวมแล้วมีการยื่นจำนวนสิทธิบัตรราวร้อยละ 75 ของโลก และมีการอนุมัติสิทธิบัตรราวร้อยละ 74 ของทั่วโลก
การวิเคราะห์จำนวนสิทธิบัตรช่วง 5 ปี ที่ผ่านมาจาก 5 สำนักงานข้างต้นนั้นพบว่าจีนมีการเติบโตในอัตราที่เร็วมากที่สุด
หน่วยนับที่ใช้วัด (attributes) ในการศึกษาครั้งนี้ของ Thomson Reuters ได้แก่
- ค่า Total volume of patents
หมายถึงจำนวนรวมของสิทธิบัตรที่มีการยื่นที่ประเทศตนเองก่อน และต่อมามีการยื่นในประเทศอื่นๆ อีกเพื่อป้องกันการผลิต ที่เรียกว่า equivalent
- ค่า Basic patent volume
หมายถึงจำนวนสิทธิบัตรที่ประดิษฐ์คิดค้นด้วยพลเมืองของประเทศนั้น และมีการยื่นจดครั้งแรกในประเทศ
- Ratio of basic of total volume
สัดส่วนระหว่างจำนวนสิทธิบัตรที่ยื่นในประเทศครั้งแรกกับจำนวนที่ไปยื่นในประเทศอื่นๆ ต่อ
ในการศึกษานี้ใช้ข้อมูลดิบจำนวนสิทธิบัตร เปรียบเทียบ 5ประเทศหลัก คือ สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และ จีน จากฐานข้อมูล Thomson Reuters : Derwent World Patent Index
Total Patent Volume 2003-2009
JP | มีจำนวนสูงสุด | 4.6 ล้านเรื่อง | ร้อยละ 35 |
US | มีจำนวน | 3.5 ล้านเรื่อง | ร้อยละ 27 |
CN | มีจำนวน | 1.8 ล้านเรื่อง | ร้อยละ 14 |
EP | มีจำนวน | 1.5 ล้านเรื่อง | ร้อยละ 12 |
KR | มีจำนวน | 1.5 ล้านเรื่อง | ร้อยละ 12 |
Basic Patent Volume 2003-2009
JP | มีจำนวนสูงสุด | 4.6 ล้านเรื่อง | ร้อยละ 35 |
US | มี จำนวน | 3.5 ล้านเรื่อง | ร้อยละ 27 |
CN | มีจำนวน | 1.8 ล้านเรื่อง | ร้อยละ 14 |
EP | มีจำนวน | 1.5 ล้านเรื่อง | ร้อยละ 12 |
KR | มี จำนวน | 1.5 ล้านเรื่อง | ร้อยละ 12 |
Basic/Total Patent Volume Ratios
Ratio of Basic/Total | 2003 | 2004 | 2005 | 2006 | 2007 | 2008 | 2009 | Average |
|
59.4% | 58.2% | 55.9% | 54.2% | 49.6% | 46.4% | 43.6% | 52.5% |
|
47.8% | 43.0% | 48.6% | 46.1% | 47.0% | 45.8% | 41.9% | 45.8% |
|
19.2% | 20.3% | 20.2% | 18.1% | 18.0% | 14.5% | 15.7% | 18.0% |
|
46.5% | 45.6% | 44.1% | 41.2% | 42.7% | 47.0% | 54.4% | 45.9% |
|
32.7% | 30.2% | 36.3% | 37.7% | 40.6% | 44.2% | 43.3% | 37.9% |
นโยบายของรัฐบาลและบทบาทในเรื่องนวัตกรรม
- งบประมาณวิจัยและพัฒนา (R&D Budget)
รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนวางแผนที่จะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยวิทยาศาสตร์และพัฒนาให้เพิ่มอย่างรวดเร็วโดยมีเป้าหมายให้เป็นร้อยละ 2.5 ของ GDP ในปี 2020 โดยเมื่อเปรียบเทียบกับปี 1996 ลงทุนเพียงร้อยละ 0.6 ของ GDP และในปี 2006 ลงทุนร้อยละ 1.4 ของ GDP
ในเวลาเดียวกันจีนมีแผนนโยบายเศรษฐกิจของประเทศที่มีเป้าหมายให้มีการเติบโตของ GDP ในอัตราที่
มากกว่าร้อยละ 7.5 ในทุกๆ ปี จนถึงปี 2010 และเป็นร้อยละ 7.0 จนถึงปี 2020 นี้เป็นผลให้เกิดความสัมพันธ์ในทางบวกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ระหว่างจำนวนการยื่นขอสิทธิบัตรกับค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา
การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และการส่งเสริมค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างเป็นอิสระจะเป็นเชื้อเพลิงที่กระตุ้นระบบนวัตกรรมของประเทศอย่างต่อเนื่อง
- ระบบการเงินและภาษี (Tax and Financing)
รัฐบาลจีนอนุญาตให้มีการขอหักลบภาษี (tax deduction) สำหรับค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนารวมถึงมีการให้เพิ่มการขอกู้เงินจากรัฐบาล (lending) และ ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (discounted interest rates) ซึ่งแน่นอนทั้ง 3 มาตรการนี้มีส่วนผลักดันให้จีนมีสถิติในสิทธิบัตรอย่างน่าทึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วและจะเพิ่มมากขึ้นต่อไปอีกในปีต่อๆ ไป
- นวัตกรรมของท้องถิ่นและมาตรฐานเทคโนโลยี (Indigenous innovation and Technology Standard)
นายกรัฐมนตรีจีน นาย Weu Jiabao ได้กล่าวว่า “เทคโนโนโลยีหลักไม่สามารถซื้อขายกันได้ มีวิธีเดียวคือต้องมีความสามารถอย่างเข้มแข็งในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้วยการได้มาในสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาของเราเอง ซึ่งเราสามารถส่งเสริมความสามารถการแข่งขันและได้รับการยอมรับนับถือจากสังคมนานาชาติได้”
นโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน กระตุ้นส่งเสริมนวัตกรรมดั้งเดิมของท้องถิ่น (indigenous innovation) เพื่อปรับปรุงความสามารถในการสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศเอง และเพื่อลดความเชื่อถือในเทคโนโลยีต่างประเทศที่มีมากมายในปัจจุบัน การคิดสร้างสรรค์เทคโนโลยีนวัตกรรมภายในประเทศเองช่วยให้เกิดการจ่ายค่าสิทธิแก่ผู้ประดิษฐ์ภายในประเทศโดยตรง
ขณะนี้รัฐบาลได้เริ่มมีการเข้าจัดการในอุตสาหกรรมต่างๆ คือ โทรคมนาคม อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมถึง โทรศัพท์เซลลูล่าห์ โทรศัพท์ดิจิทัล ชิปคอมพิวเตอร์ วิดีโอดิสก์ กล้องถ่ายรูปดิจิทัลและเครือข่ายในยุคใหม่
บทบาทของรัฐบาลในภาคส่วนวิชาการและวิสาหกิจ (Government role in Academia and Enterprise)
เกือบทั้งหมดของภาคส่วนวิชาการที่สำคัญของประเทศอันได้แก่ มหาวิทยาลัย วิทยาลัย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ ขึ้นโดยตรงกับรัฐบาล จากการศึกษาของ Thomson พบว่า ภาคส่วนวิชาการของจีนเป็นส่วนสำคัญยิ่งที่มีสัดส่วนจำนวนการยื่นขอสิทธิบัตรสูงมากกว่าภาคส่วนอื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 16 ในขณะที่เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ คือ ญี่ปุ่น มีเพียงร้อยละ 1 สหรัฐอเมริกา ร้อยละ 4 เกาหลีใต้ ร้อยละ 2 ส่วนประเทศที่มีความคล้ายคลึงกับประเทศจีนในประเด็นนี้คือ ประเทศรัสเซีย โดยทั้ง 2 ประเทศปกครองแบบมีศูนย์รวมอำนาจตรงกลาง ซึ่งในการคัดเลือกโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการให้ทุน เป็นอำนาจและการควบคุมจากรัฐบาลกลางโดยตรง
นอกจากนี้รัฐบาลยังมีบทบาทสำคัญและชี้นำรัฐวิสาหกิจต่างๆ ในปี 2007 รัฐบาลลงทุนให้แก่วิสาหกิจส่วนกลางที่เป็นของรัฐจำนวน 150 แห่ง เป็นจำนวนเกือบ 100 พันล้านหยวน (14.27 พันล้าน USD) คิดเป็นร้อยละ 27 ของงบประมาณการวิจัยและพัฒนาของประเทศร้อยละ 27
แรงจูงใจทางการเงิน (Menetary Incentive)
รัฐบาลให้เงินอุดหนุนแก่นักประดิษฐ์นิติบุคคลภายในประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน หน่วยงานของรัฐในส่วนจังหวัดหรือเมืองใหญ่ๆ ส่วนใหญ่กระตือรือร้นที่จะบรรลุเป้าหมายของรัฐบาลส่วนกลางที่มักจัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มเติมให้บ่อยๆ และคืนเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ กลับให้เพื่อการกระตุ้นการยื่นสิทธิบัตรในขณะที่รัฐบาลส่วนท้องถิ่นอาจจะอนุมัติทุนอุดหนุนให้อีกร้อยละ 50 ถือว่าเป็นแรงจูงใจที่สำคัญ
มองไปข้างหน้า (Looking forward)
Thomson ทำนายเรื่องภูมิทัศน์สิทธิบัตรของจีนด้วยการใช้ข้อมูลค่าเฉลี่ยอัตราการเติบโตของจีนแบบรายปีของปี 2003-2009 และฉายภาพแบบเส้นตรงเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ โดยจีนได้กำหนดให้ล้ำหน้ากับสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่นในปี 2011
Average Annual Patent Growth Rates
Region | Average total Volume Annual Growth Rate (2003-2009) |
Average basic Volume Annual Growth Rate (2003-2009) |
JP | 1.0% | -3.7% |
US | 5.5% | 4.0% |
EP | 4.0% | -2.1% |
KR | 4.8% | 7.5% |
CN | 26.1% | 31.6% |
แรงขับเคลื่อนเบื้องหลังของการเพิ่มขึ้นของสิทธิบัตรของจีน
การยื่นขอสิทธิบัตรในประเทศ และ ต่างประเทศ
สำนักงานสิทธิบัตรของจีน (State Intellectual Property Office, SIPO) ได้รายงานว่าจีนมีสิทธิบัตรทั้ง 2 ประเภท ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยที่สิทธิบัตรในประเทศมีอัตราเพิ่มมากกว่า โดยที่มีค่าแตกต่างระหว่าง 2 ประเภท กว้างมากขึ้นทุกปีและในปี 2003 เริ่มมีความแตกต่างกัน
ในปี 2006 สาธารณรัฐประชาชนจีน กำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศซึ่งเป็นแผนที่ 11 รัฐบาลจีนเน้นความสนใจในเรื่องของนวัตกรรมร่วมกับความปรองดองของสังคม สิ่งแวดล้อม ความสมดุลของเศรษฐกิจระดับมหภาค การควบคุมการตลาด
ส่วนแผนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เชื่อมต่อกับเป้าหมายที่ทะเยอทะยานที่จะให้จีนเป็นสังคมที่มีตำแหน่งด้านนวัตกรรม (innovation – oriented society) ในปี 2020 จีนได้ขยายจำนวนการยื่นขอสิทธิบัตรในต่างประเทศแสดงข้อมูลในตาราง
Patent |
Oversea Invention Application by China 2008 |
Increase from 2007 by China |
Increase from 2007 by all Application |
WIPO | 6,126 | 12.1% | 2.1% |
US | 4,455 | 14.1% | 5.1% |
EP | 1,503 | 33.5% | 17.7% |
JP | 772 | 15.9% | 2.3% |
ในปี 2008 จีนทำการขอยื่นจดสิทธิบัตรที่สำนักงาน WIPO เป็นจำนวนสุงสุด WIPO บริหารจัดการด้วยระบบ PCT ซึ่งเป็นเส้นทางที่สามารถขอยื่นจดในประเทศที่เป็นสมาชิกได้พร้อมๆ กันในหลายๆ ประเทศ โดยบริษัทของจีนที่ชื่อ Huawel Technologies เป็นบริษัทที่ทำการยื่นจดที่ WIPO เป็นจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ยังถือว่าเป็นจำนวนน้อย คือ อเมริกาทำการยื่นต่อ WIPO ในปี 2008 มากถึง 51,673 คำขอ ส่วนจีนมีจำนวนเพียง 6,126 คำขอ
จีนเคลื่อนย้ายเทคโนโลยีที่สำคัญ
อัตราการเพิ่มขึ้นในจำนวนสิทธิบัตรของจีนดูเหมือนไปในทิศทางขนานกับประเทศสำคัญอื่นๆ ในแง่ประเภทเทคโนโลยี จากข้อมูลสถิติของสำนักงาน WIPO ในปี 2007 พบว่าจีนประดิษฐ์เทคโนโลยีหลักอันได้แก่
จัดอันดับของโลก | |
Information technology | ที่ 5 |
Audio-visual technology | ที่ 4 |
Electrical devices, Electrical | ที่ 4 |
Consumer goods & equipment | ที่ 5 |
Analysis, Measurement Control | ที่ 5 |
Agriculture & food | ที่ 7 |
Telecom | ที่ 5 |
Chemical engineering | ที่ 2 |
เทคโนโลยี 5 อันดับแรกของจีน
Year |
Top 5 Fields |
Patent Applications |
1998 |
Natural Products & Polymers
Digital computers Telephone & data Transmission system Broadcasting, Radio & Line Transmission system Audio/Video Recording & System |
2,864 2,161 2,067 1,986 1,592 |
2008 |
Digital Compute
Telephone & Data transmission system Broadcasting, Radio & Line Transmission system Natural Products & Polymers Electro-(in) organic Materials |
44,588 29,510 19,750 17,250 17,107 |
สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาทางเลือกของจีน (Alternative IP rights in China)
อัตราการขอยื่นจดสิทธิบัตรในจีนมีมากขึ้นเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 24 ต่อปี ตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา เมื่อปี 2009 มีการยื่นขอจดสิทธิบัตรที่ SIPO มากกว่า 3.1 แสนเรื่อง นั้นยังเป็นเรื่องราวที่ยังไม่จบสมบูรณ์ลง
นยังมีระบบการป้องกันทางเลือก (Alternative Protection) ที่เปิดให้บริการแก่นักประดิษฐ์โดยผ่านช่องทางชื่อ Chinese Utility model patents นี้เป็นการจัดบริการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างยิ่งสำหรับนักประดิษฐ์ท้องถิ่นมีการขอยื่นจดมากเป็นหลัก 3 แสนเรื่อง คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 18 ต่อปี เฉพาะปี 2009 มีอัตราการเพิ่มถึงร้อยละ 37
ระบบสิทธิบัตรในจีนมี 3 ประเภท คือ
Invention patents / Utility model patents / Design patents โดยแต่ละประเภทมีรายละเอียดดังนี้
- Invention patents เป็นระบบปกป้องคุ้มครองให้แก่สิ่งประดิษฐ์ที่ยื่นขอที่เป็นลักษณะการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคใหม่ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ / ขบวนการ หรือการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น รัฐให้สิทธิคุ้มครอง 20 ปี ตั้งแต่วันที่ยื่นขอและมีการตรวจสอบความใหม่อย่างเป็นสาระสำคัญ
- Utility model patents (หรือเป็นระบบ petty patent ของประเทศอื่น) เป็นระบบการให้สิทธิคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์ที่มีความใหม่ในเชิงเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับรูปร่าง และหรือโครงสร้างของผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถปฏิบัติตามได้ รัฐให้ความคุ้มครองเป็นเวลา 10 ปี ตั้งแต่วันที่ยื่นขอและไม่มีการตรวจสอบความใหม่
- Design patents เป็นระบบให้ความคุ้มครองการออกแบบในรูปร่าง รูปแบบ การรวมกัน (เช่น ส่วนผสม สี กับ รูปร่าง รูปแบบ) ผลิตภัณฑ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาที่ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นศิลปะที่สุนทรียศาสตร์ และเหมาะที่จะประยุกต์กับอุตสาหกรรม รัฐให้ความคุ้มครอง 10 ปี
ปริมาณและคุณภาพของสิทธิบัตรจีน (Patent quality VS. quality)
บทความหนึ่งในวารสารชื่อดัง Financial Times กล่าวว่าจำนวนตัวเลขการขอยื่นจดสิทธิบัตรของจีนสะท้อนถึงการณรงค์อย่างมากของรัฐบาล (Concerted government campaign) ที่ชักชวนบริษัทของจีนให้ใช้ระบบปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาด้วยกฎหมาย รวมถึงรัฐบาลได้ช่วยอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการยื่นขอนี้เป็นปัจจัยสำคัญ เป็นการขยายตัวแบบปลอมๆ จึงทำให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพย์สินทางปัญญา Chen Naiwei แห่งมหาวิทยาลัย Shanghai Jiaotong ให้ความเห็นว่ามีเหตุผลมาจากหน่วยงานรัฐในท้องถิ่นได้จัดบริการให้ค่าธรรมเนียมในการยื่นจดแก่วิสาหกิจและสถาบันวิทยาศาสตร์ สิทธิบัตรจีนที่ยื่นขอจดส่วนใหญ่เป็นเรื่องการออกแบบใหม่ (new design appearance or new model) ที่ไม่ได้ใช้ความรู้ทางเทคนิคขั้นสูง Utility model patent เป็นที่ยอดนิยมมากเพราะการจัดเตรียมเอกสารยื่นของ่ายและสะดวกรวดเร็วมากกว่า ดังนั้นสิทธิบัตรประเภทนี้จึงมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน
ที่สำนักงานสิทธิบัตรจีน SIPO มีผู้ตรวจสอบมากกว่า 2,000 คน ที่ผ่านการฝึกอบรมมาจากสำนักงาน EPO โดยจัดฝึกอบรมปีละ 60 คน เมื่อกลางปี 1990s SIPO ได้นำระบบ EPOQUE มาใช้ซึ่งคือฐานข้อมูลสากลที่ช่วยในการยื่นขอแบบอัตโนมัติทางออนไลน์
คุณภาพของสิทธิบัตรการประดิษฐ์สามารถประเมินด้วยค่าอัตราการเปลี่ยนแปลงจากเอกสารสิทธิบัตรประเภทยื่นขอที่กลายเป็นเอกสารสิทธิบัตรที่ได้รับอนุมัติ ด้วยวิธีการวัดนับจำนวนสิทธิบัตรที่ยื่นขอในแต่ละปี (filing year) และนับจำนวนอย่างมีสาระสำคัญ กลายเป็นสิทธิบัตรที่ได้รับอนุมัติ (grants) ตัวอย่างในปี 2000 จีนมีการ filing 56,392 เรื่องกลายเป็น application 22,756 เรื่อง คิดเป็นสัดส่วนเปลี่ยนแปลง = ร้อยละ 40.4
เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ อัตราการปรับเปลี่ยนจากการยื่นขอเป็นอนุมัติช้ากว่าอัตราในยุโรป สหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม SIPO รายงานว่าคุณภาพของสิทธิบัตรจีนมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างช้าๆ
บทสรุป
สาธารณรัฐประชาชนจีนกลายเป็นดินแดนที่มีระดับสุดยอด เมื่อไตรมาสที่ 2 ของปี 2010 จีนได้ล้ำหน้าญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการกลายเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากอเมริกา ด้วยค่า GDP ที่ 1.33 แสนล้านเหรียญอเมริกา และยังแซงหน้าผ่านประเทศเยอรมนี เมื่อปี 2009 กลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก จีนยังเป็นประเทศผู้บริโภคพลังงานสูงสุด ประชาชนจีนซื้อรถยนต์ถึง 1.3 พันล้านคน
ข้อมูลที่แสดงมานี้ได้ให้ความชัดเจนอย่างยิ่งในการเจริญเติบโตของจีน ได้เห็นถึงวิวัฒนาการอย่างเป็นระบบของเศรษฐกิจของจีน บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น General Motor, General Electronic (GE), Siemen ได้เข้าไปจัดตั้งฐานการวิจัยและพัฒนาในประเทศจีนแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ที่มีวัฒนธรรมในการสร้างนวัตกรรมอย่างเข้มข้น ที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วและเป็นไปตามเป้าหมายแบบมีเอกภาพ
จากฐานข้อมูลการทำนายด้วยหลักทางคณิตศาสตร์นั้น เป็นที่ชัดเจนว่าจีนจะเป็นผู้นำนวัตกรรมของโลกในอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน
เอกสารอ้างอิง
Thomson Reuters. “Patentd in China : The present and future state of innovation in china” By Eve.Y. Zhou and Bob Stembridge – October 2010. Available at http://thomsonreuters.com/news_ideas/white_papers/?itemId=25763
แปลและเรียบเรียงโดย รังสิมา เพ็ชรเม็ดใหญ่
ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
วันที่ 31 มกราคม 2554