ตอนที่แล้วได้นำเสนอ 3 ปัจจัยขับเคลื่อนพฤติกรรมผู้บริโภคในปี 2030 จากรายงานของ Gabrielle Lieberman บริษัท Mintel ตอนนี้ขอเสนออีก 4 ปัจจัย เพื่อทำความรู้จักและเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภค ได้แก่ สิทธิ ตัวบุคคล คุณค่า และ ประสบการณ์ เพื่อการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
สิทธิ
Cancel culture หรือ Call-out culture (การคว่ำบาตรหรือการเลิกสนับสนุนคนที่มีชื่อเสียงโดยกลุ่มคนจำนวนมาก เนื่องจากการกระทำที่น่าสงสัยหรือการแสดงความเห็นที่ไม่เหมาะสมลงบนโซเชียลมีเดีย กำลังเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกว่าตนเองมีอำนาจมากขึ้น นอกจากนี้ แนวคิดที่คำนึงว่าคนเป็นศูนย์กลาง ได้ให้อำนาจแก่คนในการควบคุมวิธีการรวบรวมและการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลของตน โดยคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปี ข้างหน้า ผู้บริโภคจะเบื่อหน่ายกับ Cancel culture หรือ Call-out culture ที่ไม่มีวันจบสิ้น ผลที่ตามมาคือบริษัทและแบรนด์ต่างๆ จะมีพลังเสียงอีกครั้ง นอกจากนี้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจากแพลตฟอร์มสู่ตัวบุคคล การควบคุมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมและการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจะอยู่ในมือของผู้บริโภค
สิ่งที่คาดหวังในปี 2030
- การแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคลจะอยู่ใต้การควบคุมของผู้บริโภค
- ผู้บริโภคต้องการเสรีภาพในตัวตน วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และระบบนิเวศ
- เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพและความสำเร็จในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
กลยุทธ์ที่จะประสบความสำเร็จในปี 2030
- แบรนด์จำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะส่งมอบสัมผัสที่เป็นส่วนตัวแก่ผู้บริโภคมากขึ้น
- ผู้บริโภคยินดีที่จะให้เข้าถึงข้อมูลของตนเองกับการทำธุรกรรมที่มีความคุ้มค่า ดังนั้นแบรนด์ต้องแสดงให้ผู้บริโภคเห็นถึงความคุ้มค่าดังกล่าว
ตัวตนบุคคลหรือเอกลักษณ์
ผู้บริโภคกำลังเคลื่อนห่างจากคำจำกัดความที่เข้มงวดของเพศ เชื้อชาติ และชาติพันธุ์ อีกทั้ง ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนว่าตนเองสูญเสียความเป็นตัวตน ความรู้สึกโดดเดี่ยวถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชนมากขึ้น
สิ่งที่คาดหวังในปี 2030
- ชื่อเรียกเพศที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจะเกิดขึ้น
- สถานที่ทำงานจะมีการปรับให้เข้ากับสภาวะ non-binary คือ การไม่ได้จำกัดแค่เพศชายหรือหญิง
- การใช้หุ่นยนต์อย่างกว้างขวางเพื่อลดความวิตกกังวลและกระตุ้นการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
- ผู้คนเลือกอยู่อาศัยด้วยกันจากความคิดและงานอดิเรกที่ร่วมกัน
กลยุทธ์ที่จะประสบความสำเร็จในปี 2030
Gen Z เป็นผู้นำในการกำหนดบรรทัดฐานตัวบุคคล แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในปี 2030 จะต้องเปิดกว้างเพื่อตอบสนองความหลากหลาย การค้นหาวิธีแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีเพื่อช่วยต่อสู้กับความเหงา นอกจากนี้ ผู้บริโภคมองว่าการซื้อสินค้าและบริการของตนเป็นการแสดงออกถึงตัวตนของตนเอง ดังนั้นแบรนด์ที่จะประสบความสำเร็จไม่เพียงแต่พยายามที่จะปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค แต่ต้องหาวิธีที่จะรวมสินค้าและบริการของตนเข้ากับกระบวนการสำรวจตัวตนของผู้บริโภค
คุณค่า
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในปัญหาของสังคมสมัยใหม่ ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการบริโภคของตัวเองและมองหาการเปลี่ยนแปลงในวันนี้ที่นำไปสู่อนาคตที่ดีกว่า การซื้อสินค้าที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผู้บริโภคกำลังค้นหาสินค้ามือสองที่ราคาไม่แพงเพิ่มมากขึ้นซึ่งนำไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจมือสอง ในขณะที่ผู้บริโภคกำลังมองหาวิธีการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น ก็ยังต้องการบางสิ่งที่ไม่เหมือนใครสำหรับตนเอง คาดการณ์ว่าในอีก 10 ปี ข้างหน้า ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญการบริโภคที่ช้าลง โดยเน้นความทนทาน การป้องกัน และการใช้งาน
สิ่งที่คาดหวังในปี 2030
- ผู้บริโภคยอมรับคุณค่าความคิดสร้างสรรค์ งานฝีมือ และผลิตภัณฑ์ของแท้ คุณภาพ และความทนทาน
- การใช้จ่ายของผู้บริโภคมุ่งเน้นไปที่ประโยชน์สาธารณะมากกว่าการผูกขาดส่วนตัว
- Slow life กลายเป็นสถานะในอุดมคติ
- เศรษฐกิจการแบ่งปันบังคับให้นักวางผังเมืองมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้แนวคิดของการแบ่งปัน
กลยุทธ์ที่จะประสบความสำเร็จในปี 2030
- ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับความคงทนของผลิตภัณฑ์ แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจะเป็นแบรนด์ที่ยึดมั่นในจริยธรรมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในการออกแบบผลิตภัณฑ์
- ในขณะที่ผู้บริโภคกำลังมองหาวิธีการซื้อสินค้าและบริการอย่างมีสติ แต่ก็ยังต้องการสิ่งที่เป็นเฉพาะสำหรับตนเอง แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในปี 2030 จะก้าวไปไกลกว่าการปรับเรื่องการให้บริการส่วนบุคคล หรือ Personalisation สู่ กรอบความคิดหรือทัศนคติของบริการที่แต่ละคนระบุว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง หรือ Hyper-individualisation
- เศรษฐกิจการแบ่งปันจะดำเนินต่อไปเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้บริโภคเพื่อความยั่งยืนที่ดีขึ้นของเมือง
ประสบการณ์
เทคโนโลยีกำลังผลักดันประสบการณ์จากการพักผ่อนไปจนสู่การค้าปลีก ประสบการณ์โดยรวมจะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ประสบการณ์ที่บ้านจะเปลี่ยนไปตามความต้องการของผู้อยู่อาศัยเดี่ยวและครัวเรือนหลากหลายรุ่นมากขึ้น ในเวลาเดียวกันผู้คนจะเริ่มนิยามสิ่งที่พวกเขาต้องการในฐานะบุคคล ซึ่งจะรวมถึง Nothing Experience เมื่อผู้คนตัดสินใจอย่างรอบคอบมากขึ้นเกี่ยวกับเวลาของตนเอง นอกจากนี้ การศึกษาเป็นประสบการณ์มากกว่าความจำเป็น
สิ่งที่คาดหวังในปี 2030
- เส้นทางการศึกษาแบบดั้งเดิมมีความสำคัญ และการสำรวจเส้นทางใหม่ในการศึกษาและอาชีพก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
- การเน้นย้ำถึงผลประโยชน์ทางกายภาพและทางอารมณ์จาก Nothing experience โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อลำดับความสำคัญของงานและชีวิต
กลยุทธ์ที่จะประสบความสำเร็จในปี 2030
- การกระตุ้นผู้บริโภคให้ละทิ้งความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ผ่านประสบการณ์ที่สนุกสนาน โดยที่ความสนุกสนานจะทำให้แบรนด์สามารถสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับลูกค้าของตนและทำให้ลูกค้าเหล่านั้นรู้สึกถึงอิสรภาพใหม่
- ในโลกแห่งความตึงเครียด ผู้คนจะค้นหาแบรนด์และวิธีการแก้ปัญหาที่ให้การสนับสนุนความต้องการที่แตกต่างหลากหลาย โอกาสมีอยู่สำหรับแบรนด์ที่ขยายข้อเสนอของตนเพื่อเสนอทางเลือกที่มากขึ้นแก่ผู้บริโภค
- Nothing Experience เป็นวิธีผ่อนคลายผ่อนคลาย ผู้คนจะมองหาผลิตภัณฑ์และบริการและสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้พวกเขาแยกตัวออกมาจากโลกวุ่นวาย
อ้างอิง
Lieberman, G. (2019). 2030 Global Consumer Trends : Seven core drivers of consumer behaviour that will shape global markets over the next 10 years [presentation].