หน้าแรก คลังความรู้ คลังความรู้ นานาสาระน่ารู้ Megatrends 2020 – 2030 สิ่งที่มีความหมายต่อคุณ ธุรกิจและการเติบโตของนวัตกรรม
Megatrends 2020 – 2030 สิ่งที่มีความหมายต่อคุณ ธุรกิจและการเติบโตของนวัตกรรม
10 มี.ค. 2563
0
นานาสาระน่ารู้

ความนำ “Megatrends” แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลกในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อมนุษย์

เนื้อความ Megatrends 2020-2030 สิ่งที่มีความหมายต่อคุณธุรกิจและการเติบโตของนวัตกรรม

           การเติบโตของนวัตกรรมสร้างความคาดหวังและความเครียดในสังคม การทำความเข้าใจและใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงจะสร้างอนาคตใหม่ ที่เราเรียกกันว่า “Megatrends” ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก  McKinsey ได้กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงเปรียบเสมือนเพื่อน การวิเคราะห์ คาดการณ์อนาคตทางธุรกิจและการลงทุนในอนาคต จะแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับภาคธุรกิจ ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน รวมถึงชีวิตการทำงาน

Megatrend 1: การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางเศรษฐกิจ

การเติบโตของประชากรเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนอำนาจทางเศรษฐกิจ ประเทศกำลังพัฒนาจะมีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ สังคมและวิธีลงทุนอย่างมาก            

1.เศรษฐกิจใหม่กำลังเติบโต

คนรุ่นใหม่กับประเทศกำลังพัฒนาได้หายไปจากการเป็นผู้ผลิตสินค้าให้กับประเทศพัฒนาแล้ว โดยจะเน้นผลิตสินค้าและบริการสำหรับบริโภคภายในประเทศ โดยคิดเป็นร้อยละ 80 ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และร้อยละ 85 ของการเจริญเติบโตของการบริโภคทั่วโลก ซึ่งมากกว่าสองเท่าของปี 1990           

2.จีนจะเป็นมหาอำนาจใหม่ของโลก

เมื่อสองศตวรรษที่ผ่านมา นโปเลียน โบนาปาร์ตได้กล่าวว่า “ประเทศจีนเสมือนคนนอนหลับ แต่เมื่อตื่นขึ้น จีนจะขับเคลื่อนโลก” เพียง 15 ปีผ่านไป เศรษฐกิจของประเทศจีนมีขนาดเท่ากับหนึ่งในสิบของเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ถ้าหากยังเติบโตตามคาดการณ์ไว้เศรษฐกิจจีนจะมีมูลค่ามากกว่าสหรัฐฯในช่วงปี 2020
คาดการณ์ว่าจีนจะมี 200 เมืองที่มีประชากรหนึ่งล้านคนภายในปี 2025 เพื่อลดความแออัดในกรุงปักกิ่ง และดำเนินการสร้างเมืองใหม่ในชื่อ “สงอัน” ซึ่งห่างออกไป 100 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหลวง โดยเมืองใหม่นี้มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของแมนฮัตตันและคาดว่าจะเพิ่มเป็นสองเท่าของนิวยอร์คและสิงค์โปร์

3.ข้อมูลประชากรทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลง

ในปี 2016 ทั่วทั้งเอเชียมีประชากรประมาณ 4.4 พันล้านคน เท่ากับสี่เท่าในศตวรรษที่ 20 และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2050 จะมีประชากร 5 พันล้านคน ภูมิภาคเอเชียมีทรัพยากร ความหลากหลายทางนิเวศวิทยารองรับการเติบโต เป็นผลให้เราสามารถคาดหวังการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ต่อไป                  

ผลกระทบ           

1.มหาอำนาจจากตะวันตกไปตะวันออก

แม้จะมีความท้าทายทางเศรษฐกิจจากจีน หนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ มีแนวโน้มขยายการเติบโตในระยะยาว เศรษฐกิจจีนมีความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และยุโรป จีนกำลังมาแทนที่สหรัฐฯ ในฐานะประเทศมหาอำนาจชั้นนำของโลก ดังนั้นวาระทางการเมือง การค้าโลก และอิทธิพลจะเปลี่ยนจากกรุงวอชิงตันมาเป็นกรุงปักกิ่ง            

2.การเติบโตของธุรกิจจีนเติบโตต่อเนื่อง

จีนมีบริษัทเอกชนที่มีการประเมินมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และภายในสิ้นปี 2019 คาดว่าจะมีผู้ใช้ระบบสิทธิบัตรระดับสากลรายใหญ่ที่สุด ปัจจุบันจีนอยู่ในอันดับสองรองจากสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วธุรกิจหกล้านแห่งได้รับการจดทะเบียนในประเทศจีน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2.5 ล้าน ในปี 2013 โดยภาคธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุด ได้แก่ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บันเทิง กีฬา และการเงิน ในขณะที่จำนวนบริษัทเหมืองแร่ ไฟฟ้าและก๊าซมีจำนวนลดลง            

3.ความเป็นผู้นำมาจากภาคตะวันออก

แนวคิดการปฏิบัติที่ดีที่สุดมาจากตะวันออกมากกว่าตะวันตก สถาบันอเมริกันและความเป็นผู้นำองค์กรกำลังลดลง เทียบได้จากจำนวนซีอีโอในซิลิคิน วอลเลย์ ของอินเดีย การเปิดเศรษฐกิจเสรีของจีนหมายถึงสันนิษฐานว่าโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษจะกลายเป็นอดีต

Megatrend 2 ทรัพยากรขาดแคลน

ผลกระทบของสภาวะโลกร้อนอยู่รอบๆ ตัวเรา อุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อพืชผลผลิต ทำให้ราคาอาหารสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อชุมชนที่ยากจน ในขณะเดียวกันพื้นที่ชายฝั่งทะเลจะเกิดน้ำท่วมเมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น           

1.ผลกระทบกับทรัพยากรของโลก

ประชากรกำลังขยายตัวและความเจริญเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว นำไปสู่ความต้องการพลังงาน น้ำและอาหารก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดของโลก องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติประมาณการว่าประชากรจะเกิน 9.1 พันล้านคน ภายในปี 2050 ด้วยหลักการนี้ ระบบการเกษตรของโลกจะไม่สามารถจัดหาอาหารให้เพียงพอสำหรับทุกคน และองค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าความต้องการน้ำจืดจะเกินร้อยละ 40 ในปี 2030 และบางเมือง เช่น เคปเทาวน์ จะได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำ            

2.การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นทำให้โลกร้อนขึ้น

สภาวะโลกร้อนมีแนวโน้มสูงขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 และยังคงดำเนินต่อไป สาเหตุหลักจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมไปถึงการที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆ ถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นตั้งแต่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมและไม่มีสัญญาณว่าจะลดลง สำหรับอุณหภูมิคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสององศาก่อนปี 2100 ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อทรัพยากรโลก งานศึกษาของ Pricewaterhouse Coopers (PwC) ได้คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวนี้สามารถเกิดขึ้นได้ภายในปี2036           

ผลกระทบ           

1.ได้ผลิตมากขึ้น

เพื่อตอบสนองความต้องการอาหารที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต อุตสาหกรรมการเกษตรต้องปรับตัวโดยใช้ทรัพยากรและปัจจัยการผลิตให้น้อยลง โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้มีผลผลิตมากขึ้น เทคโนโลยีช่วยตรวจจับเซ็นเซอร์และสเปรย์สามารถลดการใช้สารกำจัดวัชพืชได้ถึงร้อยละ 95 โดย McKinsey กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ร้อยละ 20-40 ที่ผลผลิตทางการเกษตรทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-15 ภายในปี 2025            

2.เปลี่ยนจากน้ำมันเป็นพลังงานสะอาด

การใช้พลังงานที่ยั่งยืนมีความสำคัญมากกว่าการใช้พลังงานถ่านหิน และมีการเปลี่ยนแปลงในการบริโภคสินค้า แต่การเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงกระทำ            

3.การลดลงของการใช้คาร์บอน 

การกำหนดภาษีรถยนต์กำหนดโดยการใช้ลักษณะเครื่องยนต์ ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าภายในปี 2040 จะมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทน ขณะที่รถยนต์ไร้คนขับยังคงเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ รัฐบาลอังกฤษได้ตั้งเป้าหมายว่าจะมีรถยนต์ไร้คนขับคันแรกในปี 2021

Megatrend 3 : ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

ขณะนี้เราอยู่ท่ามกลางการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเข้าสู่การปฏิวัติดิจิตอล Klaus Schwab ประธานกรรมการบริหารสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) กล่าวว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องยนต์เป็นศูนย์กลางของ Megatrends ทั้งหมด             

1.ก้าวของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมีผลกระทบกับอุตสาหกรรม มีแนวโน้มว่าคนจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร เนื่องจากเครื่องจักร หุ่นยนต์ และ AI สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วกว่ามนุษย์            

2.ข้อมูลคือแหล่งน้ำมันใหม่

ข้อมูลเป็นเครื่องมือสำคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะคาดคิดได้ว่าจะมีประสิทธิภาพเพียงใด Jack Ma ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารอาลีบาบา ได้เปรียบเทียบข้อมูลกับการค้นพบกระแสไฟฟ้า เขากล่าวว่า “โลกกำลังจะเป็นจุดเริ่มต้นของข้อมูลภายในปี 2025” จำนวนข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นสิบเท่า

3.ระบบอัตโนมัติ

ในระบบอุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น งานบางอย่างจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร ร้อยละ 60 ของการประกอบอาชีพจะมีอย่างน้อยร้อยละ 30 ของงานถูกทดแทนด้วยเครื่องจักร แต่ทั้งนี้มนุษย์สามารถเรียนรู้และควบคุมระบบของเครื่องจักรได้                

ผลกระทบ           

1.IOT เชื่อมต่อกับการใช้ชีวิต

ภายในปี 2020 โลกจะเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตมากขึ้น รถยนต์ เครื่องชงกาแฟ เครื่องทำความเย็น ความร้อนสามารถควบคุมได้โดยแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน การ์ตเนอร์ได้ประเมินว่าในปี 2014 7 พันล้านสิ่งจะสามารถเชื่อมต่อด้วยอินเตอร์เน็ต และภายในปี 2020 จะเพิ่มเป็น 26 พันล้าน

2.ปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพผ่านหุ่นยนต์และ AI
หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์จะถูกใช้งานมากขึ้นซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายลง ประชาชนจะได้ผลิตภัณฑ์ที่ดี ในขณะเดียวกันการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และค่าขนส่งจะลดลง

3.การปรับปรุงด้านสาธารณสุข
ประชากรจะมีอายุยืนมากขึ้น เป็นผลจากการนำเทคโนโลยีมาช่วยดูแลด้านสุขภาพ พัฒนาวิธีการรักษาโรคให้ผู้ป่วย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องระยะยาวที่สาธารณสุขที่ต้องคิดกันต่อไป

Megatrend 4 : เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

ในเอเชียมากกว่า 65 ประเทศซึ่งมีประชากรมากกว่าในสหรัฐฯ ภายในปี 2042 จะมีมากกว่า 65 ประเทศในเอเชียจะมีประชากรมากกว่าในโซนยุโรป และอเมริกาเหนือ การเปลี่ยนแปลงของประชากรโลก (ประชากร, เชื้อชาติ ระดับการศึกษาและด้านอื่นๆ ของประชากร) จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายและโอกาสสำหรับภาครัฐและภาคเอกชน  Megatrend สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอื่นๆ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปตามภูมิภาคจะมีผลกระทบต่อท้องถิ่นและตลาดโลกและสังคม            

1.ประชากรยังคงเพิ่มจำนวนมากขึ้น

ตามที่องค์การสหประชาติได้คาดการณ์ว่าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 พันล้านคนภายในปี 2030 กับการเติบโตของตลาด และภายในปี 2050 องค์การสหประชาชาติประมาณการว่าร้อยละ 80 ของประชากรโลกที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปจะอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา

2.ประชากรมีอายุยืน

ร้อยละ 30 ของประชากรในประเทศญี่ปุ่นมีประชากรอายุมากกว่า 60 ปี เช่นเดียวกับจีนที่ปัจจุบันมีประชากรอายุกว่า 80 ปี ประมาณ 29 ล้านคน และภายในปี 2050 จะเพิ่มขึ้นเป็น 120 ล้านคน รายงานข้อมูลประชากรขององค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดกับอีก 55 ประเทศ การที่ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้นทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลครอบคลุมบริการด้านสุขภาพ รวมถึงบริการด้านอื่น ๆ  หลายประเทศมีการบังคับใช้กฎหมายด้านสาธารณสุขเพื่อให้แน่ใจว่าผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

3.จำนวนเด็กน้อยลง

สังคมเปลี่ยนแปลงทำให้คนมีการศึกษาแต่งงานน้อยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยลง สิ่งนี้ส่งผลต่อธุรกิจรวมถึงผลผลิตที่ลดลง การมีส่วนร่วมของแรงงานน้อยลง คนรุ่นใหม่จะมีภาระมากขึ้นอันเป็นผลจากความคาดหวังจากผู้สูงอายุ           

ผลกระทบ           

1.ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพในสหรัฐฯ ค่าใช้จ่ายในการดูแลด้านสุขภาพคิดเป็นร้อยละ 8 ของจีดีพีในแต่ละปี โดยนับตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงปี 2040 สหรัฐฯต้องใช้เงินประมาณ 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี  จากการวิเคราะห์ของ World Economic Forum ชี้ให้เห็นว่าช่องว่างระหว่างการออมเพื่อการเกษียณใน 8 ประเทศใหญ่กำลังเติบโต 28 พันล้านเหรียญสหรัฐทุกๆ 24 ชั่วโมงและจะสูงถึง 400 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯภายในปี 2050 คิดเป็น 5 เท่าของเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน โดยจะมุ่งเน้นการออมหลังเกษียณและการหาวิธีเพิ่มรายได้หลังเกษียณอีกด้วย เป็นผลให้อาจมีความต้องการในการได้รับความช่วยเหลือทางการเงิน ตลอดจนคำแนะนำเพิ่มมากขึ้น            

2.หุ่นยนต์จะกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราเมื่อประชากรอายุยืนยาวมากขึ้น มีแนวโน้มจะใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความขาดแคลนแรงงาน หุ่นยนต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น (หุ่นยนต์ไม่หลับ ไม่ป่วย แต่ต้องการทักษะมากขึ้น) เป็นผลให้เกิดความต้องการแรงงานที่มีทักษะสำคัญ อาทิ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล             

3.ความต้องการของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนอุตสาหกรรมอาหาร

ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการบริโภคมากขึ้น ใส่ใจในอาหารและผลิตภัณฑ์ สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของอาหาร ตัวอย่างเช่น อาหารออร์แกนิกในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 224 จากปี 2005 ถึงปี 2016 อาหารสดใหม่รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นที่ต้องการมากกว่าอาหารแปรรูป เห็นได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของอะโวคาโดและผลเบอร์รี่ นอกจากนี้จากการที่ผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบายมากขึ้นส่งผลให้มีการใช้บริการสั่งอาหารทางออนไลน์มากขึ้น  

Megatrend 5 : การกลายเป็นมหานครอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันประชากรมากกว่าครึ่งโลกอาศัยอยู่ในเขตเมือง และในปี 2030 ตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 5 พันล้านคน การขยายตัวของเมืองส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบทวีปแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ในปี 1990 มีเพียง 10 เมืองในโลกที่มีประชากรเกิน 10 ล้านคนซึ่งเรียกว่า “มหานคร” วันนี้จำนวน “มหานคร” ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3 เท่า ส่วนใหญ่ประชากรจะเพิ่มขึ้นในเมืองและเมืองใหญ่ใกล้เมืองหลวง สิ่งเหล่านี้จะช่วยผลักดันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ของประชากรเหล่านี้นำไปสู่โอกาสและความท้าทายสำหรับสังคม ความต้องการของประชากรเมืองในอนาคตจะแตกต่างกับในปัจจุบัน เนื่องจากในอนาคตประชาชนต้องการการเชื่อมต่อกับทุกสิ่ง และทุกอุปกรณ์ การเชื่อมต่อไร้สายจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในเมือง            

1.การอพยพเข้าเมืองหลวง

ประชากรอาศัยอยู่ในเมืองมากกว่าเขตชนบท และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ในปี 1950 ประชากรของโลกร้อยละ 30 อาศัยอยู่ในเมือง และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 66 ภายในปี 2050

2.ความศิวิไลซ์ของเมืองหลวง

ในสหรัฐฯ พื้นที่ชนบทมีสัดส่วนแพทย์ 39.8 คน ต่อหนึ่งแสนคน เทียบกับแพทย์ในเขตเมืองมี 53.3 คน ต่อหนึ่งแสนคน การกระจายแพทย์ที่ไม่เท่าเทียมกันมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชากร ด้วยการดูแลสุขภาพที่ดีและรวดเร็วจึงเป็นแรงจูงใจให้ประชากรนิยมโยกย้ายเข้าไปอยู่อาศัยในเขตเมือง  ขณะเดียวกัน ในเขตเมืองมีค่าตอบแทนในการจ้างงานที่ดี มีการศึกษา การเข้าสังคม และวัฒนธรรมที่ดีกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นอีกแรงดึงดูด อีกทั้งยังทำให้ธุรกิจเติบโตได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น ในประเทศจีน รายได้ของประชากรในเมืองได้มากกว่าสองเท่าของชนบท             

ผลกระทบ           

1.เมืองอัจฉริยะ

เมืองต่างๆ ได้รับแรงสนับสนุนจากประชากรสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐานและการบริการ การย้ายถิ่นฐานแสดงออกถึงความต้องการโครงสร้างพื้นฐานและบริการใหม่ๆ โครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและเครือข่ายต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการใช้ยานพาหนะของประชากรเพิ่มมากขึ้น            

2.การดูแลสุขภาพและความปลอดภัย

จากความหนาแน่นของประชากรที่เพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ระบบการดูแลสุขภาพต้องได้รับการพัฒนา เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของประชากร โรงพยาบาลแบบดั้งเดิมจะต้องเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีทดแทน และเนื่องจากอัตราการเกิดอาชญากรรมในเมืองสูงกว่าชนบท รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องเฝ้าระวังในระดับสูง การเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้นหมายถึงทุกกิจกรรมจะต้องถูกบันทึกและตรวจสอบได้

3.การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค

ในสภาพแวดล้อมของเมืองที่เปลี่ยนไป รถยนต์ โรงจอดรถ บ้านหลังใหญ่ ปัจจัยเหล่านี้จะมีความต้องการแตกต่างกันเมื่อต้องอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ ผลิตภัณฑ์ต้องมีขนาดเล็กลง ความต้องการพื้นที่และการจัดเก็บลดลง อาหารจะสั่งผ่านดิลิเวอรี่เพื่อความรวดเร็ว วัฒนธรรมหมู่บ้านหายไปการรู้จักเพื่อนบ้านน้อยลงกลายเป็นสังคมเมือง ทรัพยากรจะถูกใช้ร่วมกัน เกิดเป็นพฤติกรรมกลุ่มรูปแบบใหม่   

 

Peter, Fisk. (2019, December) Retrieved fromhttps://www.thegeniusworks.com/2019/12/mega-trends-with-mega-impacts-embracing-the-forces-of-change-to-seize-the-best-future-opportunities/

10 มี.ค. 2563
0
แชร์หน้านี้: