ข้อมูล Dengue จากผลงานวิจัยตีพิมพ์และผลิตภัณฑ์ในตลาด

การดำเนินงาน NSTDA Agenda ตามแผนกลยุทธ์ สวทช. ฉบับ 7 (พ.ศ. 2565-2570) หัวข้อ Medicine & Biopharmaceuticals ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการวินิจฉัย รักษาแบบแม่นยำ และการแพทย์ขั้นก้าวหน้า เพิ่มศักยภาพบริการและอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ และความมั่นคงด้านสาธารณสุข โดย Dengue หรือ โรคไข้เลือดออก นับเป็น Emerging Infectious Diseases เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือโรคอุบัติใหม่/อุบัติซ้ำ พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการวินิจฉัย ควบคุม ป้องกัน โรคติดเชื้อ การดื้อยาของเชื้อก่อโรค และการพัฒนา API ต้านไวรัส

จากการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล Scopus สำหรับเรื่อง Dengue (คำค้น dengue จากเขตข้อมูล Title, Abstract, Keyword ผลงานทั้งหมดในฐานข้อมูล Scopus วันที่ 25 กรกฎาคม 2565) พบจำนวนบทความทางวิชาการความเชี่ยวชาญทางด้านDengue เฉพาะของประเทศไทยจำนวน 2,230 รายการ โดย 5 อันดับหน่วยงาน/สถาบันที่มีผลงานตีพิมพ์บทความวิจัยสูงสุด ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 1,080 รายการ รองลงมา คือ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (Armed Forces Research Institute of Medical Sciences, Thailand) จำนวน 314 รายการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 217 รายการ กระทรวงสาธารณสุข (Thailand Ministry of Public Health) จำนวน 183 รายการ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จำนวน 144 รายการ นอกจากข้อมูลบทความวิจัยแล้ว Dengue ยังมีข้อมูลประเภทผลิตภัณฑ์จากฐานข้อมูล Mintel

Mintel คือ ระบบฐานข้อมูลด้านการตลาดเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจและอุตสาหกรรมของสินค้าอุปโภคบริโภคในกลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าเพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัว ซึ่งครอบคลุมแนวโน้มตลาดทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและคาดการณ์อนาคต มีบทวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค พฤติกรรมการบริโภคใหม่ๆ พร้อมด้วยข้อมูลเชิงสถิติ แนวโน้มการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และนวัตกรรมจากทั่วโลก รวมทั้งข้อมูลของส่วนผสม (Ingredient) ที่มีการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และโภชนาการ โดยมีทีมนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญของ Mintel จากทั่วโลก วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำรายงาน โดย สวทช. บอกรับและให้บริการครบทั้ง 3 แพลตฟอร์ม คือ Food & Drink (MFD), Beauty & Personal Care (BPC) และ Household & Personal Care (HPC)

ภาพที่ 1 เว็บไซต์ฐานข้อมูล Mintel
www.mintel.com

 

ภาพที่ 2 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Dengue : Health care, Pet control, Insect repellent, Food

1. เวียดนามและอินโดนีเซียกำลังมีส่วนร่วมในการทดสอบเพื่อเพาะพันธุ์แมลงต้านทานไข้เลือดออก แบคทีเรียที่ต้านทานโรคที่เรียกว่า Wolbachia ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติในการป้องกันยุงไม่ให้แพร่เชื้อไวรัส Dengue ถึงชีวิตสู่มนุษย์
2. บริษัท Sharp กับเครื่องฟอกอากาศที่สามารถดักจับยุงและทำความสะอาดอากาศภายในอาคารที่ปนเปื้อน ด้วยเทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์อิออนของ Sharp และกลไกการดักจับยุงที่ไม่เป็นพิษ เครื่องฟอกอากาศใช้แสงยูวีเพื่อดึงดูดยุงและการดูดอากาศเพื่อดักจับพวกมันบนแผ่นกาวที่แข็งแรง เครื่องฟอกอากาศ Sharp ใช้ไอออนลบในการทำความสะอาดและทำให้อากาศภายในอาคารสดชื่น ระบบนี้ติดตั้งแผ่นกรอง HEPA และอ้างว่าสามารถดักจับอนุภาคในอากาศได้ 99.97% เช่น ควัน ฝุ่น และละอองเกสรที่มีขนาดเล็กเพียง 0.03 ไมครอน
3. Moto Repellent อุปกรณ์พกพาน้ำหนักเบาที่เติมน้ำมันไล่ยุงปลอดสารพิษซึ่งติดด้วยแม่เหล็กกับท่อไอเสียของรถจักรยานยนต์ ด้วยอุปกรณ์นี้ ความร้อนจากไอเสียจะกระตุ้นน้ำมันและขับกลิ่นออกด้วยแรงดันไอเสีย เนื่องจากถนนลาดยางและช่องทางเดินรถเล็กๆ ในชุมชนแออัด การติดอุปกรณ์เข้ากับมอเตอร์ไซค์จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการกับปัญหายุง
4. App ติดตามโรคมาลาเรียที่เรียกว่า “Track the Bite” App เตือนผู้บริโภคเกี่ยวกับการระบาดมาลาเรีย ให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์แก่ผู้คน ส่งข้อความส่วนตัวตามสถานที่และให้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภคหากอยู่ในพื้นที่ที่น่ากังวล ยังอนุญาตให้ผู้ใช้ส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายโซเชียลได้ด้วยคลิกเดียว

 

ภาพที่ 3 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Dengue : Health care, Pet control, Insect repellent, Food

5. เนื่องจาก climate change แมลงที่เป็นอันตรายกำลังแพร่กระจายเร็วขึ้น ซึ่งสร้างตลาดใหม่และโอกาสทางการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ควบคุมสัตว์รบกวน การเพิ่มขึ้นของจำนวนสัตว์รบกวนและการใช้เวลากลางแจ้งที่เพิ่มขึ้นจะผลักดันความต้องการผลิตภัณฑ์ควบคุมสัตว์รบกวน มีความสนใจเพิ่มขึ้นในพืชและสูตรที่ได้จากธรรมชาติในการควบคุมสัตว์รบกวน
6. การเพิ่มขึ้นของประชากรสัตว์รบกวนและเวลากลางแจ้งจะผลักดันความต้องการผลิตภัณฑ์ควบคุมสัตว์รบกวน
7. ปี 2020 คือปีแห่งนวัตกรรมในการควบคุม/ไล่สัตว์รบกวน การทำงานและความปลอดภัยเป็นตัวขับเคลื่อนประเภทการควบคุมสัตว์รบกวน แต่ก็ยังมีความสนใจเพิ่มขึ้นในพืชและสูตรที่ได้จากธรรมชาติ
8. กรดไขมันจากน้ำมันมะพร้าวที่มีคุณสมบัติขับไล่เห็บ แมลงกัดต่อย ยุงและตัวเรือดได้ยาวนาน
9. แบรนด์แฟชั่นสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ในบราซิล ได้เปิดตัวเสื้อผ้าที่แต่งแต้มด้วยตะไคร้หอมเพื่อต่อสู้กับไวรัสซิกา
10. อาหารและเครื่องดื่มสำหรับอาการเจ็บป่วยและความวิตกกังวลของผู้คนเกี่ยวกับไวรัสซิกา

 

ภาพที่ 4 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Dengue : Top categories

 

ภาพที่ 5 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Dengue : Top categories

ข้อมูล Advance Therapy จากผลงานวิจัยตีพิมพ์และผลิตภัณฑ์ในตลาด

การดำเนินงาน NSTDA Agenda ตามแผนกลยุทธ์ สวทช. ฉบับ 7 (พ.ศ. 2565-2570) หัวข้อ Medicine & Biopharmaceuticals ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการวินิจฉัย รักษาแบบแม่นยำ และการแพทย์ขั้นก้าวหน้า เพิ่มศักยภาพบริการและอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ และความมั่นคงด้านสาธารณสุข โดยเทคโนโลยีหนึ่งที่ใช้ในการดำเนินงาน คือ Advance Therapy

จากการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล Scopus สำหรับเทคโนโลยี Advance Therapy (คำค้น advance therapy จากเขตข้อมูล Title, Abstract, Keyword ผลงานทั้งหมดในฐานข้อมูล Scopus วันที่ 25 กรกฎาคม 2565) พบจำนวนบทความทางวิชาการความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี Advance Therapy เฉพาะของประเทศไทยจำนวน 249 รายการ โดย 5 อันดับหน่วยงาน/สถาบันที่มีผลงานตีพิมพ์บทความวิจัยสูงสุด ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 94 รายการ รองลงมา คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 54 รายการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 21 รายการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 14 รายการ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 9 รายการ สำหรับ สวทช. อยู่อันดับที่ 11 จำนวน 4 รายการ นอกจากข้อมูลบทความวิจัยแล้ว Advance Therapy ยังมีข้อมูลประเภทผลิตภัณฑ์จากฐานข้อมูล Mintel

Mintel คือ ระบบฐานข้อมูลด้านการตลาดเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจและอุตสาหกรรมของสินค้าอุปโภคบริโภคในกลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าเพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัว ซึ่งครอบคลุมแนวโน้มตลาดทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและคาดการณ์อนาคต มีบทวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค พฤติกรรมการบริโภคใหม่ๆ พร้อมด้วยข้อมูลเชิงสถิติ แนวโน้มการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และนวัตกรรมจากทั่วโลก รวมทั้งข้อมูลของส่วนผสม (Ingredient) ที่มีการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และโภชนาการ โดยมีทีมนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญของ Mintel จากทั่วโลก วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำรายงาน โดย สวทช. บอกรับและให้บริการครบทั้ง 3 แพลตฟอร์ม คือ Food & Drink (MFD), Beauty & Personal Care (BPC) และ Household & Personal Care (HPC)

ภาพที่ 1 เว็บไซต์ฐานข้อมูล Mintel
www.mintel.com

 

ภาพที่ 2 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Advanced Therapy : Health care, Beauty care, Food

1. สเต็มเซลล์สำหรับกระดูกสันหลัง – รัฐมนตรีสาธารณสุขของญี่ปุ่นคาดว่าจะอนุมัติการผลิตและจำหน่ายยารักษาโรคสเต็มเซลล์ของมนุษย์ เพื่อการฟื้นฟูสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง
2. Start-up Ready3D และ Swiss Federal Institute of Technology ได้พิมพ์ตับอ่อนเพื่อทดสอบการรักษาโรคเบาหวาน
3. GlaxoSmithKline (แกล็กโซสมิธไคลน์ พีแอลซี หรือ GSK) บริษัทยาจากสหราชอาณาจักร เข้าลงทุนใน Harvard Stem Cell Institute $25 ล้าน โดยหวังว่าข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวจะนำไปสู่การพัฒนายาใหม่
4. การพัฒนาการอุดฟันที่ช่วยให้ฟันสามารถรักษาตัวเองได้ โดยกระตุ้นสเต็มเซลล์กระตุ้นการเจริญเติบโตของเนื้อฟัน
5. Start-up สิงคโปร์พบวิธีสร้างน้ำนมแม่จากสเต็มเซลล์
6. นักวิทยาศาสตร์ของ Tel Aviv และ Harvard University ได้สร้าง Organs-on-a-chip สำหรับการพัฒนายาเฉพาะบุคคล

 

ภาพที่ 3 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Advanced Therapy : Health care, Beauty care, Food

7. Mane Biotech ในประเทศเยอรมนีกำลังพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่เพื่อกระตุ้นสเต็มเซลล์ให้ปลูกผมและต่อสู้กับผมร่วง
8. LG Pra.L MediHair พัฒนาอุปกรณ์สวมใส่เพื่อกระตุ้นสเต็มเซลล์รากผมและสนับสนุนการเจริญเติบโตของเส้นผม
ยังช่วยให้หัวล้านช้าลงด้วย
9. โปรแกรมต่อต้านริ้วรอยของ Dior อ้างว่าสามารถป้องกันและแก้ไขริ้วรอยโดยกำหนดสเต็มเซลล์เป้าหมาย เนื่องจาก
สเต็มเซลล์เสื่อมสภาพตามกาลเวลา การปกป้องจึงสร้างเซลล์ใหม่ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมฟื้นฟูและคงความอ่อนเยาว์ของผิวอย่างแท้จริง
10. Lowan Aging Care Stem Eyecream ซึ่งใช้การเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์จากมนุษย์เพื่อเติมความชุ่มชื้น
11. ขนมเนื้อแห้งที่ทำจากเนื้อที่เลี้ยงในห้องแล็บผ่านกระบวนการใหม่ที่ใช้สเต็มเซลล์จากวัว

ตำราเรียนแบบเปิด (open textbook) เป็นวิธีแก้ปัญหาตำราเรียนที่มีราคาสูง

หลายมหาวิทยาลัยกำลังสนับสนุนการใช้ตำราเรียนแบบเปิดในการเรียนการสอน เพื่อลดค่าใช้จ่ายสำหรับการซื้อตำราเรียนที่มีราคาสูง มาทำความรู้จักว่าตำราเรียนแบบเปิดมีลักษณะเป็นอย่างไร ดังข้างล่างค่ะ

– ตำราเรียนแบบเปิดมีให้ฟรีเพื่ออ่านออนไลน์หรือดาวน์โหลด
– ในรูปแบบสั่งพิมพ์ออกมามีให้ในราคาไม่แพง (20-40 ดอลลาร์)
– ตำราเรียนแบบเปิดถูกเขียนและ reviewed โดยผู้เชี่ยวชาญ และนักศึกษาค้นพบว่านักศึกษาทำได้ดีหรือดีกว่าในชั้นเรียนที่ใช้ตำราเรียนแบบเปิด
– การอนุญาตแบบเปิดส่วนใหญ่ทำให้ผู้สอนสามารถดัดแปลงตำราเรียนและปรับให้เหมาะสมกับหลักสูตร
– ตำราเรียนแบบเปิดในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่มีหมดอายุดังนั้นสามารถเก็บสำเนาได้ตลอดไป

ตำราเรียนแบบเปิดมีให้แล้วสำหรับมากกว่า 100 หลักสูตรและใช้โดยมากกว่า 3,000 อาจารย์

การประหยัดจากการใช้ตำราเรียนแบบเปิดมีมูลค่าสูง ทำให้ชั้นเรียนคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์เปลี่ยนไปใช้ตำราเรียนแบบเปิดสามารถทำให้นักศึกษาประหยัดเป็นเงิน 10,000 ดอลลาร์

ตำราเรียนแบบเปิดยังสนับสนุนระบบใหม่ซึ่งความรู้ถูกแบ่งปันและฟรีสำหรับทุกคน

มี 3 ความท้าทายที่สำคัญที่ทำให้ตำราเรียนแบบเปิดไม่ถูกใช้ในชั้นเรียนมากขึ้น
– ต้องใช้เวลาและเงินเพื่อเขียนตำราเรียนแบบเปิด
– ต้องใช้เวลาและทรัพยากรเพื่อแนะนำคณะเกี่ยวกับตำราเรียนแบบเปิด
– ต้องใช้เวลาและการฝึกอบรมเพื่อสนับสนุนคณะในการใช้ตำราเรียนแบบเปิด

ข้างล่างเป็นที่ที่สามารถพบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับตำราเรียนแบบเปิด
– The Student PIRGs (http://studentpirgs.org/open-textbooks/)

– Right to Research Coalition (http://www.righttoresearch.org)

– SPARC (http://www.sparc.arl.org/issues/open-education)

– College Board (http://trends.collegeboard.org/college-pricing)

– U.S. Government Accountability Office ได้เผยแพร่ 2 รายงานหลักเกี่ยวกับราคาตำราเรียน ได้แก่ http://www.gao.gov/products/GAO-13-368 และ http://www.gao.gov/products/GAO-05-806

ที่มา: Open Textbook Alliance. Student Government Toolkit. Retrieved July 18, 2022, from https://studentpirgs.org/resources/textbooks-toolkit/

วิธีที่คณะเลือกและใช้วัสดุการศึกษาสำหรับหลักสูตร

Babson Survey Research Group ได้ทำการสำรวจกับ 3,288 คณะ และ 812 หัวหน้าภาคของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา เพื่อหาวิธีที่คณะเลือกและใช้วัสดุการศึกษาสำหรับหลักสูตร สิ่งที่พบหลัก คือ

– ความตระหนัก OER ของคณะเพิ่มขึ้นทุกปี ด้วย 46% ของคณะตระหนัก OER ในการสำราจครั้งนี้ เพิ่มขึ้นจาก 3 ปีที่แล้วที่อยู่ที่ 34%

– เป็นครั้งแรกที่มีคณะมากกว่าแสดงว่าชอบวัสดุดิจิทัลมากกว่าสิ่งที่พิมพ์ออกมาในชั้นเรียน

– 61% ของคณะทั้งหมด, 71% ของผู้ที่สอนหลักสูตรเบื้องต้นที่มีการลงทะเบียนจำนวนมาก และ 73% ของหัวหน้าภาค เห็นด้วยอย่างมากหรือเห็นด้วยว่าค่าใช้จ่ายสำหรับวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรเป็นปัญหาที่สำคัญสำหรับนักศึกษา

– หัวหน้าภาคมีความเชื่ออย่างมากว่าการทำให้ตำราเรียนมีราคาไม่แพงสำหรับนักศึกษาจะเป็นการปรับปรุงที่สำคัญที่สุดของวัสดุที่ใช้ในหลักสูตร

– น้อยกว่า 1 ใน 5 สมาชิกคณะมีความตระหนักในการริเริ่มที่ระดับภาควิชา, สถาบัน หรือระบบเพื่อจัดการกับค่าใช้จ่ายของวัสดุที่ใช้ในหลักสูตร

– คณะได้ดำเนินการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายโดยสนับสนุนตำราเรียนที่ใช้แล้วและโปรแกรมการให้เช่า, ทำสำเนาสำรอง และใช้ค่าใช้จ่ายในการตัดสินเลือกวัสดุ

– คณะทั้งหมดพอใจกับตำราเรียนที่ถูกต้องการมาก ด้วยมากกว่า 80% พอใจมากหรือพอใจปานกลาง คณะแสดงความไม่พอใจมากเกี่ยวกับราคา, การปรับบ่อย ๆ ที่ไม่จำเป็น และประเด็นอื่น ๆ ของตำราเรียนเพื่อการค้า

– คณะเปลี่ยนแปลงตำราเรียนบ่อย ๆ โดยนำเสนอวัสดุในลำดับที่แตกต่าง (70%), ไม่เอาบาง sections (68%), แทนที่เนื้อหา (45%), แทนที่ด้วยเนื้อหาจากคนอื่น (41%), แก้ข้อผิดพลาด (21%) หรือแก้ไขวัสดุตำราเรียน (20%)

OER สามารถตอบความกังวลในค่าใช้จ่ายของคณะ ยังสนับสนุนการ revise และ remix เนื้อหาของตำราเรียนซึ่งคณะใช้อยู่แล้ว รวมกับการเพิ่มขึ้นของการยอมรับสื่อดิจิทัลและผลของการริเริ่มของสถาบันเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของตำราเรียน จะกระตุ้นการขยายเพิ่มขึ้นในอนาคตของความตระหนักและการใช้ OER

ที่มา: Julia E. Seaman and Jeff Seaman (2018). Freeing the Textbook: Educational Resources in U.S. Higher Education, 2018. Babson Survey Research Group. Retrieved July 18, 2022, from https://www.bayviewanalytics.com/reports/freeingthetextbook2018.pdf

 

ความคาดหวังของคณะเกี่ยวกับอนาคตของการศึกษาในมหาวิทยาลัย

Bay View Analytics ได้ทำการสำรวจในปี 2020 จาก 1,131 คณะของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา คำถามในการสำรวจเกี่ยวกับความเห็นและความคาดหวังของสมาชิกในคณะเกี่ยวกับอนาคตของการศึกษาในมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา สิ่งที่พบหลัก คือ

การสำรวจได้ดำเนินระหว่างการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้มีผลต่อผลการสำรวจ คณะส่วนใหญ่มีความคิดในเชิงบวกหรือเป็นกลางเกี่ยวกับอนาคตของการศึกษาในมหาวิทยาลัย ในขณะที่คณะมีความหวังสำหรับอนาคตที่ดีกว่า ยังมีความกังวลมากเกี่ยวกับหลักสูตร, นักศึกษา และสถานะของระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยทั้งหมด

– คณะมีความคิดในเชิงบวกมากกว่าและมีความคิดในเชิงลบน้อยกว่าเกี่ยวกับการศึกษาในมหาวิทยาลัยในช่วงระยะเวลาขนาดกลาง (5 ปี) กว่าในช่วงระยะเวลาสั้น (2 ปี)

– เกือบจะ 9 ใน 10 คณะ เชื่อว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 มีผลอย่างมากต่ออนาคตของการศึกษาในมหาวิทยาลัย

– ประมาณ 8 ใน 10 คณะ รายงานว่ามีความหวังว่าผลของการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะมีผลในระยะยาวต่อสถาบัน

– ปัจจัยอื่น ๆ ที่คณะคาดหวังว่ามีผลอย่างมากต่อการศึกษาในมหาวิทยาลัย ได้แก่ การเรียนออนไลน์ (online learning), ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ (income inequality) และความไม่มั่นคงทางการเมือง (political instability)

– ประมาณ 60% ของคณะ คาดหวังว่าการสอนและการเรียนรู้จะแตกต่างกันอย่างชัดเจนในปี 2025 และคณะส่วนใหญ่หวังว่าจะมีการปรากฏต่อไปของการเรียนออนไลน์และข้อจำกัดทางการเงิน (financial constraints)

ที่มา: George Veletsianos, Nicole Johnson and Jeff Seaman (2021). Digital Faculty: Faculty Expectations About the Future of Higher Education. Bay View Analytics. Retrieved July 13, 2022, from https://www.bayviewanalytics.com/reports/digitalfaculty-futures.pdf

 

ผลของการริเริ่ม OER (open educational resource) ต่อความตระหนักและการนำ OER มาใช้ของคณะ

ได้ให้ 4,339 คณะ และ 1,431 หัวหน้าภาคของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาตอบคำถามที่ใช้ในการสำรวจ สิ่งที่พบ คือ

1. คณะซึ่งรายงานว่ามีความตระหนักของการริเริ่ม OER ในสถาบันแสดงว่ามีระดับที่สูงกว่ามากของความตระหนัก OER กว่าคณะที่ไม่มีความตระหนักของการริเริ่ม OER
จากผู้ตอบว่ามีความตระหนักของการริเริ่ม OER 41% ตอบว่าตระหนัก OER มาก, 28% ตอบว่าตระหนัก และ 8% ตอบว่าค่อนข้างตระหนัก ในทางตรงข้าม คณะซึ่งไม่ตระหนักของการริเริ่ม OER ที่สถาบัน 10% ตอบว่าตระหนัก OER มาก, 17% ตอบว่าตระหนัก และ 13% ตอบว่าค่อนข้างตระหนัก

2. คณะซึ่งมีความตระหนักของการริเริ่ม OER เป็นไปได้มากกว่ามากที่จะเป็นผู้นำ OER ไปใช้ เป็นจริงทั้งคณะที่สอนหลักสูตรระดับเบื้องต้นและประชาชนทั่วไปของคณะ
คณะที่สอนหลักสูตรระดับเบื้องต้นที่มีความตระหนักของการริเริ่ม OER มี 43% นำ OER มาใช้ ในขณะที่คณะที่สอนหลักสูตรระดับเบื้องต้นที่ไม่ตระหนักของการริเริ่ม OER มี 15% นำ OER มาใช้ ส่วนประชาชนทั่วไปของคณะที่มีความตระหนักของการริเริ่ม OER มี 33% นำ OER มาใช้ ในขณะที่ประชาชนทั่วไปของคณะที่ไม่ตระหนักของการริเริ่ม OER มี 8% นำ OER มาใช้

3. คณะซึ่งไม่กำลังใช้วัสดุ OER ถูกถามเกี่ยวกับการใช้ OER ในอีก 3 ปีข้างหน้า
8% ของคณะ รายงานว่าจะกำลังใช้ OER ในอีก 3 ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่ของผู้ตอบคำถาม (34%) บอกว่าอาจพิจารณานำ OER ไปใช้ 27% บอกว่าจะพิจารณาใช้ OER และ 11% ยังคงไม่สนใจในการนำ OER ไปใช้ ถัดมา 21% ของผู้ตอบคำถาม บอกว่าไม่มีความคิดเห็นหรือไม่รู้ว่าจะนำ OER ไปใช้หรือไม่

สรุป
การริเริ่ม OER ที่ระดับสูง (สถาบัน, ระบบ, รัฐ) มีผลต่อการนำ OER ไปใช้ มีการนำ OER ไปใช้เพิ่มขึ้น ด้วยคณะแสดงระดับที่เพิ่มขึ้นของความตระหนักของ OER ปีต่อปีเป็นเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ความตระหนักของ OER เช่น OER คืออะไร และประโยชน์และข้อเสียของ OER ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการขยายของการนำ OER ไปใช้ คณะจำนวนมากยังคงไม่ตระหนักหรือค่อนข้างตระหนัก OER

อย่างไรก็ตามเมื่อคณะมีความตระหนักของการริเริ่ม OER ที่สถาบัน มีการเพิ่มขึ้นของความตระหนัก OER และการนำ OER ไปใช้ทั้งในอนาคต โดยสรุปการริเริ่มที่นำคณะไปสู่คุณค่าของ OER คณะแสดงความโน้มเอียงที่จะใช้ OER เป็นทางเลือกใหม่แทนทรัพยากรเพื่อการค้าแบบดั้งเดิม

ที่มา: Tanya Spilovoy, Jeff Seaman and Nate Ralph (2020). The Impact of OER Initiatives on Faculty Selection of Classroom Materials. WCET and Bay View Analytics. Retrieved June 21, 2022, from https://www.bayviewanalytics.com/reports/impactofoerinitiatives.pdf

มีการใช้รหัสการเข้าถึง (access codes) ในชั้นเรียนของวิทยาลัยแพร่หลายมากน้อยแค่ไหน

The Student PIRGs (The Student Public Interest Research Groups) ได้ทำการวิเคราะห์วัสดุที่ใช้ในหลักสูตรที่ได้รับมอบหมายจาก 99 หลักสูตรที่แตกต่างกันของ 10 สถาบันที่แตกต่างกัน เพื่อตอบคำถามข้างต้น สิ่งที่พบหลัก คือ

1. จากทุกสถาบันมีหลักสูตร 32% ต้องการรหัสการเข้าถึง

2. ราคาเฉลี่ยของรหัสการเข้าถึงที่ขายเดี่ยว คือ ไม่รวมกับตำราเรียนหรือวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรรูปแบบต่าง ๆ เท่ากับ 100.24 ดอลลาร์ ที่ร้านขายหนังสือของสถาบัน

3. ในร้านขายหนังสือ มีเพียง 28% ของรหัสการเข้าถึงอยู่ในรูปแบบไม่รวมกับวัสดุอื่น แม้แต่เมื่อได้มาโดยตรงจากสำนักพิมพ์ มีเพียง 56% ของรหัสการเข้าถึงที่ถูกต้องการทั้งหมดอยู่ในรูปแบบไม่รวมกับวัสดุอื่น

4. เมื่อซื้อรหัสการเข้าถึงจาก third party retailers ไม่ใช่สำนักพิมพ์ นักศึกษาประหยัดน้อยกว่า 4 ดอลลาร์ โดยเฉลี่ย และจ่าย 12.45 ดอลลาร์ มากกว่าโดยเฉลี่ยกว่าการซื้อโดยตรงจากร้านหนังสือของวิทยาเขต

สรุป
รหัสการเข้าถึงเป็นแนวโน้มที่น่าตกใจสำหรับนักศึกษา สำนักพิมพ์ตำราเรียนขนาดใหญ่ได้ประโยชน์จากวิกฤตของตลาดตำราเรียนเป็นเวลา 10 ปี การเพิ่มขึ้นของทางเลือกใหม่ทำให้ต้องพิจารณารูปแบบธุรกิจ แต่โต้ตอบด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งไม่ดีต่อนักศึกษากว่าตำราเรียนที่ถูกสั่งพิมพ์แบบดั้งเดิม
– โดยทำให้รหัสการเข้าถึงใช้ได้เพียงครั้งเดียวและเฉพาะสำหรับนักศึกษาแต่ละคน สำนักพิมพ์กำจัดความสามารถของนักศึกษาที่จะแบ่งปันกับเพื่อน หรือยืมจากห้องสมุดถ้าไม่มีเงินที่จะซื้อ
– โดยสร้างรหัสการเข้าถึงซึ่งรวมการบ้านและการทดสอบ สำนักพิมพ์ควบคุม 100% นักศึกษาให้ซื้อผลิตภัณฑ์และกำจัดความสามารถของนักศึกษาในการไม่เลือก
– โดยการเปลี่ยนไปเป็นวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรที่เป็นดิจิทัล สำนักพิมพ์มีความสามารถในการกำจัดการจัดหาให้ที่มากเกินไปซึ่งสามารถนำไปสู่ตลาดหนังสือใช้แล้ว
จากลักษณะเหล่านี้ สำนักพิมพ์ได้สร้างตลาดที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ, เป็นอิสระ ปราศจากการป้องกันสำหรับนักศึกษา

ที่มา: Senack et al. (September 2016). Access denied the new face of the textbook monopoly. The Student PIRGs. Retrieved June 21, 2022, from https://studentpirgs.org/2016/09/21/access-denied/

กรอบการเรียนรู้ของ OECD ในปี 2030 (OECD Learning Framework 2030)

 

กรอบการเรียนรู้ถูกสร้างขึ้นโดยเกิดจากความร่วมมือของหลายภาคส่วนเพื่อโครงการการศึกษาในปี 2030 ของ OECD (OECD Education 2030 project) เข็มทิศการเรียนรู้ (learning compass) ที่แสดงในรูป ทำให้เห็นคนวัยหนุ่มสาวสามารถนำทางชีวิตและโลกได้อย่างไร แนวคิดของ competency บอกว่ามากกว่าเพียงการได้มาของ knowledge และ skills เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของ knowledge, skills, attitudes และ values เพื่อตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อน

โครงการการศึกษาในปี 2030 ของ OECD ได้บ่งชี้ 3 ประเภทของ competencies (Transformative Competencies) ได้แก่ 1. Creating new value, 2. Reconciling tensions and dilemmas และ 3. Taking responsibility   Transformative competencies เหล่านี้เป็นเรื่องซับซ้อน โดยแต่ละ competency เกี่ยวข้องซึ่งกันและกันอย่างซับซ้อน

ดังนั้นกรอบการเรียนรู้ของ OECD ในปี 2030 สรุปแนวคิดที่ซับซ้อน คือ การเคลื่อนที่ของ knowledge, skills, attitudes และ values ผ่านกระบวนการของ reflection, anticipation และ action เพื่อพัฒนา competencies ที่เกี่ยวข้องกันที่จำเป็นสำหรับการมีส่วนร่วมกับโลก

เพื่อให้แน่ใจว่ากรอบการเรียนรู้สามารถปฏิบัติได้ ผู้ถือผลประโยชน์ร่วมในโครงการการศึกษาในปี 2030 ของ OECD ได้ทำงานร่วมกันเพื่อแปล transformative competencies และแนวคิดหลักอื่น ๆ เป็น constructs ที่จำเพาะชุดหนึ่ง (ตัวอย่างเช่น creativity, critical thinking, responsibility, resilience, collaboration) เพื่อว่าครูและผู้นำโรงเรียนสามารถรวมเข้าไปในหลักสูตรได้ดีกว่า

 

ที่มา: OECD (2018). The future of education and skills Education 2030. Retrieved July 8, 2022, from https://www.oecd.org/education/2030-project/contact/E2030%20Position%20Paper%20(05.04.2018).pdf