บทบาทของ OER (open educational resource, ทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด) ต่อการศึกษาในมหาวิทยาลัย

Babson Survey Research Group ได้ทำการสำรวจใน 2,144 คณะของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา สิ่งที่พบหลัก คือ

– คณะไม่มีความตระหนัก OER มาก
ระหว่าง 2 ใน 3 และ 3 ใน 4 ของคณะทั้งหมดไม่มีความตระหนัก OER

– คณะเห็นคุณค่าแนวคิดของ OER
ไม่เหมือนเทคโนโลยีส่วนใหญ่ในการสอน OER ไม่ถูกปฏิเสธอย่างรุนแรง เมื่อได้รับรู้แนวคิดของ OER คณะส่วนใหญ่บอกว่ายินดีที่จะลอง

– ความตระหนักของ OER ไม่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการนำ OER ไปใช้
คณะที่มากกว่ากำลังใช้ OER แต่ไม่มีความตระหนัก OER การตัดสินใจนำทรัพยากรมาใช้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย บ่อย ๆ ทำโดยไม่มีความตระหนักในการอนุญาตที่จำเพาะของวัสดุหรือสถานะ OER

– คณะตัดสินคุณภาพของ OER อย่างคร่าว ๆ เท่ากับทรัพยากรการศึกษาแบบดั้งเดิม
คณะส่วนใหญ่รายงานว่าไม่มีความตระหนัก OER อย่างเพียงพอที่จะตัดสินคุณภาพ จากคณะที่ให้ความคิดเห็น 3 ใน 4 จัด OER เหมือนหรือดีกว่าทรัพยากรแบบดั้งเดิม

– อุปสรรคที่สำคัญที่สุดของการนำ OER ไปใช้กว้างขึ้นคือ การรับรู้ของคณะของเวลาและความพยายามที่ถูกต้องการเพื่อค้นหาและประเมิน
ผลการสำรวจแสดงว่า 38% ของคณะบอกว่าการค้นหา OER เป็นเรื่องยากหรือยากมาก

– คณะเป็นผู้ตัดสินใจหลักสำหรับการนำ OER ไปใช้
ผลการสำรวจก่อนหน้านี้กับเจ้าหน้าที่หัวหน้าการศึกษาแสดงว่าคณะเกือบจะเสมอ ๆ เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจนำมาใช้และในบางสถานการณ์มีบทบาทที่สำคัญ คณะในการสำรวจครั้งนี้เป็นไปในทางเดียวกัน ยกเว้นในส่วนน้อยของสถาบัน 2 ปีและแสวงหาผลกำไร คณะบริหารเป็นผู้นำ

ที่มา: I. Elaine Allen and Jeff Seaman (October 2014). Opening the Curriculum: Open Educational Resources in U.S. Higher Education, 2014. Babson Survey Research Group. Retrieved July 18, 2022, from https://www.bayviewanalytics.com/reports/openingthecurriculum2014.pdf

การศึกษาเพื่อสร้างเกณฑ์สำหรับตำราเรียนดิจิทัลและประเมินตำราเรียนดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ระหว่างฤดูร้อนของปี 2008 The Student PIRGs (The Student Public Interest Research Groups) ได้ทำการศึกษากับ 504 นักศึกษา ใน Oregon และ Illinois และวิเคราะห์ราคา e-textbook ของ 50 ตำราเรียนที่ถูกมอบหมายทั่วไป เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวข้างต้น สิ่งที่พบหลัก คือ

1. ตำราเรียนดิจิทัลต้องมี 3 เกณฑ์ ได้แก่ สามารถจ่ายได้ (affordable), สามารถพิมพ์ได้ (printable) และสามารถเข้าถึงได้ (acessible)

อย่างแรก ตำราเรียนดิจิทัลต้องสามารถจ่ายได้มากกว่าหนังสือแบบดั้งเดิม
เพื่อแก้ปัญหาค่าใช้จ่ายที่สูง ตำราเรียนดิจิทัลต้องเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าหนังสือแบบดั้งเดิม หมายความว่าตำราเรียนดิจิทัลต้องมีราคาต่ำกว่าราคาสุทธิของการซื้อตำราเรียน

อย่างที่สอง ตำราเรียนดิจิทัลต้องง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่ายมากสำหรับการสั่งพิมพ์ออกมา
การสั่งพิมพ์ออกมาทำให้ตำราเรียนดิจิทัลมีประโยชน์สำหรับนักศึกษาที่มีสไตล์การอ่านและการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน นักศึกษาเหมือนมีความชอบทั่วไปสำหรับหนังสือที่ถูกสั่งพิมพ์ออกมามากกว่าคอมพิวเตอร์

อย่างที่สาม ตำราเรียนดิจิทัลต้องสามารถเข้าถึงได้
เมื่อนักศึกษาซื้อตำราเรียนดิจิทัล ควรสามารถเข้าถึงได้ออนไลน์, เก็บสำหรับใช้ offline และเก็บสำเนาสำหรับใช้ในอนาคต ถ้าน้อยกว่าเป็นไปตามนี้จะทำให้หนังสือดิจิทัลไม่มีประโยชน์สำหรับนักศึกษาจำนวนมาก
– 45% ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจบอกว่าการเข้าถึงคอมพิวเตอร์ที่ถูกจำกัดจะทำให้อย่างน้อยค่อนข้างยากที่จะใช้ตำราเรียนดิจิทัล
– 71% บอกว่าเก็บอย่างน้อยหนึ่งตำราเรียนเพื่อใช้อ้างอิงในอนาคต

2. e-textbooks ไม่สามารถตอบเกณฑ์

E-textbooks มีราคาแพงเกินไป

การสั่งพิมพ์ออกมามีราคาแพงและยุ่งยาก
– การสั่งพิมพ์ออกมาถูกจำกัดไปที่ 10 หน้าต่อ session สำหรับแต่ละ e-textbooks ที่ถูกสำรวจ
– การซื้อและการสั่งพิมพ์ออกมาครึ่งหนึ่งของ e-textbook เป็นสามเท่าค่าใช้จ่ายในการซื้อ hard copy ที่ใช้แล้วและการขายกลับให้ร้านหนังสือ สำหรับหนังสือที่ถูกสำรวจ

E-textbooks ยากที่จะเข้าถึง
– นักศึกษาต้องเลือกระหว่างการใช้หนังสือออนไลน์หรือการใช้ offline ไม่สามารถทำทั้งสองได้
– ส่วนใหญ่ (75%) ของ e-textbooks ที่ถูกสำราจหมดอายุหลัง 180 วัน ดังนั้นนักศึกษาไม่สามารถเข้าถึงหนังสือในอนาคต

3. ตำราเรียนแบบเปิด (open textbooks) ตอบเกณฑ์ทุกข้อ
ตำราเรียนแบบเปิดเป็นตำราเรียนที่มีให้ใช้ฟรีอย่างดิจิทัลภายใต้การอนุญาตแบบเปิด ลักษณะหลักของการอนุญาตแบบเปิดคือยอมให้ผู้ใช้ทำสำเนาของตำราเรียนและแปลงเป็นรูปแบบต่าง ๆ ดังนั้นตำราเรียนแบบเปิดเป็นดิจิทัลแต่สามารถเป็นหลายรูปแบบ ในการศึกษาครั้งนี้พบว่าตำราเรียนแบบเปิดประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ e-textbooks ทำไม่ได้ โดยตำราเรียนแบบเปิดมีราคาไม่แพง, ง่ายที่จะสั่งพิมพ์ออกมา และสามารถเข้าถึงได้

ตำราเรียนแบบเปิดมีราคาไม่แพง
ตำราเรียนแบบเปิดมีให้ฟรีอย่างดิจิทัล และนักศึกษาสามารถซื้อรูปแบบอื่น ๆ โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อย

ตำราเรียนแบบเปิดง่ายที่จะสั่งพิมพ์ออกมา
นักศึกษาสามารถสั่งพิมพ์ตำราเรียนดิจิทัลเวลาไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้และในรูปแบบที่หลากหลาย

ตำราเรียนแบบเปิดสามารถเข้าถึงได้
นักศึกษาสามารถเข้าถึงตำราเรียนแบบเปิดเวลาไหนก็ได้จากคอมพิวเตอร์เครื่องไหนก็ได้โดยไม่มีการหมดอายุของหนังสือ

สรุปจากการศึกษา
ตำราเรียนดิจิทัลเป็นวิธีแก้ปัญหาที่สำคัญเพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่ต้องทำในหนทางที่ถูกต้อง การศึกษาครั้งนี้พบว่าตำราเรียนดิจิทัลต้องตอบ 3 เกณฑ์หลัก เพื่อมีศักยภาพสูงสุด ได้แก่ สามารถจ่ายได้ สามารถสั่งพิมพ์ได้ และสามารถเข้าถึงได้ มี 2 ชนิดหลักของตำราเรียนดิจิทัลขณะนี้ ได้แก่ e-textbooks และตำราเรียนแบบเปิด ซึ่งเป็นตัวอย่างของตำราเรียนดิจิทัลทำในหนทางที่ผิดและที่ถูกตามลำดับ

ที่มา: Nicole Allen (August 2008). Course correction how digital textbooks are off track and how to set them straight. The Student PIRGs. Retrieved July 18, 2022, from https://studentpirgs.org/2008/08/01/course-correction/

การประเมินศักยภาพในระยะยาวของการเช่า, e-books, e-readers และตำราเรียนแบบเปิด (open textbooks) ในการแก้ปัญหาราคาตำราเรียนที่สูง

The Student PIRGs (The Student Public Interest Research Groups) ได้ทำการสำรวจใน 1,428 นักศึกษา จาก 10 วิทยาเขต และการวิเคราะห์ราคาตำราเรียนสำหรับ 10 วิชาทั่วไปของวิทยาลัย เพื่อประเมินศักยภาพในระยะยาวของการเช่า, e-books, e-readers และตำราเรียนแบบเปิด ในการแก้ปัญหาราคาตำราเรียนที่สูง สิ่งที่พบ คือ

1. การแก้ปัญหาความสามารถในการจ่ายได้ของตำราเรียนต้องตอบสนองความชอบที่หลากหลายของนักศึกษา
– นักศึกษาแยกออกระหว่าง print และ digital 75% ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจบอกว่า print เป็นรูปแบบที่ชอบ 25% เลือก digital
– การรวมกันของ print และ digital อาจดีที่สุดสำหรับนักศึกษาบางคน 47% ของนักศึกษาบอกว่าพอใจกับการใช้อย่างน้อยหนึ่งของรูปแบบตำราเรียนดิจิทัล
– เช่าหรือซื้อ นักศึกษาส่วนใหญ่จะเลือกทั้งสอง 93% ของนักศึกษาจะเช่าอย่างน้อยบางตำราเรียน แต่เพียง 34% จะเช่าทั้งหมด

2. ทางเลือกการลดค่าใช้จ่ายแบบดั้งเดิมมีศักยภาพที่จำกัดเพราะเพียงดึงดูดกลุ่มย่อยของนักศึกษา
ทั้งการเช่า, e-books และ e-readers เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการซื้อตำราเรียนที่ถูกสั่งพิมพ์ออกมา แต่การประหยัดถูกจำกัดเพราะทางเลือกทั้งสามไม่ดึงดูดนักศึกษาทั้งหมด

3. ตำราเรียนแบบเปิดสามารถลดค่าใช้จ่ายสำหรับนักศึกษาทั้งหมดและมีศักยภาพในระยะยาวอย่างยั่งยืน
ตำราเรียนแบบเปิดมีรูปแบบที่สามารถจ่ายได้ที่หลากหลายซึ่งตอบสนองความชอบทั้งหมด และดังนั้นทำให้นักศึกษาทั้งหมดประหยัด

สรุปจากการสำรวจ
การสำรวจครั้งนี้แสดงว่าการแก้ปัญหาความสามารถในการจ่ายได้ของตำราเรียนต้องทั้งลดค่าใช้จ่ายและตอบสนองความชอบที่หลากหลายของนักศึกษา

ผลที่มีศักยภาพของการเช่า, e-books และ e-readers จำกัดเพราะเพียงตอบสนองความชอบของกลุ่มย่อยของนักศึกษา ในขณะทางเลือกทั้งสามสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะสั้น ไม่สามารถเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว

ตำราเรียนแบบเปิดสามารถลดค่าใช้จ่ายอย่างยั่งยืนและสามารถตอบสนองนักศึกษาทั้งหมด ตำราเรียนแบบเปิดเป็นการแก้ปัญหาที่ครอบคลุม มีรูปแบบที่จ่ายได้และทางเลือกของการซื้อที่หลากหลาย ตำราเรียนแบบเปิดไปเหนือกว่าช่วยลดค่าใช้จ่าย โดยกระตุ้นสำนักพิมพ์เชื่อว่านักศึกษาเป็นผู้บริโภคและเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากกว่าด้วยราคาที่สามารถจ่ายได้

ข้อแนะนำจากการสำรวจ
– สำนักพิมพ์ควรพัฒนารูปแบบใหม่ซึ่งสามารถผลิตหนังสือที่มีคุณภาพสูงโดยไม่ทำให้นักศึกษาต้องจ่ายมากเกินไป
– คณะควรค้นหา, พิจารณา และนำมาใช้ตำราเรียนแบบเปิดและทางเลือกที่จ่ายได้อื่น ๆ
– วิทยาลัยและรัฐบาลควรลงทุนในการสร้างตำราเรียนแบบเปิดมากขึ้น
– นักศึกษาควรปฏิบัติต่อต้านค่าใช้จ่ายที่สูงโดยพูดเกี่ยวกับตำราเรียนแบบเปิดกับคณะ, วิทยาเขต และชุมชน

ที่มา: Nicole Allen (September 2010). A cover to cover solution how open textbooks are the path to textbook affordability. The Student PIRGs. Retrieved July 18, 2022, from https://studentpirgs.org/2010/09/30/cover-cover-solution-2/

ข้อมูล Dengue จากผลงานวิจัยตีพิมพ์และผลิตภัณฑ์ในตลาด

การดำเนินงาน NSTDA Agenda ตามแผนกลยุทธ์ สวทช. ฉบับ 7 (พ.ศ. 2565-2570) หัวข้อ Medicine & Biopharmaceuticals ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการวินิจฉัย รักษาแบบแม่นยำ และการแพทย์ขั้นก้าวหน้า เพิ่มศักยภาพบริการและอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ และความมั่นคงด้านสาธารณสุข โดย Dengue หรือ โรคไข้เลือดออก นับเป็น Emerging Infectious Diseases เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือโรคอุบัติใหม่/อุบัติซ้ำ พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการวินิจฉัย ควบคุม ป้องกัน โรคติดเชื้อ การดื้อยาของเชื้อก่อโรค และการพัฒนา API ต้านไวรัส

จากการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล Scopus สำหรับเรื่อง Dengue (คำค้น dengue จากเขตข้อมูล Title, Abstract, Keyword ผลงานทั้งหมดในฐานข้อมูล Scopus วันที่ 25 กรกฎาคม 2565) พบจำนวนบทความทางวิชาการความเชี่ยวชาญทางด้านDengue เฉพาะของประเทศไทยจำนวน 2,230 รายการ โดย 5 อันดับหน่วยงาน/สถาบันที่มีผลงานตีพิมพ์บทความวิจัยสูงสุด ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 1,080 รายการ รองลงมา คือ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (Armed Forces Research Institute of Medical Sciences, Thailand) จำนวน 314 รายการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 217 รายการ กระทรวงสาธารณสุข (Thailand Ministry of Public Health) จำนวน 183 รายการ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จำนวน 144 รายการ นอกจากข้อมูลบทความวิจัยแล้ว Dengue ยังมีข้อมูลประเภทผลิตภัณฑ์จากฐานข้อมูล Mintel

Mintel คือ ระบบฐานข้อมูลด้านการตลาดเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจและอุตสาหกรรมของสินค้าอุปโภคบริโภคในกลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าเพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัว ซึ่งครอบคลุมแนวโน้มตลาดทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและคาดการณ์อนาคต มีบทวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค พฤติกรรมการบริโภคใหม่ๆ พร้อมด้วยข้อมูลเชิงสถิติ แนวโน้มการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และนวัตกรรมจากทั่วโลก รวมทั้งข้อมูลของส่วนผสม (Ingredient) ที่มีการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และโภชนาการ โดยมีทีมนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญของ Mintel จากทั่วโลก วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำรายงาน โดย สวทช. บอกรับและให้บริการครบทั้ง 3 แพลตฟอร์ม คือ Food & Drink (MFD), Beauty & Personal Care (BPC) และ Household & Personal Care (HPC)

ภาพที่ 1 เว็บไซต์ฐานข้อมูล Mintel
www.mintel.com

 

ภาพที่ 2 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Dengue : Health care, Pet control, Insect repellent, Food

1. เวียดนามและอินโดนีเซียกำลังมีส่วนร่วมในการทดสอบเพื่อเพาะพันธุ์แมลงต้านทานไข้เลือดออก แบคทีเรียที่ต้านทานโรคที่เรียกว่า Wolbachia ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติในการป้องกันยุงไม่ให้แพร่เชื้อไวรัส Dengue ถึงชีวิตสู่มนุษย์
2. บริษัท Sharp กับเครื่องฟอกอากาศที่สามารถดักจับยุงและทำความสะอาดอากาศภายในอาคารที่ปนเปื้อน ด้วยเทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์อิออนของ Sharp และกลไกการดักจับยุงที่ไม่เป็นพิษ เครื่องฟอกอากาศใช้แสงยูวีเพื่อดึงดูดยุงและการดูดอากาศเพื่อดักจับพวกมันบนแผ่นกาวที่แข็งแรง เครื่องฟอกอากาศ Sharp ใช้ไอออนลบในการทำความสะอาดและทำให้อากาศภายในอาคารสดชื่น ระบบนี้ติดตั้งแผ่นกรอง HEPA และอ้างว่าสามารถดักจับอนุภาคในอากาศได้ 99.97% เช่น ควัน ฝุ่น และละอองเกสรที่มีขนาดเล็กเพียง 0.03 ไมครอน
3. Moto Repellent อุปกรณ์พกพาน้ำหนักเบาที่เติมน้ำมันไล่ยุงปลอดสารพิษซึ่งติดด้วยแม่เหล็กกับท่อไอเสียของรถจักรยานยนต์ ด้วยอุปกรณ์นี้ ความร้อนจากไอเสียจะกระตุ้นน้ำมันและขับกลิ่นออกด้วยแรงดันไอเสีย เนื่องจากถนนลาดยางและช่องทางเดินรถเล็กๆ ในชุมชนแออัด การติดอุปกรณ์เข้ากับมอเตอร์ไซค์จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการกับปัญหายุง
4. App ติดตามโรคมาลาเรียที่เรียกว่า “Track the Bite” App เตือนผู้บริโภคเกี่ยวกับการระบาดมาลาเรีย ให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์แก่ผู้คน ส่งข้อความส่วนตัวตามสถานที่และให้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภคหากอยู่ในพื้นที่ที่น่ากังวล ยังอนุญาตให้ผู้ใช้ส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายโซเชียลได้ด้วยคลิกเดียว

 

ภาพที่ 3 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Dengue : Health care, Pet control, Insect repellent, Food

5. เนื่องจาก climate change แมลงที่เป็นอันตรายกำลังแพร่กระจายเร็วขึ้น ซึ่งสร้างตลาดใหม่และโอกาสทางการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ควบคุมสัตว์รบกวน การเพิ่มขึ้นของจำนวนสัตว์รบกวนและการใช้เวลากลางแจ้งที่เพิ่มขึ้นจะผลักดันความต้องการผลิตภัณฑ์ควบคุมสัตว์รบกวน มีความสนใจเพิ่มขึ้นในพืชและสูตรที่ได้จากธรรมชาติในการควบคุมสัตว์รบกวน
6. การเพิ่มขึ้นของประชากรสัตว์รบกวนและเวลากลางแจ้งจะผลักดันความต้องการผลิตภัณฑ์ควบคุมสัตว์รบกวน
7. ปี 2020 คือปีแห่งนวัตกรรมในการควบคุม/ไล่สัตว์รบกวน การทำงานและความปลอดภัยเป็นตัวขับเคลื่อนประเภทการควบคุมสัตว์รบกวน แต่ก็ยังมีความสนใจเพิ่มขึ้นในพืชและสูตรที่ได้จากธรรมชาติ
8. กรดไขมันจากน้ำมันมะพร้าวที่มีคุณสมบัติขับไล่เห็บ แมลงกัดต่อย ยุงและตัวเรือดได้ยาวนาน
9. แบรนด์แฟชั่นสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ในบราซิล ได้เปิดตัวเสื้อผ้าที่แต่งแต้มด้วยตะไคร้หอมเพื่อต่อสู้กับไวรัสซิกา
10. อาหารและเครื่องดื่มสำหรับอาการเจ็บป่วยและความวิตกกังวลของผู้คนเกี่ยวกับไวรัสซิกา

 

ภาพที่ 4 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Dengue : Top categories

 

ภาพที่ 5 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Dengue : Top categories

ข้อมูล Advance Therapy จากผลงานวิจัยตีพิมพ์และผลิตภัณฑ์ในตลาด

การดำเนินงาน NSTDA Agenda ตามแผนกลยุทธ์ สวทช. ฉบับ 7 (พ.ศ. 2565-2570) หัวข้อ Medicine & Biopharmaceuticals ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการวินิจฉัย รักษาแบบแม่นยำ และการแพทย์ขั้นก้าวหน้า เพิ่มศักยภาพบริการและอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ และความมั่นคงด้านสาธารณสุข โดยเทคโนโลยีหนึ่งที่ใช้ในการดำเนินงาน คือ Advance Therapy

จากการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล Scopus สำหรับเทคโนโลยี Advance Therapy (คำค้น advance therapy จากเขตข้อมูล Title, Abstract, Keyword ผลงานทั้งหมดในฐานข้อมูล Scopus วันที่ 25 กรกฎาคม 2565) พบจำนวนบทความทางวิชาการความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี Advance Therapy เฉพาะของประเทศไทยจำนวน 249 รายการ โดย 5 อันดับหน่วยงาน/สถาบันที่มีผลงานตีพิมพ์บทความวิจัยสูงสุด ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 94 รายการ รองลงมา คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 54 รายการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 21 รายการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 14 รายการ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 9 รายการ สำหรับ สวทช. อยู่อันดับที่ 11 จำนวน 4 รายการ นอกจากข้อมูลบทความวิจัยแล้ว Advance Therapy ยังมีข้อมูลประเภทผลิตภัณฑ์จากฐานข้อมูล Mintel

Mintel คือ ระบบฐานข้อมูลด้านการตลาดเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจและอุตสาหกรรมของสินค้าอุปโภคบริโภคในกลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าเพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัว ซึ่งครอบคลุมแนวโน้มตลาดทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและคาดการณ์อนาคต มีบทวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค พฤติกรรมการบริโภคใหม่ๆ พร้อมด้วยข้อมูลเชิงสถิติ แนวโน้มการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และนวัตกรรมจากทั่วโลก รวมทั้งข้อมูลของส่วนผสม (Ingredient) ที่มีการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และโภชนาการ โดยมีทีมนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญของ Mintel จากทั่วโลก วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำรายงาน โดย สวทช. บอกรับและให้บริการครบทั้ง 3 แพลตฟอร์ม คือ Food & Drink (MFD), Beauty & Personal Care (BPC) และ Household & Personal Care (HPC)

ภาพที่ 1 เว็บไซต์ฐานข้อมูล Mintel
www.mintel.com

 

ภาพที่ 2 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Advanced Therapy : Health care, Beauty care, Food

1. สเต็มเซลล์สำหรับกระดูกสันหลัง – รัฐมนตรีสาธารณสุขของญี่ปุ่นคาดว่าจะอนุมัติการผลิตและจำหน่ายยารักษาโรคสเต็มเซลล์ของมนุษย์ เพื่อการฟื้นฟูสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง
2. Start-up Ready3D และ Swiss Federal Institute of Technology ได้พิมพ์ตับอ่อนเพื่อทดสอบการรักษาโรคเบาหวาน
3. GlaxoSmithKline (แกล็กโซสมิธไคลน์ พีแอลซี หรือ GSK) บริษัทยาจากสหราชอาณาจักร เข้าลงทุนใน Harvard Stem Cell Institute $25 ล้าน โดยหวังว่าข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวจะนำไปสู่การพัฒนายาใหม่
4. การพัฒนาการอุดฟันที่ช่วยให้ฟันสามารถรักษาตัวเองได้ โดยกระตุ้นสเต็มเซลล์กระตุ้นการเจริญเติบโตของเนื้อฟัน
5. Start-up สิงคโปร์พบวิธีสร้างน้ำนมแม่จากสเต็มเซลล์
6. นักวิทยาศาสตร์ของ Tel Aviv และ Harvard University ได้สร้าง Organs-on-a-chip สำหรับการพัฒนายาเฉพาะบุคคล

 

ภาพที่ 3 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Advanced Therapy : Health care, Beauty care, Food

7. Mane Biotech ในประเทศเยอรมนีกำลังพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่เพื่อกระตุ้นสเต็มเซลล์ให้ปลูกผมและต่อสู้กับผมร่วง
8. LG Pra.L MediHair พัฒนาอุปกรณ์สวมใส่เพื่อกระตุ้นสเต็มเซลล์รากผมและสนับสนุนการเจริญเติบโตของเส้นผม
ยังช่วยให้หัวล้านช้าลงด้วย
9. โปรแกรมต่อต้านริ้วรอยของ Dior อ้างว่าสามารถป้องกันและแก้ไขริ้วรอยโดยกำหนดสเต็มเซลล์เป้าหมาย เนื่องจาก
สเต็มเซลล์เสื่อมสภาพตามกาลเวลา การปกป้องจึงสร้างเซลล์ใหม่ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมฟื้นฟูและคงความอ่อนเยาว์ของผิวอย่างแท้จริง
10. Lowan Aging Care Stem Eyecream ซึ่งใช้การเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์จากมนุษย์เพื่อเติมความชุ่มชื้น
11. ขนมเนื้อแห้งที่ทำจากเนื้อที่เลี้ยงในห้องแล็บผ่านกระบวนการใหม่ที่ใช้สเต็มเซลล์จากวัว

ตำราเรียนแบบเปิด (open textbook) เป็นวิธีแก้ปัญหาตำราเรียนที่มีราคาสูง

หลายมหาวิทยาลัยกำลังสนับสนุนการใช้ตำราเรียนแบบเปิดในการเรียนการสอน เพื่อลดค่าใช้จ่ายสำหรับการซื้อตำราเรียนที่มีราคาสูง มาทำความรู้จักว่าตำราเรียนแบบเปิดมีลักษณะเป็นอย่างไร ดังข้างล่างค่ะ

– ตำราเรียนแบบเปิดมีให้ฟรีเพื่ออ่านออนไลน์หรือดาวน์โหลด
– ในรูปแบบสั่งพิมพ์ออกมามีให้ในราคาไม่แพง (20-40 ดอลลาร์)
– ตำราเรียนแบบเปิดถูกเขียนและ reviewed โดยผู้เชี่ยวชาญ และนักศึกษาค้นพบว่านักศึกษาทำได้ดีหรือดีกว่าในชั้นเรียนที่ใช้ตำราเรียนแบบเปิด
– การอนุญาตแบบเปิดส่วนใหญ่ทำให้ผู้สอนสามารถดัดแปลงตำราเรียนและปรับให้เหมาะสมกับหลักสูตร
– ตำราเรียนแบบเปิดในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่มีหมดอายุดังนั้นสามารถเก็บสำเนาได้ตลอดไป

ตำราเรียนแบบเปิดมีให้แล้วสำหรับมากกว่า 100 หลักสูตรและใช้โดยมากกว่า 3,000 อาจารย์

การประหยัดจากการใช้ตำราเรียนแบบเปิดมีมูลค่าสูง ทำให้ชั้นเรียนคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์เปลี่ยนไปใช้ตำราเรียนแบบเปิดสามารถทำให้นักศึกษาประหยัดเป็นเงิน 10,000 ดอลลาร์

ตำราเรียนแบบเปิดยังสนับสนุนระบบใหม่ซึ่งความรู้ถูกแบ่งปันและฟรีสำหรับทุกคน

มี 3 ความท้าทายที่สำคัญที่ทำให้ตำราเรียนแบบเปิดไม่ถูกใช้ในชั้นเรียนมากขึ้น
– ต้องใช้เวลาและเงินเพื่อเขียนตำราเรียนแบบเปิด
– ต้องใช้เวลาและทรัพยากรเพื่อแนะนำคณะเกี่ยวกับตำราเรียนแบบเปิด
– ต้องใช้เวลาและการฝึกอบรมเพื่อสนับสนุนคณะในการใช้ตำราเรียนแบบเปิด

ข้างล่างเป็นที่ที่สามารถพบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับตำราเรียนแบบเปิด
– The Student PIRGs (http://studentpirgs.org/open-textbooks/)

– Right to Research Coalition (http://www.righttoresearch.org)

– SPARC (http://www.sparc.arl.org/issues/open-education)

– College Board (http://trends.collegeboard.org/college-pricing)

– U.S. Government Accountability Office ได้เผยแพร่ 2 รายงานหลักเกี่ยวกับราคาตำราเรียน ได้แก่ http://www.gao.gov/products/GAO-13-368 และ http://www.gao.gov/products/GAO-05-806

ที่มา: Open Textbook Alliance. Student Government Toolkit. Retrieved July 18, 2022, from https://studentpirgs.org/resources/textbooks-toolkit/

วิธีที่คณะเลือกและใช้วัสดุการศึกษาสำหรับหลักสูตร

Babson Survey Research Group ได้ทำการสำรวจกับ 3,288 คณะ และ 812 หัวหน้าภาคของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา เพื่อหาวิธีที่คณะเลือกและใช้วัสดุการศึกษาสำหรับหลักสูตร สิ่งที่พบหลัก คือ

– ความตระหนัก OER ของคณะเพิ่มขึ้นทุกปี ด้วย 46% ของคณะตระหนัก OER ในการสำราจครั้งนี้ เพิ่มขึ้นจาก 3 ปีที่แล้วที่อยู่ที่ 34%

– เป็นครั้งแรกที่มีคณะมากกว่าแสดงว่าชอบวัสดุดิจิทัลมากกว่าสิ่งที่พิมพ์ออกมาในชั้นเรียน

– 61% ของคณะทั้งหมด, 71% ของผู้ที่สอนหลักสูตรเบื้องต้นที่มีการลงทะเบียนจำนวนมาก และ 73% ของหัวหน้าภาค เห็นด้วยอย่างมากหรือเห็นด้วยว่าค่าใช้จ่ายสำหรับวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรเป็นปัญหาที่สำคัญสำหรับนักศึกษา

– หัวหน้าภาคมีความเชื่ออย่างมากว่าการทำให้ตำราเรียนมีราคาไม่แพงสำหรับนักศึกษาจะเป็นการปรับปรุงที่สำคัญที่สุดของวัสดุที่ใช้ในหลักสูตร

– น้อยกว่า 1 ใน 5 สมาชิกคณะมีความตระหนักในการริเริ่มที่ระดับภาควิชา, สถาบัน หรือระบบเพื่อจัดการกับค่าใช้จ่ายของวัสดุที่ใช้ในหลักสูตร

– คณะได้ดำเนินการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายโดยสนับสนุนตำราเรียนที่ใช้แล้วและโปรแกรมการให้เช่า, ทำสำเนาสำรอง และใช้ค่าใช้จ่ายในการตัดสินเลือกวัสดุ

– คณะทั้งหมดพอใจกับตำราเรียนที่ถูกต้องการมาก ด้วยมากกว่า 80% พอใจมากหรือพอใจปานกลาง คณะแสดงความไม่พอใจมากเกี่ยวกับราคา, การปรับบ่อย ๆ ที่ไม่จำเป็น และประเด็นอื่น ๆ ของตำราเรียนเพื่อการค้า

– คณะเปลี่ยนแปลงตำราเรียนบ่อย ๆ โดยนำเสนอวัสดุในลำดับที่แตกต่าง (70%), ไม่เอาบาง sections (68%), แทนที่เนื้อหา (45%), แทนที่ด้วยเนื้อหาจากคนอื่น (41%), แก้ข้อผิดพลาด (21%) หรือแก้ไขวัสดุตำราเรียน (20%)

OER สามารถตอบความกังวลในค่าใช้จ่ายของคณะ ยังสนับสนุนการ revise และ remix เนื้อหาของตำราเรียนซึ่งคณะใช้อยู่แล้ว รวมกับการเพิ่มขึ้นของการยอมรับสื่อดิจิทัลและผลของการริเริ่มของสถาบันเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของตำราเรียน จะกระตุ้นการขยายเพิ่มขึ้นในอนาคตของความตระหนักและการใช้ OER

ที่มา: Julia E. Seaman and Jeff Seaman (2018). Freeing the Textbook: Educational Resources in U.S. Higher Education, 2018. Babson Survey Research Group. Retrieved July 18, 2022, from https://www.bayviewanalytics.com/reports/freeingthetextbook2018.pdf

 

ความคาดหวังของคณะเกี่ยวกับอนาคตของการศึกษาในมหาวิทยาลัย

Bay View Analytics ได้ทำการสำรวจในปี 2020 จาก 1,131 คณะของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา คำถามในการสำรวจเกี่ยวกับความเห็นและความคาดหวังของสมาชิกในคณะเกี่ยวกับอนาคตของการศึกษาในมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา สิ่งที่พบหลัก คือ

การสำรวจได้ดำเนินระหว่างการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้มีผลต่อผลการสำรวจ คณะส่วนใหญ่มีความคิดในเชิงบวกหรือเป็นกลางเกี่ยวกับอนาคตของการศึกษาในมหาวิทยาลัย ในขณะที่คณะมีความหวังสำหรับอนาคตที่ดีกว่า ยังมีความกังวลมากเกี่ยวกับหลักสูตร, นักศึกษา และสถานะของระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยทั้งหมด

– คณะมีความคิดในเชิงบวกมากกว่าและมีความคิดในเชิงลบน้อยกว่าเกี่ยวกับการศึกษาในมหาวิทยาลัยในช่วงระยะเวลาขนาดกลาง (5 ปี) กว่าในช่วงระยะเวลาสั้น (2 ปี)

– เกือบจะ 9 ใน 10 คณะ เชื่อว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 มีผลอย่างมากต่ออนาคตของการศึกษาในมหาวิทยาลัย

– ประมาณ 8 ใน 10 คณะ รายงานว่ามีความหวังว่าผลของการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะมีผลในระยะยาวต่อสถาบัน

– ปัจจัยอื่น ๆ ที่คณะคาดหวังว่ามีผลอย่างมากต่อการศึกษาในมหาวิทยาลัย ได้แก่ การเรียนออนไลน์ (online learning), ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ (income inequality) และความไม่มั่นคงทางการเมือง (political instability)

– ประมาณ 60% ของคณะ คาดหวังว่าการสอนและการเรียนรู้จะแตกต่างกันอย่างชัดเจนในปี 2025 และคณะส่วนใหญ่หวังว่าจะมีการปรากฏต่อไปของการเรียนออนไลน์และข้อจำกัดทางการเงิน (financial constraints)

ที่มา: George Veletsianos, Nicole Johnson and Jeff Seaman (2021). Digital Faculty: Faculty Expectations About the Future of Higher Education. Bay View Analytics. Retrieved July 13, 2022, from https://www.bayviewanalytics.com/reports/digitalfaculty-futures.pdf