วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน เมษายน 2564

วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน เมษายน 2564

บทบาทใหม่ของภาคเอกชนในอวกาศ
National Aeronautics and space Administration หรือ NSDA ที่ประสบความสำเร็จในโครงการต่าง ๆ มากมาย แต่ปัจจุบันบริษัทเอกชนอย่าง SpaceX, Blue Origin, Boeing บริษัทเอกชนเริ่มมีบทบาทเป็นด้านอวกาศมากขึ้น

การปิดฉากกระสวยอวกาศของสหรัฐฯ

การส่งนักบินขึ้นไปในอวกาศ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ค่าใช้จ่ายมหาศาลและการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ความท้าทายของการส่งน้ำหนักบรรทุกไปยังวงโคจรรอบโลก คือน้ำหนัก ความสูง และความเร็ว ส่วนที่ยากที่สุดของการส่งจรวดคือ จรวดนั้นเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ด้วยการทิ้งมวลบางส่วนเอาไว้เบื้องหลัง ดังนั้น เราจะต้องแบกเชื้อเพลิงที่จะขับดันขึ้นไปด้วย ด้วยความท้าทายและค่าใช้จ่ายที่สูงในการบรรทุกน้ำหนัก จึงทำให้การนำกลับมาใช้ใหม่เป็นเรื่องที่แพง จรวดในยุคแรก ๆ นั้นจึงเป็นการออกแบบแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ซึ่งเป็นการฟุ่มเฟือยมาก ด้วยเหตุนี้ การพัฒนาโครงการกระสวยอวกาศในช่วงปี 2523 ก็ไม่ได้ถูกอย่างที่คิด หากเทียบค่าใช้จ่ายการส่งกระสวยอวกาศขึ้นไปหนึ่งครั้งจะใช้เงินประมาณ 450 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่จรวด Soyuz ของรัสเซียมีค่าใช้จ่ายประมาณ 80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อหัว องค์การ NASA จึงยกเลิกโครงการกระสวยอวกาศ และมาใช้บริการของจรวด Soyuz ของรัสเซียในการส่งนักบินอวกาศไปยังสถานีอวกาศนานาชาติตั้งแต่ปี 2554 แทน

เปิดฉากความยิ่งใหญ่ของภาคเอกชน

ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เริ่มต้นจากการแข่งขันระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจ คือ สหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต เงินจำนวนมหาศาลที่สหรัฐฯ ลงทุนไป ความสิ้นเปลืองนี้ เป็นเหตุให้ NASA ถูกตัดงบประมาณและต้องยุติหลายโครงการลงในเวลาต่อมา แต่ทั้งนี้ NASA ยังคงส่งนักบินอวกาศและศึกษาเรื่อยมา ตั้งแต่ปี 2554 โดยเอกชนธุรกิจ ไม่จำกัดอยู่แค่หน่วยงานรัฐบาล จึงเกิดเป็นโครงการ Commercial Crew Program (CCP) โดย NASA ให้เงินทุนสนับสนุนให้เอกชนสร้างยานอวกาศและจรวด สร้างตลาดให้เกิดการแข่งขันโดยใช้นวัตกรรม รายได้ และผลประโยชน์ ให้เกิดการพัฒนาในระยะยาว

กลับสู่ดวงจันทร์ เพื่อการเดินทางใหม่…สู่ดาวอังคาร

Walked on the Moon —
“That’s one small step for man, one giant leap for mankind.”

จากประวัติศาสตร์ในปี 2512 นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศชาวสหรัฐฯ ได้เดินทางไปเหยียบดวงจันทร์สำเร็จ และหลังจากนั้นมีนักบินอวกาศอีก 11 คน ได้มีโอกาสเดินทางไปเหยียบดวงจันทร์ โดยคนสุดท้ายที่ไปเหยียบดวงจันทร์เมื่อปี 2515 หรือเมื่อ 49 ปีที่แล้ว
ในปี 2560 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามใน Space Policy Directive 1 เพื่อเรียกร้องให้ NASA ส่งมนุษย์กลับไปยังดวงจันทร์อีกครั้ง ซึ่ง NASA เชื่อว่า การสำรวจดวงจันทร์ครั้งล่าสุดนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ สร้างสถานะเชิงกลยุทธ์ในอวกาศ และขยายความร่วมมือระหว่างประเทศในอนาคต

โครงการ Artemis Land first woman, next man on the moon

          หลังจากการประกาศ Space Policy Directive 1 เมื่อเดือนธันวาคม 2560 ทำให้เกิดโครงการ Artemis (อาร์ทีมิส เป็นชื่อเทพเจ้ากรีกเทพีแห่งดวงจันทร์ ที่มีพี่ชายฝาแฝดชื่อ เทพเจ้า Apollo (อพอลโล) ซึ่งเป็นชื่อโครงการที่ NASA เคยใช้ในการพานักบินอวกาศไปสำรวจดวงจันทร์) ซึ่งโครงการนี้จะพานักบินอวกาศหญิงคนแรกและนักบินอวกาศชายไปเหยียบ ณ ขั้วใต้ของดวงจันทร์ในปี 2567 ด้วยยาน Orion MPCV (Orion Multi-Purpose Crew Vehicle) ไปกับจรวด SLS (Space Launch System) ของ NASA โดยได้รับความร่วมมือจากองค์การอวกาศต่างประเทศ เช่น ESA และบริษัทเอกชน โครงการ Artemis ยังรวมถึง การตั้งฐานแบบถาวร (Artemis Base Camp) เพื่อปูทางในการการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ และเศรษฐกิจ เพื่อพามนุษยชาติไปดาวอังคารก่อนปี 2573

การปูทางเพื่อเดินทางต่อไปยังดาวอังคาร

          การดำเนินการของ NASA ในโครงการ Artemis คือ การสร้างฐานที่ขั้วใต้ของดวงจันทร์ หรือ Artemis Base Camp ที่จะใช้ในสำรวจดวงจันทร์ เก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมถึง การศึกษาการอาศัยอยู่ของมนุษย์ระยะเวลากว่า 2 เดือน โดยใน Artemis Base Camp ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ (1) Lunar Terrain Vehicle (LTV) สำหรับให้นักบินอวกาศขับไปมาเพื่อสำรวจ (2) Habitable Mobility Platform หรือคล้าย ๆ รถบ้านที่ใช้วิ่งบนดวงจันทร์ สำหรับการปฏิบัติภารกิจนอก Artemis Base Camp ที่อยู่นอกฐานไกลออกไปตั้งแต่ 10 กิโลเมตรขึ้นไป และส่วนสุดท้าย คือ (3) Foundation Surface Habitat ที่เป็นฐานหลัก ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ เช่น โมดูล การสื่อสาร โมดูลพลังงาน โมดูลป้องกันรังสี Launch pad ระบบกำจัดของเสีย และระบบเก็บของ

ดาวอังคารพิเศษอย่างไร ทำไมนานาประเทศถึงต้องการศึกษา???

          ดาวอังคาร (Mars) ดาวเคราะห์ที่อยู่ถัดจากโลก หรือที่รู้จักในชื่อ ดาวแดง เนื่องจากมีออกไซด์ของเหล็กดาษดื่นบนพื้นผิว ทำให้ดาวมีสีแดงเรื่อนั้น เป็นดาวเคราะห์ที่นักวิทยาศาสตร์และองค์กรทางด้านอวกาศนานาประเทศให้ความสนใจ
การสำรวจดาวอังคารมีเป้าหมายกว้าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ 4 ข้อ คือ
เป้าหมาย 1: ศึกษาว่าสิ่งมีชีวิตเคยเกิดขึ้นบนดาวอังคารหรือไม่
เป้าหมาย 2: ศึกษาลักษณะภูมิอากาศของดาวอังคาร
เป้าหมาย 3: ศึกษาลักษณะทางธรณีวิทยาของดาวอังคาร
เป้าหมาย 4: เตรียมพร้อมสำหรับการสำรวจดาวอังคารของมนุษย์

กองทัพอวกาศสหรัฐฯ UNITED STATES SPACE FORCE

กองทัพอวกาศสหรัฐฯ หรือ U.S. Space Force (USSF) เป็นกองทัพเหล่าที่ 6 ของสหรัฐฯ ต่อจากกองทัพบก (Army) นาวิกโยธิน (Marine Corps) กองทัพเรือ (Navy) กองทัพอากาศ (Air Force) และหน่วยยามชายฝั่ง (Coast Guard) ที่เริ่มบังคับใช้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2562

ความจำเป็นที่ต้องมีกองทัพอวกาศ

การดำเนินชีวิตประจำวันของคนเราส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติงานในอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ GPS หรือการใช้อินเตอร์เน็ต ยังรวมไปถึงการใช้งานทางการทหารเพื่อรักษามั่นคงของประเทศ กองทัพอวกาศสหรัฐฯ นี้ มีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ ในห้วงอวกาศที่ดำเนินกิจกรรมอวกาศในทางสันติ ขัดขวางการรุกราน และปฏิบัติการทางอวกาศในรูปแบบต่าง ๆ ของสหรัฐฯ จากข้อมูลในเดือนมกราคม 2564 สหรัฐฯ มีดาวเทียมอยู่ในอวกาศภายนอก (Outer Space) จำนวน 1,897 ดวง ถือว่ามีจำนวนมากที่สุดในโลกเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนดาวเทียมทั้งหมดทั่วโลก (รัสเซียมีดาวเทียม 176 ดวง จีนมีดาวเทียม 412 ดวง และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกมีดาวเทียม 887 ดวง)

ขยะอวกาศ

ขยะอวกาศ คืออะไรก็ได้มนุษย์สร้างขึ้นและไม่ได้ใช้งาน ที่ยังโคจรรอบ ๆ โลก เช่น ดาวเทียมเก่า ท่อนจรวดนำส่งหรือชิ้นส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ถูกทิ้งหรือหลุดลอยออกไปจากยาน หรือชิ้นส่วนยานพาหนะที่ระเบิดหรือชนกัน จำนวนขยะอวกาศในวงโคจรที่เพิ่มขึ้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อดาวเทียมที่ยังใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน และทำหการบนิในอวกาศอันตรายมากขึ้น ขยะอวกาศยังเป็นภัยต่อมนุษยชาติ ภัยที่ไม่สามารถมองเห็น และไม่สามารถบอกได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2564 ชิ้นส่วนของจรวด Long March B5 ของจีน ได้วิ่งกลับเข้ามายังโลกพุ่งลงยังมหาสมุทรอินเดีย โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ

Space Tourism เทรนด์ใหม่ของการท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวอวกาศ เป็นอุตสาหกรรมเกิดใหม่ที่บริษัทเอกชนขนาดใหญ่อย่าง Virgin Galactic, Blue Origin และ SpaceX เข้ามาลงทุน ซึ่งคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวในอวกาศทั้ง suborbital และ orbital รวมกันจะมีมูลค่าถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2573
Zero G Flight
เริ่มต้นที่เที่ยวบินจำลองแบบยังไม่ออกไปอวกาศจริง แต่ให้รู้สึกใกล้เคียงกับอวกาศที่สุด สัมผัสได้ถึงสภาวะไร้น้ำหนัก (Zero Gravity หรือ Microgravity) ด้วยเครื่องบิน Boeing 727 บินในลักษณะพาราโบลา คือ บินขึ้นสูงในระดับหนึ่ง แล้วดิ่งลงมา ทำให้ผู้โดยสารสามารถรู้สึกได้ถึงสภาวะไร้น้ำหนักประมาณ 20 วินาที สำหรับแต่ละเที่ยวบินจะบินขึ้นลงในลักษณะพาราโบลา 15 ครั้ง การบินแบบไร้น้ำหนักนี้ให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการประสบการณ์ใหม่ หรือสำหรับการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยเที่ยวบิน Zero G Flight ราคาอยู่ที่ประมาณ 7,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 219,000 บาท

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2021/ost-sci-review-april2021.pdf

 

 

วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน มีนาคม 2564

วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน มีนาคม 2564

Foresight คืออะไร และอะไรที่ไม่ใช่ Foresight

Foresight หรือ Foresight Study คือ การอธิบาย วิเคราะห์ และคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต หรือเพื่อออกแบบอนาคตที่อยากให้เกิดขึ้น
1. การมองอนาคต (Foresight) เป็นศาสตร์ที่ต้องใช้ความคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) ประกอบกับความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) และจินตนาการ (Imagination)
2. เครื่องมือการมองอนาคตในปัจจุบันเป็น “กระบวนการตัดสินใจร่วมกัน (Participatory Deliberative Process ของ stakeholder ทั้งหมด รวมถึง Document Research ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ จะถูกนำผลการวิจัยไประดมความคิดเห็นเชิงลึกมากขึ้น
3. เครื่องมือการมองอนาคตมุ่งเน้น “การเปลี่ยนแปลงที่จริงจัง และมีความยั่งยืน (Transformation)” ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมทั้งด้าน สังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา และนโยบายสาธารณะ Foresight จึงมีความ Multidisciplinary Approach มากกว่าวิทยาศาสตร์หรือสังคมศาสตร์โดยเฉพาะ
4. การมองอนาคตไม่ได้จำกัดเพียงการวิเคราะห์และคาดการณ์อนาคต แต่รวมไปถึงการออกแบบอนาคต ซึ่งอนาคต (Futures)
5. การมองอนาคตเป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอน (Multiple Steps) ใช้เวลายาวนานและมีลักษณะการทวนซ้ำ (iteration)

ความแตกต่างระหว่าง Forecast และ Foresight

          ความแตกต่างระหว่าง การมองอนาคต (Foresight) และการพยากรณ์ (Forecasting) คือ การพยากรณ์ (Forecasting) เป็นการวาดเส้นทางการไปสู่เป้าประสงค์ที่คาดการณ์ไว้เพียงเส้นทางเดียวจากปัจจุบันและสิ่งที่คาดว่าจะเป็นอนาคต ขณะที่ การมองอนาคต (Foresight) เป็นการวาดเส้นทางการไปสู่เป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ไปในหลายเส้นทาง

ความสำคัญของ Foresight Study ในปัจจุบัน

วิทยาการการจัดการข้อมูลที่มีการรวบรวมในระบบ Meta Data และ Big Data มีความก้าวหน้าไปมาก ทำให้การบันทึก และประมวลชุดข้อมูล (ด้านเวลา ด้านพื้นที่ สถานที่ และตัวแปรต่าง ๆ) สามารถนำมารวบรวมไว้อย่างเป็นระบบ และนำมาใช้โดยเฉพาะการนำข้อมูลจากอดีตถึงปัจจุบัน มาวิเคราะห์คาดการณ์อนาคต เพื่อหาแนวโน้มสิ่งที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถจัดทำนโยบาย และแผนงานมาเตรียมรองรับ ปรับตัว ดังนั้น Foresight Study จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลของประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา นำมาใช้ในการสร้างภาพจำลองของอนาคตและการวางแผนกลยุทธ์ระยะยาวของหลายองค์กร

หน่วยงานของรัฐบาลกลางในสหรัฐฯ และการใช้การมองการณ์ไกล

1.สำนักงานความรับผิดชอบของรัฐบาล (Government Accountability Office)
2.หน่วยข่าวกรองกลาง (Central Intelligence Agency)
3.หน่วยรักษาการณ์ชายฝั่ง กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Coast Guard Department of Homeland Security)

6 มิติ ของภาพอนาคต ความเปลี่ยนแปลงหลังวิกฤต COVID-19 ที่อาจเกิดขึ้นได้

          จากแนวโน้มสถานการณ์การแก้ปัญหาโควิด-19 ในประเทศไทย หลายท่านอาจสงสัยว่า “ถ้าวิกฤต
โควิด-19 สิ้นสุดลงประเทศไทยจะเดินหน้าอย่างไร? วิถีชีวิตใหม่จะเป็นอย่างไร? สังคมไทยจะเดินหน้าไปในทิศทางไหน? เศรษฐกิจไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร? 6 มิติ ของภาพอนาคต ความเปลี่ยนแปลงหลังวิกฤต COVID-19 ที่อาจเกิดขึ้น มีภาพอนาคตอะไรบ้าง
มิติที่ 1 ภาพใหม่ของระบบสาธารณสุขและโรงพยาบาล
– ความต้องการใช้งานระบบรักษาจากทางไกล (Telemedicine)
– การรักษาและตรวจสุขภาพด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริง (Virtual Treatment)
– ทรัพยากรด้านระบบสาธารณสุขถูกนำไปใช้ในประเด็นวิกฤติมากขึ้น

มิติที่ 2 การเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัย
– มหาวิทยาลัยสูญเสียรายได้จากนักศึกษา เกิดการแข่งขันในตลาดออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น
– แนวโน้มการเรียนจากทางไกลที่เพิ่มขึ้น (Remote Classes)
– ปัจจัยการเลือกเรียนมหาวิทยาลัยของนักศึกษาที่เปลี่ยนไป

มิติที่ 3 การโยกย้ายห่วงโซ่การผลิตโลก Shift of Global Value Chain, GVC
– การจัดการความเสี่ยงต่อสถานการณ์วิกฤติ และการกีดกันทางการค้ารูปแบบใหม่
– การเปลี่ยนแปลงรูปแบบห่วงโซ่การผลิต ความร่วมมือและการใช้ประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากร
– การปรับตัวของห่วงโซ่มูลค่า เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิต

มิติที่ 4 สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน China-US New Trade War
– การเผชิญหน้ากันระหว่างจีน – สหรัฐฯ จากปัญหาโควิด-19
– เกมการเมืองและการให้ร้าย
– เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศด้านการแข่งขันและการแย่งชิงทรัพยากร
– การเติบโตของประเทศจีน ในขณะที่สหรัฐฯ ยังไม่ฟื้นตัว

มิติที่ 5 ความเชื่อทางศาสนาหลังการระบาด Post-Pandemic Theological Value
– การต่อต้านจีนและนิการชีอะฮ์ของคนมุสลิม
– การต่อต้านความเชื่อแบบพหุเทวนิยม (Polytheism)
– ความเชื่อในวันสิ้นโลกและการพิพากษาจากพระเจ้ามากขึ้นจนนำไปสู่การก่อการร้าย
– ความเคร่งทางศาสนาที่ถูกผ่อนปรน อาทิ งานศพทางไกล

มิติที่ 6 การเปลี่ยนผ่านจากดิจิทัลสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ From Digital to Biotechnology
– เทคโนโลยีเครือข่ายและการเชื่อมต่อกลายเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการแข่งขัน
– บริษัทเทคโนโลยีกลายเป็นหัวใจหลักในการสนับสนุนทางการแพทย์มากกว่ารัฐบาล
– การนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์กลายเป็นประเด็นที่สังคมตระหนักและให้ความสำคัญ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2021/ost-sci-review-mar2021.pdf

 

ตอนที่ 5 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย

รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ

นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย

เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย คุณสุริยกมล มณฑา และคณะ คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย และคณะ ดร.ปิติ อ่ำพายัพ และคณะ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ดร.อัญชลี มโนนุกุล ดร.ขจรศักดิ์ เฟื่องนวกิจ และคณะ ดร.ชัญญา พุทธิขันธ์ ดร.อรประไพ คชนันทน์ และ ดร.อัญชลี ทัศนาขจร

วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2564

วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2564

ย้อนอดีตอารยธรรมเก่าแก่ในเม็กซิโก
           ศูนย์กลางความเจริญและยิ่งใหญ่ในอดีต ที่เรียกว่า Mesoamerica ปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตสหรัฐเม็กซิโก ดังปรากฎให้เห็นร่องรอยอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไม่แพ้อารยธรรมของอาณาจักรในเขตเอเชียและยุโรป
อารยธรรมโบราณในเม็กซิโก มีความซับซ้อนและแทรกไปด้วยวิทยาศาสตร์และวิทยาการที่ล้ำสมัย ในยุคแรกวัฒนธรรมหลักจาก 4 ชาติ ได้แก่ โอลเม็ก (Olmec), มายา (Maya), แอชเท็ก (Aztec) และอินคา (Inca) สามชนเผ่าแรกอาศัยอยู่ในเม็กซิโก ในแต่ละช่วงเวลา มีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่ก่อให้เกิดผลงานในด้านศิลปะ วรรณกรรม และวิทยาศาสตร์ ที่ยังคงเหลือซากปรักหักพัง แทรกไปด้วยความลี้ลับว่า เป็นผลงานของมนุษย์หรือไม่ โดยพื้นที่เหล่านี้ได้รับการจดทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกจากองค์การ UNESCO

Timeline ของแต่ละชนเผ่าในเม็กซิโก
          – Pre-classic ช่วงก่อนคริสตศักราช 1200 ปี จนถึง ค.ศ. 400 เป็นยุครุ่งเรืองของอารยธรรมของชาวโอลเม็ก มีถิ่นอาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มเขตร้อนทางตอนใต้ของเม็กซิโกตอนกลาง พื้นที่มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มมีเนินเขาเตี้ย ๆ สันเขา และภูเขาไฟ
ชาวโอลเม็กมีการสร้างรูปแกะสลักหินหยกและมีประติมากรรมแกะสลักที่เรียกว่า Colossal heads เป็นการแกะสลักหินรูหัวขนาดใหญ่ถึง 8 ฟุต และมีพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ซับซ้อน โอลเม็กถือเป็นอารยธรรมแม่ของทุกวัฒนธรรมใน Mesoamerica (ส่วนของเม็กซิโกและอเมริกากลาง) แต่กลับเป็นอารยธรรมที่คนรู้จักน้อยที่สุด
– ยุค Classic หรือช่วย ปี ค.ศ. 250 – ค.ศ. 950 เป็นยุคที่ปกครองโดยชาวมายัน มีศูนย์กลางอยู่ในที่ราบลุ่มเขตร้อนราบลุ่มเขตร้อนทางตะวันออกเฉียงใต้ของเม็กซิโก (บริเวณคาบสมุทรยูคาตาน) กัวเตมาลา ทางตอนเหนือของฮอนดูรัส และพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเอลซัลวาดอร์ ชาวมายันมีการเรียนรู้อักษรอียิปต์ งานศิลปะเป็นลักษณะภาพเขียน จิตกรรมฝาผนัง/หิน และไม้แกะสลัก สร้างมหาวิหารที่ยิ่งใหญ่ Chichén Itzá ชาวมายันเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ขั้นสูง มีการคิดค้นปฏิทินที่แม่นยำ
– Post-classic หรือช่วงปี ค.ศ. 1300 – 1521 เป็นยุครุ่งเรืองของชาวแอชเท็ก มีถิ่นอาศัยในหุบเขาทางตอนกลางและตอนใต้ของเม็กซิโก
ประติมากรรมของชาวแอชเท็ก เป็นการแกะสลักขนาดใหญ่ รูปแกะสลักคล้ายบล็อกที่ใช้เป็นเหมือนเสาตั้ง รวมถึงการสร้างสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ในรูปแบบของการสร้างมหาอำนาจ แสดงความยิ่งใหญ่ สถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ของชาวแอชเท็กที่เป็นที่รู้จักคือ Teotihuacán หรือมหาปิระมิดพระอาทิตย์ และพระจันทร์ นอกจากนั้น ยังมีการใช้รูปทรงเรขาคณิตในการวาดภาพและจิตรกรรม
เม็กซิโก จึงเป็นประเทศที่น่าศึกษา ค้นคว้า วิจัย ในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ผนวกกับวัฒนธรรมที่มีความแปลกและความก้าวหน้าในกาลก่อน

ชาวมายันนักศาสตร์และศิลป์ดึกดำบรรพ์
          อารยธรรมของชาวมายัน เป็นอารยธรรมที่รุ่งโรจน์ที่สุดในทวีปอเมริกา ในแถบคาบสมุทรยูคาตาน
การคำนวณทางคณิตศาสตร์
ระบบตัวเลขของชาวมายันมาจากการใช้สัญลักษณ์ง่าย ๆ ที่ทำให้สามารถบวก ลบ คูณ หาร ได้โดยใช้สัญลักษณ์เพียง 3 แบบเท่านั้น นอกจากคิดค้น ระบบคณิตศาสตร์พื้นฐานแล้ว ชาวมายันยังได้เรียกได้ว่าเป็นนักคณิตศาสตร์ที่มีการพัฒนาการคำนวณทางคณิตศาสตร์ขั้นสูงและอาศัยการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติจากตาเปล่า ทำให้สามารถคำนวณปฏิทินที่ความแม่นยำมากอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย

การศึกษาด้านดาราศาสตร์
สร้างระบบปฏิทินที่มีความซับซ้อน มีการคำนวณปีสุริยคติที่แม่นยำและค่ามีตัวเลขที่ใกล้เคียงกับการคำนวณในปัจจุบันอย่างน่าอัศจรรย์ หนึ่งในนั้นเรียกว่า ปฏิทินแบบ Haab ซึ่งเป็นปฏิทินที่มีจำนวนวันในหนึ่งปีเท่ากับตัวเลขที่เราใช้กันในปัจจุบันคือ 365 วัน โดยชาวมายันคำนวณว่า หนึ่งปีสุริยคติของพวกเขามีจำนวนวันทั้งหมด 365.2422 วัน (ระยะเวลานานกว่า 365 วันเล็กน้อย) ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับที่นักวิชาการร่วมสมัยคำนวณไว้ที่ 365.24219 วัน รวมถึง การคำนวณความยาวของเดือนจันทรคติอยู่ที่ 29.5308 วัน ซึ่งใกล้เคียงกับการประมาณในปัจจุบันที่ 29.53059 วัน เป็นอย่างมากทีเดียว

การใช้ยาหลอนประสาท (Hallucinogenic Drugs)
การใช้ยาหลอนประสาทของชาวมายัน เพื่อประกอบพิธีกรรมเพื่อบูชาเทพเจ้า โดยในพิธีกรรมจะมีการดื่มเครื่องดื่มหรือกินพืชที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการมึนเมา เกิดภาพหลอน ชาวมายันเชื่อว่าทำให้สามารถติดต่อกับโลกแห่งจิตวิญญาณและสามารถเห็นในสิ่งที่ปกติเราไม่สามารถเห็นได้ เครื่องดื่มและพืชที่ว่านี้มีหลายอย่าง เช่น บัลเช่ (balché) เครื่องดื่มที่ได้จากการชงเปลือกไม้ Lonchocarpus longistylus ผสมกับน้ำผึ้ง ฯ

ในปัจจุบัน พืชบางประเภทนำมาใช้ทางการแพทย์ เพื่อรักษาอาการหดหู่ซึมเศร้าอย่างรุนแรง (major depressive disorder-MDD/clinical depression) และมีรายงานในวารสารทางการแพทย์ JAMA Psychiatry ในปี 2559 กล่าวถึงการใช้เห็ดมหัศจรรย์ในการบรรเทาอาการหดหู่และวิตกกังวลในคนป่วยที่เป็นมะเร็งในขั้นรุนแรง ซึ่งในปัจจุบัน ยาหลอนประสาท จากสิ่งที่เป็นสารต้องห้ามผิดกฎหมายในหลายประเทศ ได้มีผลงานวิจัย ยืนยันว่า มีสรรพคุณในการบำบัดโรคได้หลากหลาย โดยเฉพาะสารที่ได้จากพืชประเภทกัญชา

ลูกบอลยางพารา
ต้นยางพารา เป็นพืชท้องถิ่นในแถบอเมริกากลาง ชาวมายันเป็นชนกลุ่มแรกที่รู้จักกรีดยางนำมาใช้ประโยชน์ ก่อนชาวยุโรป หรือ Charles Goodyear นักเคมีชาวอเมริกัน จะพัฒนาผลิตภัณฑ์จากยางพารา
หลักฐานจากบันทึกของชาวสเปน ภาพสลักบนผนัง และขั้นบันไดของวิหารอุปกรณ์เครื่องไม้ได้ค้นพบ รวมถึง สนามแข่งบอลหนัง พบว่า ชาวมายันผสมน้ำยางและสารจากพืชอื่น ๆ ทำให้เกิดความยืดหยุ่นและนำมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ ภาชนะ รองเท้า รวมถึงลูกบอล โดยลูกบอลในสมัยชาวมายันทำมาจากยางตันทั้งก้อนขนาดและน้ำหนักแตกต่างไปในแต่ละศตวรรษ

ช็อคโกแลต
ช็อคโกแลตมีจุดกำเนิดมาในยุคชาวมายัน จากการศึกษาของนักโบราณคดี พบสาร Theobromine หลงเหลือบนถ้วยโบราณ ซึ่งเป็นสารที่ได้จากเมล็ดโกโก้ อีกทั้งภาพวาดของชาวมายัน วาดภาพกลุ่มชนชั้นสูงกำลังดื่มโกโก้และภาพเทพเจ้า เรียกได้ว่า เป็นของบวงสรวงถวายพระเจ้าเลยทีเดียว
ต้นโกโก้เป็นพืชท้องถิ่นมีการเพาะปลูกของชนเผ่ามายา โดยแกะเมล็ดออก แล้วนำเมล็ดไปหมัก เมื่อหมักได้ที่แล้ว คั่วเมล็ดโกโก้ให้หอม ฝัดให้เปลือกของเมล็ดโกโก้หลุด และบด จะได้เครื่องดื่มที่เรียกว่า “คาเคา (kakaw)” หรือโกโก้ในปัจจุบัน ในสมัยนั้น ชาวมายันผสมผงโกโก้ พริกไทย และข้าวโพดคั่วเพื่อผสมเป็นเครื่องดื่มสำหรับใช้ในงานพิธีต่าง ๆ

ศิลปะ
งานศิลปะของชาวมายันได้รับการยกย่องในด้านการใช้เทคนิคด้านวิศวกรรม และสถาปัตยกรรม ผสมผสานกับงานศิลปะที่เป็นแบบเฉพาะ เช่น การใช้ไม้ หยก หินออบซิเตียน (หินอัคนีเนื้อละเอียด สีดำ เป็นมันวาว) และดินเผา งานแกะสลักหิน งานประติมากรรม อาทิในเขตโบราณสถาน Palenque และ Yaxchilan ของเม็กซิโก

ระบบการเขียน
ชาวมายันได้คิดค้นรูปแบบการเขียนที่เรียกว่า glyphs ซึ่งเป็นภาพสัญลักษณ์ ใช้อธิบายหรือแทนคำ มีการใช้ภาพสัญลักษณ์ ประมาณ 700 สัญลักษณ์ ชาวมายันเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และความสำเร็จของชนเผ่าผ่านภาพสัญลักษณ์บนเสา กำแพง หรือบนแผ่นหินขนาดใหญ่ รวมทั้ง เรื่องราวการดำเนินชีวิตประจำวัน ปัจจุบันภาษามายาได้มีการแปลและทำความเข้าใจแล้ว ประมาณ 75%

สหรัฐเม็กซิโก ยุคร่วมสมัยกับนวัตกรรมเปลี่ยนโลกที่เกิดจากเม็กซิโก

การล่มสลายของอาณาจักรเอซเท็ก เม็กซิโกตกอยู่ในฐานะรัฐอาณานิคมของสเปน 300 ปี (ปี 2064 – 2364 สมัยอยุธยาตอนกลาง ถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น) ในช่วงนั้น เม็กซิโก ได้รับอิทธิพลจากยุโรปจนเกิดสงครามประกาศเอกราชที่กินเวลายาวนานถึง 10 ปี และในปี 2364 (สมัยรัชกาลที่ 2) เม็กซิโกได้รับเอกราช ผ่านรูปแบบจักรวรรดิที่มีจักรพรรดิ และสหพันธรัฐที่มีประธานาธิบดี จนกระทั่ง ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1940 – 1980 เป็นช่วงที่เม็กซิโกมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง นักประวัติศาสตร์เรียกช่วงเวลานี้ “มหัศจรรย์เม็กซิโก” (EI Milagro Mexicano) ยุคนี้เม็กซิโกได้เป็นประเทศที่คิดค้นนวัตกรรมหลายด้าน เช่น

โทรทัศน์สี

โทรทัศน์สีเครื่องแรก สร้างโดยนาย Guillermo González Camarena ชาวเม็กซิกัน ได้คิดค้นอุปกรณ์  Chromoscopic Adapter ซึ่งเป็นระบบส่งสัญญาณในโทรทัศน์สีในยุคแรก ๆ และได้จดสิทธิบัตรอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา

ยาเม็ดคุมกำเนิด (Oral Contraceptives)

การปฏิวัติการคุมกำเนิดเกิดขึ้นในช่วงคริสตทศวรรษที่ 1960 โดย Luis Miramontes นักเคมีชาวเม็กซิกัน ร่ามคิดค้นการสังเคราะห์ส่วนผสมสำคัญที่ใช้ในยาเม็ดคุมกำเนิดที่เรียกว่า progestin norethindrone โดยได้จดสิทธิบัตร จึงถือได้ว่า ยาเม็ดคุมกำเนิดเม็ดแรกของโลกเกิดที่ประเทศนี้

น้ำหมึกทนทาน (Indelible Ink)

นาย Filiberto VázquezDávila นักวิศวกรชีวเคมีชาวเม็กซิกัน ได้คิดค้นหมึกพิเศษที่จะซึมอยู่ในผิวหนังและไม่สามารถลบออกได้ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง โดยไม่เป็นพิษต่อร่างกาย ซึ่งต่อมา หมึกนี้ได้มีการนำมาใช้ในการทำหลักฐานบนมนุษย์ เพื่อป้องกันการทำผิด และการทุจริต โดยเฉพาะการใช้ประทับนิ้วมือของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาใช้สิทธิ์แล้ว และนำไปใช้ในการเข้าร่วมกิจกรรมคอนเสิร์ต ละคร กาลเล่น หรือสวนสนุก

เทคนิคการล้างอักษรที่พ่นตามกำแพง (Anti-Graffti Paint)

National Autonomous University of Mexico (UNAM) มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของเม็กซิโก ได้มีการคิดค้นทางนาโนเทคโนโลยีพัฒนาสีพิเศษ Deletum 3000 ที่ได้รับการชนานนามว่าเป็นสีป้องกัน Graffiti Paint โดยย่อยสลายได้ทางชีวภาพ

เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ก้าวหน้าในยุคใหม่ของเม็กซิโก

เม็กซิโก ได้ร่วมทำความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือฉบับใหม่กับสหรัฐฯ และแคนาดา มุ่งเน้นการค้าเสรีระหว่าง 3 ประเทศ แต่ได้มีการปรับและเพิ่มกฎระเบียบ เช่น กฎหมายแรงงาน ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับการค้าดิจิทัล อย่างไรก็ตาม เม็กซิโกยังประสบปัญหาเช่นประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ช่องว่างรายได้ และการกระจายการพัฒนาที่ไม่สมดุล

เทคโนโลยีด้านการสำรวจระยะไกลวิธีใหม่ในค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี

เม็กซิโกมีแหล่งโบราณคดีกว่า 29,000 แห่ง มีหลายแหล่งที่องค์การ UNESCO จดทะเบียนให้เป็นมรดกโลก การค้นหาและศึกษาแหล่งโบราณคดี ช่วยให้เราเข้าใจต้นกำเนิด วิวัฒนาการ และรูปแบบสังคมของมนุษยชาติในอดีต เทคโนโลยีที่ใช้ค้นหาแหล่งโบราณคดีในปัจจุบันเรียกว่า Light Detection and Ranging หรือ LIDAR

การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ/การเกษตร

สถาบัน Technological Institute of Higher Studies of Monterrey (ITESM) เป็นสถาบันเทคโนโลยีชีวภาพที่ได้รวมโครงการวิจัยในสาขาต่าง ๆ เช่น สารเคมี เทคโนโลยีชีวภาพการเกษตร ชีววิทยา และวิศวกรรม ชีวการแพทย์ ในรัฐ Morelos มีมหาวิทยาลัย National Autonomous University of Mexico (UNAM) เป็นผู้นำกลุ่มการศึกษาวิจัยทางเทคโนโลยีชีวภาพที่เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาโมเลกุลของพืชเวชศาสตร์โมเลกุลและเทคโนโลยีชีวภาพอีกทั้งมีศูนย์ Center for Genomic Sciences

การพัฒนาเทคโนโลยีการแจ้งเตือนภัยแผ่นดินไหว

ศูนย์ Center for Seismic instrumentation and Registry (Centro de Instrumentación y Registro Sísmico: CIRES) ได้พัฒนา Earthquake early warning system (EEW) หรือระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวล่วงหน้า เป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้าระบบแรกของโลก

การพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ และอากาศยาน

ยานยนต์

เม็กซิโกเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์อันดับที่ 5 ของโลก รัฐบาลให้ความสำคัญกับการค้นคว้าและวิจัยเพื่อผลิตชิ้นส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มและนวัตกรรมสูงให้แก่อุตสาหกรรมการผลิตสินค้า Original Equipment Manufacturer (OEM) และวางแผนเปิดโรงงานผลิรถยนต์ OEM เต็มรูปแบบในปี 2565

อากาศยาน

อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน การบิน และอวกาศ เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่เม็กซิโกมีบทบาทสำคัญในตลาดโลก ปัจจุบันมีการดำเนินการครบวงจร การผลิต การบำรุงรักษา ซ่อมแซม ภาคธุรกิจและการศึกษา เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพ

เม็กซิโก แดนสวรรค์แห่ง IT ในอนาคต

การพัฒนาหลายสาขา การลงทุนทางเทคโนโลยีจากบริษัทต่างประเทศและการผลักดันภายในประเทศ เม็กซิโกมีบทบาทสำคัญในเชิงของเทคโนโลยี ใน 3 เมืองหลัก ได้แก่ กัวดาลาฮารา (Guadalajara) มอนเตร์เรย์ (Monterrey) และเม็กซิโกซิตี้ (Mexico City) และมหาวิทยาลัยชั้นนำ  University of the Americas Puebla (UDLAP), Tecnológico de Monterrey, University of Guadalajara (UdeG)

PIIT – Science Park แห่ง Meso America

search and Technological Innovation Park of Monterrey หรือ Parque de Investigación e Innovación Tecnológica de Monterrey (PITT) อุทยานวิทยาศาสตร์ของเม็กซิโก เมืองมอนเตอร์เรย์ PIIT รวมเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของโครงการ Boosting the Economy and Society of knowledge โดยการเปลี่ยนอุตสาหกรรมจากการผลิตเป็นอุตสาหกรรมบนพื้นฐานของความรู้ พัฒนาเศรษฐกิจ ผ่านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งเน้นทางด้านนาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีชีวภาพ อิเล็กทรอนิกส์เชิงกล (Mechatronics) และการผลิตขั้นสูง เทคโนโลยีสารสนเทศที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Sustainable housing) สุขภาพ พลังงานสะอาด และวัสดุขั้นสูง

อ่านเพิมเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2021/ost-sci-review-feb2021.pdf

 

 

ตอนที่ 4 รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย

รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ

นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย

เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ดร.ณัฏฐพร พิมพะ และคณะ ดร.นุวงศ์ ชลคุป คุณฉวีวรรณ คงแก้ว และคณะ ดร.สุรพิชญ ลอยกุลนันท์ และคณะ ดร.วรรณวิมล ศักดิ์เสมอพรหม และคณะ ศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร และคณะ คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย และคณะ และ นพ.ปรีดา มาลาสิทธิ์

บทความต่างประเทศ Design in Thailand : the designers turning nature into innovative materials

บทความต่างประเทศ กล่าวถึง การออกแบบไทย ทั้งการออกแบบเฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตาม “Bio-Circular-Green-Design”

Link : Design in Thailand: the designers turning nature into innovative materials

 

ทักษะที่ผู้จัดการความรู้ต้องการมากที่สุด

APQC (American Productivity and Quality Center) ได้ระบุ 16 ความสามารถหลักสำหรับทีม KM (knowledge management, การจัดการความรู้) ได้ถูกแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
– การจัดการโครงการและโปรแกรม
– Consulting and customer centricity
– การสื่อสารและการจูงใจ
– การจัดการข้อมูล, เทคโนโลยี และความคล่องข้อมูล
การสแกนอย่างเร็วของกลุ่มเหล่านี้แสดงความหลากหลายของทักษะที่ถูกต้องการเพื่อประสบผลสำเร็จ KMers ต้องรู้วิธีที่จะปรึกษาและสื่อสารกับผู้ถือผลประโยชน์ร่วม, วางแผนและจัดการโครงการขนาดใหญ่ และแปลผลข้อมูลและเทคโนโลยีดีพอที่จะเลือกเครื่องมือและตรวจสอบการประยุกต์ใช้ ทั้งหมดนี้สามารถรู้สึกเหมือนคำสั่งที่มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับทีมที่มีข้อจำกัดเรื่องแหล่งทรัพยากรและขนาดเล็ก ร่วมมือกับกลุ่ม เช่น IT และ HR สามารถช่วยทีมที่มีขนาดเล็กแก้ปัญหา

ทักษะ KM สำหรับพื้นที่ทางธุรกิจที่พัฒนาอย่างเร็ว
อย่างชัดเจน โปรมแกรม KM ต้องการเพิ่มส่วนผสมของทักษะคน, กระบวนการ และเทคโนโลยี แต่เมื่อถามผู้ตอบการสำรวจล่าสุดทักษะไหนสำคัญที่สุดเพื่อช่วยทีม KM ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ผู้ตอบหลายคนมุ่งไปที่ประเด็นของการสื่อสาร, การจูงใจ และความคล่องข้อมูล
ความต้องการสำหรับทักษะคนไม่ใหม่ใน KM แต่ก้าวปัจจุบันของการเปลี่ยนแปลงกำลังต้องการ KMers กลายเป็น change agent ที่เชี่ยวชาญและมีทักษะที่เกี่ยวข้อง เช่น active listening, การสื่อสาร, การฝึกหัด, การเล่าเรื่อง (storytelling) และ facilitation
ในเวลาเดียวกัน ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของข้อมูลธุรกิจและโปรแกรมวิเคราะห์กำลังทำให้ KM upskill ในเรื่องเหล่านี้ บางความพยายามเหล่านี้ถูกออกแบบเพื่อช่วยกลุ่มธุรกิจลูกค้าเปลี่ยนข้อมูลเป็นความรู้

ที่มา: Lauren Trees (March 02, 2020). The Skills Knowledge Managers Need Most. Retrieved August 18, 2021, from https://www.apqc.org/blog/skills-knowledge-managers-need-most

มีหลายเหตุผลในการทำ benchmark

ทำไมบริษัททำ benchmark
Benchmarking ช่วยองค์กรปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยให้รายละเอียดที่ต้องการเพื่อระบุอย่างมีประสิทธิภาพระดับการพัฒนาของการปฏิบัติและกระบวนการทางธุรกิจซึ่งขับเคลื่อนองค์กร
ใครเพื่อที่จะ benchmark ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะระบุ คำตอบที่ง่ายคือ ระบุองค์กรในอุตสาหกรรมเดียวกัน ทำไมไม่ มีการปฏิบัติที่เหมือนกัน ดังนั้นมาดูกัน ทำในหนทางเดียวกันใช่ไหมและถ้าไม่เป็นหนทางที่ดีกว่าใช่ไหม ทำเพื่อการเปรียบเทียบที่ง่าย แต่อย่าลืมเหตุผลทำไมองค์กรทำ benchmark เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น องค์กรต้องการเรียนรู้หนทางที่ดีกว่า เร็วกว่า และฉลาดกว่าเพื่อทำงาน ดังนั้นค้นหาองค์กรอื่นซึ่งทำในสิ่งที่เหมือนกันไม่มีค่า ต้องการ fresh eyes
จากการศึกษา benchmarking เมื่อเร็ว ๆ นี้ องค์กรที่ให้การสนับสนุนสงสัยเมื่อดูเหมือนว่าองค์กรที่ไม่เกี่ยวข้องถูกแนะนำเป็นผู้ร่วมศึกษา เรียนรู้อะไร ไม่ได้ทำเกี่ยวข้องกับที่ทำ อย่างแน่นอน ไม่รู้สึกสนใจในผลิตภัณฑ์ สนใจในวิธี นี้เป็นที่ที่การเรียนรู้ที่แท้จริงเกิดขึ้น เมื่อกระบวนการระดับสูงเหมือนกัน แต่วิธีแตกต่าง
เมื่อระบุเกณฑ์ benchmarking ระบุองค์กรซึ่งปฏิบัติกระบวนการที่เหมือนกันโดยไม่คำนึงถึงอุตสาหกรรม คำศัพท์เฉพาะอาจไม่เหมือนกันแต่บทเรียนที่สามารถเรียนรู้ล้ำค่า นี้เป็นพลังที่แท้จริงของ benchmarking

ที่มา: Matt Zacher (April 24, 2020). The Many Reasons to Benchmark. Retrieved August 18, 2021, from https://www.apqc.org/blog/many-reasons-benchmark

 

เคล็ดลับเพื่ออธิบาย KM (knowledge management, การจัดการความรู้) คืออะไรและทำไมพนักงานควรทำ KM

มากกว่าครึ่งหนึ่งของโปรแกรม KM ที่ APQC (American Productivity and Quality Center) สำรวจรับรู้ความสำคัญของการสื่อสาร ในโปรแกรมเหล่านั้นมีแผนการสื่อสารที่เป็นทางการและสมาชิกในทีมได้รับมอบหมายให้จัดการแผนดังกล่าว แม้แต่ด้วยการลงทุนเหล่านี้ ทีมต่อสู้อย่างต่อเนื่อง น้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของผู้เชี่ยวชาญ KM รายงานว่าองค์กรมีประสิทธิภาพในการทำให้พนักงานตระหนักวิธี KM ที่มีให้และเหตุผลสำหรับการมีส่วนร่วม

การปรับปรุงให้ดีขึ้นวิธีที่ทีม KM สื่อสาร
งานวิจัยของ APQC ชี้บางส่วนผสมสำหรับความสำเร็จ ข้อความเป็นสิ่งจูงใจมากที่สุดเมื่อได้รับการปรับให้เข้ากับผู้ฟังที่มีศักยภาพแต่ละคนและส่งออกโดยผู้นำหรือแหล่งที่น่าเชื่อถือ จะพูดอะไรเกี่ยวกับการเข้าใจการตลาด ต้องเข้าใจอะไรทำให้บางคนทำหน้าที่ได้ดีและต่อมาถ้าสามารถ เชื่อม KM กับสิ่งกระตุ้นภายในเหล่านั้น

ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคอาวุโสไม่สามารถจินตนาการวิธีที่จะทำให้การแบ่งปันความรู้เข้าไปในแผนการ สามารถแสดงวิธีทำเป็นเอกสารบางอย่างที่รู้ หรือสอนให้คนอื่น ๆ สามารถลดปริมาณงาน ข้อความอาจเน้นความจริงว่าถ้ามีส่วนร่วมใน community forum กำลังตอบคำถามเดียวกันที่ตอบโดย email แล้ว แต่ยังสร้างการบันทึกที่เข้าถึงได้ซึ่งผู้เสาะหาความรู้ในอนาคตสามารถใช้ประโยชน์ การสื่อสารดีกว่าเป็นการกีฬาของทีม ดังนั้นทำให้ผู้นำไปใช้และผู้มีความกระตือรือร้นมีส่วนร่วม สามารถช่วยกระจายคำ

ที่มา: Lauren Trees (May 19, 2019). 10 Tips to Explain What KM Is and Why Employees Should Do It. Retrieved August 22, 2021, from https://www.apqc.org/blog/10-tips-explain-what-km-and-why-employees-should-do-it

Digital transformation ใช้ไม่ได้โดยปราศจากกลยุทธ์

Digital transformation คืออะไร
Digital transformation เกี่ยวกับการรวมตัวเชิงกลยุทธ์ของหลายเทคโนโลยี องค์ประกอบขั้นพื้นฐานรวมถึงทำให้ข้อมูลและรายละเอียดเป็นดิจิทัล, ทำให้กระบวนการเป็นอัตโนมัติ, ประยุกต์ใช้การวิเคราะห์ และทำให้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์ทางดิจิทัล

แต่ถ้า digital transformation เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล เป็น a transformation ใช่ไหม
ความพยายาม digital transformation สามารถแตกต่างในเรื่องขอบเขต, การควบคุม และความตั้งใจ หลายองค์กรกำลังแก้ปัญหาทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ได้พัฒนาวิธีเชิงกลยุทธ์รวมเพื่อประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ทั่วธุรกิจ

เมื่อนี้เกิดขึ้น องค์กรต่อสู้เพราะไม่มีวัตถุประสงค์ที่ครอบคลุมหรือแผนผูกมัดความพยายามเข้าด้วยกัน ในที่สุดผลคือความสับสนท่ามกลางผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการเพราะว่าไม่รู้:
1. รวมถึงอะไร บ่อยครั้งไม่มีตัวแปรหรือเกณฑ์เพื่อระบุส่วนไหนของธุรกิจต้องการโครงการการทำให้เป็นดิจิทัลหรือเพื่อช่วยบอกขอบเขตและจัดลำดับความสำคัญความพยายาม ผลคือความสับสนเกี่ยวกับที่ไหนที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
2. อะไรเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง
3. วิธีที่ชิ้นส่วนรวมเข้าด้วยกัน บ่อยครั้งไม่มีมุมมองแบบองค์รวมของโครงการดิจิทัลเพื่อช่วยองค์กรเข้าใจการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างโครงการ

เคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างไร
Digital transformation ควรประกอบด้วยโครงการดิจิทัลที่มีการเชื่อมต่อระหว่างกัน, กลยุทธ์ ไม่ใช่เทคโนโลยี ควรชี้แนะการตัดสินใจ ดังนั้นหลายองค์กรต้องพิจารณา 3 คำถามซึ่งเกี่ยวข้องกับงานทางดิจิทัล
1. ทำไมกำลังทำอย่างนี้ ตัวอย่างเช่น องค์กรกำลังมีส่วนร่วมใน digital transformation เพราะต้องการปรับปรุงความใกล้ชิดลูกค้าให้ดีขึ้น, ความดีเยี่ยมของการปฏิบัติ หรือการเติบโตขององค์กรใช่ไหม
2. ทำให้ความพยายามทำงานไปด้วยกันได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น มีทีมดิจิทัลหรือคณะกรรมการดำเนินการด้วยการเฝ้าดูและความรับผิดชอบทั่วโครงการใช่ไหม
3. จะวัดความสำเร็จอย่างไร ตัวอย่างเช่น ถ้าวัตถุประสงค์คือปรับปรุงความใกล้ชิดลูกค้าให้ดีขึ้น รู้วิธีวัดผลกระทบของโครงการดิจิทัลต่อประสบการณ์ลูกค้าใช่ไหม

โดยถามคำถามเหล่านี้กับตัวเอง องค์กรสามารถสร้างวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน วัดได้ซึ่งจัดให้อยู่ในแนวเดียวกับโดยตรงกลยุทธ์ที่ครอบคลุม คำตอบยังช่วยผู้นำระบุเกณฑ์สำหรับโครงการดิจิทัล

ที่มา: Holly Lyke-Ho-Gland (March 12, 2019). Digital Transformation Doesn’t Work Without a Strategy. Retrieved August 22, 2021, from https://www.apqc.org/blog/digital-transformation-doesnt-work-without-strategy