ตอนที่ 1 เกียรติคุณและรางวัล ผู้อำนวยการ สวทช. อดีต-ปัจจุบัน

เกียรติคุณและรางวัล ผู้อำนวยการ สวทช. อดีต-ปัจจุบัน

เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของผู้อำนวยการ สวทช. ประกอบด้วย ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล และ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ด้วยความรู้ความสามารถในการบริหารงาน สวทช. มาตั้งแต่ปี 2534 จนถึงปัจจุบัน ก่อให้เกิดคุณูปการและประโยชน์ในวงวิชาการอย่างแพร่หลาย พร้อมกันนี้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติจากทั้งเวทีระดับชาติและนานาชาติมาโดยตลอด

3 วิธีการที่จะทำให้การจัดการความรู้ (KM, knowledge management) เข้าไปอยู่ในงานที่แท้จริง

กำลังมองหาองค์กรชั้นนำใช้วิธีที่ยั่งยืนมากกว่าโดยใช้บทบาท (roles), ชุดทักษะ (skillsets) และกระบวนการ (processes) เพื่อฝัง KM

บางองค์กรใช้บทบาท (roles) สนับสนุน KM ในธุรกิจเพื่อทำให้เกิดการสนับสนุนและการชี้แนะที่มีอิทธิพลมาก บทบาทเหล่านี้ยังป้องกันการตอบกลับซึ่งทำให้ KM พัฒนาอย่างต่อเนื่องชุดเครื่องมือและกลยุทธ์ หนึ่งองค์กรที่ใช้วิธีนี้คือ Pfizer ซึ่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษ KM เพิ่มการมีส่วนร่วมที่ระดับท้องถิ่นได้อย่างประสบผลสำเร็จ

หลายองค์กรยังกำลังระบุและทำให้เกิดขึ้น KM ชุดทักษะะ (skillsets) เมื่อคนในธุรกิจมีทักษะเพื่อทำ KM ของตนเอง สามารถสร้างการแบ่งปันความรู้และใช้ซ้ำในงานซึ่งมีประโยชน์ และเมื่อองค์กรรู้ว่า KM เป็นชุดทักษะ KM กลายเป็นหนทางสำหรับพนักงานเพื่อเติบโตและสูงขึ้นในอาชีพ ตัวอย่างเช่น Schlumberger จัดให้มีแหล่งทรัพยากรจำนวนมากเพื่อช่วยพนักงานพัฒนาและแสดงทักษะ KM และทักษะเหล่านี้เป็นที่ต้องการเพื่อก้าวสูงขึ้นบันไดอาชีพที่แน่นอน

การสร้าง KM ในกระบวนการ (processes) ธุรกิจที่มีอยู่แล้ว เป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพ เมื่อวาง KM ในกระบวนการซึ่งคนใช้แล้ว จะเตือนให้มีส่วนร่วมในโอกาสที่ถูกต้องและทำให้ KM รู้สึกสำคัญกับงาน มีหนทางเล็กน้อยที่จะทำ แต่เนื่องจากองค์กรส่วนใหญ่จัดโครงสร้างงานในรูปแบบของโครงการ การรวม KM เข้าไปในการจัดการโครงการเป็นเรื่องปกติ หนึ่งตัวอย่างมาจาก Consolidated Contractors Company ซึ่ง KM ถูกสร้างในบทบาทโครงการหลักและวงจรชีวิตโครงการทั้งหมด

ที่มา: Mercy Harper (February 13, 2020). 3 Ways to Bake KM into Real Work. Retrieved July 26, 2021, from https://www.apqc.org/blog/3-ways-bake-km-real-work

วิธีส่งเสริมวัฒนธรรมการจัดการความรู้ (KM, knowledge management)

โดยพื้นฐาน วัฒนธรรมเป็นดินขององค์กร เมื่ออุดมสมบูรณ์ KM เจริญ เมื่อแข็งและเป็นหิน KM ต่อสู้เพื่อให้เกิดราก

ข้างล่างเป็น 5 วิธี ที่ช่วยให้โปรแกรม KM เติบโตในวัฒนธรรมซึ่ง KM ถูกเพาะปลูกแล้ว
– เพาะปลูกเมล็ดที่ถูกต้อง ทำงานกับผู้นำอาวุโสเพื่อให้แน่ใจว่า KM มุ่งไปที่ปัญหาธุรกิจที่ถูกต้อง
– โน้มเอียงต่อราก ความคาดหวังการปฏิบัติเป็นรากของพฤติกรรมพนักงาน เป็นที่ต้องการและไม่เป็นที่ต้องการ ทำงานร่วมกับ HR เพื่อทำให้ เช่น จุดประสงค์การปฏิบัติ โอกาสการเติบโตทางอาชีพ อยู่ในแนวเดียวกับ KM
– สอนคนทำสวน ทำให้ผู้นำและผู้จัดการเห็นวิธีที่พวกเขาสามารถช่วยวัฒนธรรม KM เจริญผ่านการสื่อสารและเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่น คนเหล่านี้ยุ่ง ดังนั้นต้องบอกว่า KM ต้องการอะไรจากพวกเขาและสอนวิธีที่จะได้สิ่งนั้น
– หยุดวัชพืช ข้อจำกัดทางภาษาและภูมิศาสตร์สามารถป้องกันวัฒนธรรม KM จากการแผ่ขยายทั่วทั้งองค์กร กำจัดข้อจำกัดเหล่านี้ด้วยการจัดหมวดหมู่องค์กร, เครื่องมือแปลภาษา และชุมชนนักปฏิบัติทั่วโลก
– ให้แสงแดด ส่องแสงไปยังพฤติกรรม KM ที่ดีและเรื่องราวที่ประสบผลสำเร็จด้วยรางวัลและการรับรู้

ที่มา: Mercy Harper (February 27, 2020). How to Foster a KM Culture. Retrieved July 26, 2021, from https://www.apqc.org/blog/how-foster-km-culture

องค์ประกอบ 4 อย่างที่ดีที่สุดของการจัดการความรู้ (knowledge management, KM) คืออะไร

องค์ประกอบ 4 อย่างที่ดีที่สุดของการจัดการความรู้ คือ คน (people), กระบวนการ (process), เนื้อหาหรือเทคโนโลยีสารสนเทศ (content/IT) และกลยุทธ์ (strategy) โดยไม่คำนึงถึงอุตสาหกรรม, ขนาด หรือความต้องการความรู้ขององค์กร ต้องการเสมอ ๆ คน เพื่อนำและสนับสนุนการแบ่งปันความรู้ ต้องการกระบวนการเพื่อจัดการและวัดการไหลของความรู้ ต้องการเนื้อหาความรู้และเครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งสามารถเชื่อมคนที่ถูกต้องกับเนื้อหาที่ถูกต้องที่เวลาที่ถูกต้อง และท้ายที่สุดต้องการกลยุทธ์ที่ชัดเจนและทำเป็นเอกสารเพื่อใช้ KM ให้ตรงกับความต้องการที่เร่งด่วนและสำคัญที่สุดของธุรกิจ

ข้างล่างเป็นข้อมูลที่ลึกเล็กน้อยเกี่ยวกับองค์ประกอบทั้งสี่

– คน
เมื่อเริ่มโปรแกรม KM ต้องการคนสองประเภทนี้ ได้แก่
1. ผู้นำอาวุโส (senior leaders) เพื่อสนับสนุนทำให้กลยุทธ์องค์กรขยายมากขึ้น
2. ผู้ถือผลประโยชน์ร่วมข้ามสายงาน (cross-fuctional stakeholders) เพื่อแนะนำการประยุกต์ใช้

เมื่อความพยายาม KM สมบูรณ์แบบ องค์กรส่วนใหญ่จะมีทีม KM หลัก, ระบุผู้ชนะเลิศ KM (KM champions) และผู้อำนวยความสะดวก (facilitators) ของธุรกิจ และจัดตั้งคณะกรรมการบริหารเพื่อให้บริการหรือดูแลอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าจะอาศัยคนเป็นจำนวนมาก ต้องการคนให้มีส่วนร่วมที่ระดับต่าง ๆ และที่ส่วนต่าง ๆ ของธุรกิจเพื่อทำให้เกิดการแบ่งปันความรู้อย่างแท้จริงในวัฒนธรรม แต่ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากหรือใช้เวลามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากระบวนการดี, เนื้อหาและโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศไม่ยุ่งยาก และกลยุทธ์น่าสนใจ

– กระบวนการ
ในองค์กรที่มีกระบวนการ KM ที่แข็งแรง การไหลของความรู้เหมือนการให้น้ำในเมือง เมื่อบางคนต้องการน้ำ เพียงหมุนก๊อกน้ำ ทีม KM เหมือนผู้วางแผนเมือง รู้วิธีทุกสิ่งทุกอย่างไหลข้างใต้พื้นผิว สามารถระบุภาวะลำบาก, การไหลไปเส้นทางต่าง ๆ และวัดการให้ข้อมูลและผลลัพธ์ แต่ผู้ใช้ปลายทางไม่ต้องเข้าใจสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ได้รับความรู้ที่ต้องการเป็นเรื่องที่ง่าย

APQC (American Productivity and Quality Center) ได้ระบุกระบวนการไหลของความรู้มาตรฐานซึ่งอธิบายวิธีที่ความรู้ไหลทั่วทั้งองค์กร ประกอบด้วยวงจร 7 ขั้นตอน ดังนี้
1. สร้างความรู้ใหม่ (เกิดขึ้นทุกวัน ทุกเวลา ทั่วทั้งทุกด้านของธุรกิจ)
2. ระบุความรู้ซึ่งสำคัญต่อกลยุทธ์และการปฏิบัติ
3. รวบรวมความรู้ดังนั้นสามารถแบ่งปันกับผู้อื่น
4. ทบทวนความรู้เพื่อประเมินความตรงประเด็น, ความถูกต้อง และความสามารถในการประยุกต์ใช้
5. แบ่งปันความรู้ผ่านการจัดทำเอกสาร, การประกาศที่ไม่เป็นทางการ และกิจกรรมความร่วมมือ
6. เข้าถึงความรู้ผ่านกลไก pull (ตัวอย่างเช่น การค้นหา) และ push (ตัวอย่างเช่น การเตือน)
7. ใช้ความรู้เพื่อแก้ปัญหาได้เร็วขึ้นและการตัดสินใจที่เชี่ยวชาญมากขึ้น

สำหรับทีม KM สิ่งสำคัญคือระบุวิธีที่จะสร้างขั้นตอนเหล่านี้ภายในกระบวนการธุรกิจที่คนใช้แล้วทุกวัน

– เนื้อหาหรือเทคโนโลยีสารสนเทศ
เนื้อหาเป็นความรู้ที่ได้จัดทำเป็นเอกสารชนิดไหนก็ได้ ตั้งแต่วิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศที่ได้รับการตรวจสอบจนถึงเคล็ดลับผ่าน ๆ ที่แบ่งปันระหว่างเพื่อนร่วมงาน เหตุผลที่วางเทคโนโลยีสารสนเทศไว้กับเนื้อหา เพราะโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้คนสร้าง, วางไว้บางแห่ง และเข้าถึงและนำกลับมาใช้ใหม่เนื้อหา ถ้าไม่มี KM คนจะยังคงสร้างและใช้เนื้อหา แต่จะวางไว้ในที่ที่คนอื่นไม่สามารถค้นพบ, ทำในสิ่งที่คนอื่นสร้างไว้แล้ว และที่อันตรายมากที่สุด ใช้เนื้อหาอีกครั้งที่ล่าสมัยหรือไม่ถูกต้อง

โปรแกรม KM ที่มีประสิทธิภาพมีขั้นตอนการทำงานเพื่อสร้างและตรวจสอบเนื้อหา, จัดหมวดหมู่เพื่อจัดการเนื้อหา และเครื่องมือเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมคนกับเนื้อหา องค์กรขั้นสูงใช้การจัดการเนื้อหาเพื่ออำนวยความสะดวกความร่วมมือกัน, เปิดเผยนวัตกรรม และให้เนื้อหากับพนักงานอย่างอัตโนมัติในโอกาสที่สอนได้

– กลยุทธ์
ทุกโปรแกรม KM ต้องการกลยุทธ์ที่ตรงประเด็นกับธุรกิจ จัดทำเป็นเอกสาร และชัดเจน สามารถมีเครื่องมือเทคโนโลยีที่ดีที่สุดและทีม KM ที่เก่งมาก ๆ แต่จะไม่มีประโยชน์โดยปราศจากกลยุทธ์

ที่มา: Mercy Harper (October 21, 2019). What are the Best Four Components of Knowledge Management?. Retrieved July 26, 2021, from https://www.apqc.org/blog/what-are-best-four-components-knowledge-management

Multimedia แบบเปิด

ข้างล่างเป็นเว็บไซต์ซึ่งรวบรวม multimedia ซึ่งสามารถใช้ได้ฟรี

Multimedia
– Digital Public Library of America (https://dp.la/)
รวบรวมมากกว่า 14 ล้านรายการของ เนื้อหา, วิดีโอ, รูปภาพ และ audio จากห้องสมุด, จดหมายเหตุ และพิพิธภัณฑ์
– New York Public Library Digital Collections (https://digitalcollections.nypl.org/)
ผลิตเกือบจะ 700,000 รายการ ส่วนใหญ่เป็นรูปภาพ แต่ยังมีเนื้อหา, แผนที่, audio และไฟล์ภาพยนตร์อีกด้วย ซึ่ง digital collections ใช้ได้ฟรี ตรวจสอบแต่ละรายการสำหรับข้อกำหนดเรื่องลิขสิทธิ์อื่น ๆ
– USA.gov (https://search.usa.gov/search/news?affiliate=usagov&channel=617&query=)
ค้นหาได้ง่าย ๆ วิดีโอและรูปภาพ
– The Public Domain Project (https://www.pond5.com/free)
เจ้าของคือ บริษัท stock footage (Pond5) ได้รวบรวมเกือบ 100,000 รูปภาพ, วิดีโอ, audio และไฟล์โมเดล 3 มิติ ภายใต้ public domain
– Smarthistory (https://smarthistory.org/)
เน้นศิลปะและประวัติศาสตร์ทางศิลปะ มีรูปภาพและวิดีโอตามภูมิศาสตร์, ช่วงเวลา และรูปแบบและหัวข้อ
– Library of Congress (https://www.loc.gov/free-to-use/?loclr=blogloc)
ประมาณ 12 collections ซึ่งรวมใช้ได้ฟรีและวัสดุใช้ซ้ำ

ที่มา: University Libraries University of Nevada, Reno. Open Audio, Video, and Images. Retrieved July 14, 2021, from https://guides.library.unr.edu/oer/find

อุปสรรคที่สำคัญที่สุดต่อการจัดการความรู้

หลายหน่วยงานกำลังดำเนินการจัดการความรู้ แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ข้างล่างแสดงอุปสรรคที่สำคัญต่อการจัดการความรู้ และวิธีเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้น ซึ่งจะช่วยให้หน่วยงานประสบผลสำเร็จในการจัดการความรู้ในที่สุด

1. ความตระหนัก
ไม่สามารถทำการจัดการความรู้ได้ถ้าไม่รู้ว่าการจัดการความรู้คืออะไร

วิธีการเอาชนะอุปสรรคความตระหนัก
– สร้างแบรนด์การจัดการความรู้
– ใช้กลยุทธ์หลายช่องทาง บางคนไม่เคยอ่าน email จำเป็นต้องทำให้พนักงานสนใจเป็นประจำผ่านหลายช่องทางเพื่อให้แน่ใจว่าความคิดเห็นกระจายทั่วทั้งองค์กร
– ปรับข้อความให้เหมาะสม
– สร้างบรรยากาศสนุกสนาน เหตุการณ์สด การแข่งขัน และวิดีโอที่สนุกสนานสามารถส่งเสริมการจัดการความรู้
– ใช้ผู้บริหารและผู้จัดการ ทำให้ผู้บริหารและผู้จัดการเชื่อว่าการจัดการความรู้สำคัญ และทำให้ง่ายในการเป็นแบบอย่างและสนับสนุนการมีส่วนร่วม

2. เวลา
เวลาเป็นอุปสรรคเมื่อพนักงานคิดว่ามีงานมากเกินไปที่จะทำการจัดการความรู้ บางครั้งเกิดจากปัญหาในโปรแกรมการจัดการความรู้เอง เช่น การจัดการความรู้อาจทำให้ต้องนั่งในการประชุมเป็นเวลานาน หรือเครื่องมือการจัดการความรู้อาจใช้เวลาเพื่อเรียนรู้และใช้ อุปสรรคเวลายังเกิดขึ้นเมื่อพนักงานมีภาระหนักกับงานอื่น ๆ หรือเห็นการจัดการความรู้เป็นงานที่เพิ่มขึ้นมาซึ่งไม่มีประโยชน์

วิธีการเอาชนะอุปสรรคเวลา
– ทำให้การจัดการความรู้รวดเร็วและง่ายเท่าที่จะเป็นไปได้
– ทำให้การจัดการความรู้เป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบ
– ทำให้การฝึกอบรมการจัดการความรู้ง่ายและตามความต้องการ
– มองหาอุปสรรคทางโครงสร้างเพื่อใช้เวลากับการจัดการความรู้
– สร้างแรงจูงใจที่ชัดเจน จะให้เวลากับการจัดการความรู้ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้บริหารและผู้จัดการ และถ้าคิดว่าจะช่วยการทำงานและอาชีพ

3. วัฒนธรรม
วิธีการเอาชนะอุปสรรควัฒนธรรม
– ทำให้ผู้บริหารมีส่วนร่วมในการพัฒนากลยุทธ์การจัดการความรู้ ผู้บริหารมีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรม
– ชี้แนะผู้จัดการให้เป็นผู้สนับสนุน
– ร่วมมือกับ HR ในการฝึกอบรม
– ใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยอุปสรรคทางภาษา
– ให้การศึกษากับพนักงานเกี่ยวกับความแตกต่างทางวัฒนธรรม
– ให้รางวัลและเห็นคุณค่าผู้มีส่วนร่วมในการจัดการความรู้

ที่มา: Lauren Trees (May 21, 2021). What Are the Biggest Barriers to Knowledge Management?. Retrieved June 14, 2021, from https://www.apqc.org/blog/what-are-biggest-barriers-knowledge-management

Critical knowledge (ความรู้ที่สำคัญ) คืออะไร

ความรู้ที่สำคัญคือความรู้ที่มีคุณค่าและยั่งยืน เพียงพอที่จะทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการรักษาและถ่ายทอดจากพนักงานไปสู่พนักงานเป็นไปอย่างเหมาะสม ความรู้ที่สำคัญนั้นมีลักษณะแตกต่างกันไปสำหรับทุกองค์กรและนั่นคือเหตุผลใหญ่ว่าทำไมจึงมีความสำคัญ ความรู้ที่สำคัญมักเป็นเรื่องยากหรือไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยการจ้างงาน เป็นความรู้ประเภทหนึ่งที่ได้รับจากประสบการณ์ในชีวิตจริงในองค์กร

คิดว่าความรู้ที่สำคัญคือน้ำมันในเครื่องยนต์ของธุรกิจ ผู้บริหารที่ขับเคลื่อนธุรกิจอาจไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ในแต่ละวันและลูกค้าให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกมากกว่า แต่น้ำมันนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างราบรื่นและเชื่อถือได้ ถ้าไม่มีน้ำมันแม้สักครู่เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน จะต้องเข้ารับการซ่อมแซมที่มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน และนั่นคือถ้าโชคดีพอพบปัญหาก่อนที่จะทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไขได้

ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายสายการบินจึงเลิกใช้เครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพบางส่วน พนักงานที่เหลือต้องใช้เวลามากขึ้นในการวินิจฉัยและซ่อมแซมเครื่องบิน สิ่งนี้นำไปสู่ความล่าช้าของเที่ยวบินและการยกเลิก ซึ่งส่งผลให้ลูกค้าไม่พึงพอใจและต้นทุนต่อที่นั่งของสายการบินเพิ่มขึ้น โชคดีที่สายการบินได้เรียนรู้บทเรียนและเริ่มระบุความรู้ที่สำคัญก่อนที่จะมีการปรับลดพนักงานในรอบถัดไป

การระบุความรู้ที่สำคัญไม่ใช่แค่การป้องกันการสูญเสียเท่านั้น เมื่อทราบว่าความรู้ที่สำคัญขององค์กรคืออะไรและอยู่ที่ใด จะสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้นั้นได้ดีขึ้น สามารถก้าวไปได้เร็วขึ้นโดยใช้ความรู้ที่สำคัญทันทีที่มีความเกี่ยวข้อง สร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้า สามารถฝึกอบรมผู้อื่นเกี่ยวกับความรู้ที่สำคัญ ทำให้เพิ่มขีดความสามารถในวันนี้และสร้างความแข็งแกร่งสำหรับวันพรุ่งนี้ อาจสามารถเปลี่ยนความรู้ที่สำคัญให้กลายเป็นสินทรัพย์ทางการตลาดที่ทำให้บริษัทแตกต่างจากคู่แข่ง

ขั้นตอนแรกในการระบุความรู้ที่สำคัญคือการพูดคุยกับผู้นำทางธุรกิจ ความรู้ที่สำคัญนั้นยากที่จะมองเห็นได้จากระยะไกลโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่กำลังมองหาสิ่งนี้ขาดความเชี่ยวชาญด้านโดเมน จะต้องเจาะลึกธุรกิจเพื่อให้เห็นภาพว่าความรู้ที่สำคัญอาจอยู่ที่ใด

จะทำอย่างไรหากมีคนไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับสิ่งที่สำคัญ
จะจัดลำดับความสำคัญของความรู้ที่สำคัญที่สุดในการบันทึกและถ่ายโอนอย่างไร
จะทำอย่างไรหากผู้คนไม่แน่ใจว่าจะอธิบายหรือบันทึกความรู้ที่สำคัญของตนอย่างไร
จะทำให้ความรู้ที่สำคัญให้กับคนที่ใช่ ในรูปแบบที่ถูกต้อง ในเวลาที่เหมาะสมได้อย่างไร

คำถามเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการและเกิดขึ้นเกือบทุกครั้งที่องค์กรเริ่มมองหาความรู้ที่สำคัญขององค์กร นั่นคือเหตุผลที่ APQC แนะนำการทำแผนที่ความรู้ หลังจากประสบการณ์ 25 ปีใน KM มั่นใจว่าการทำแผนที่ความรู้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรวบรวมข้อมูลและสร้างความเห็นร่วมกันในสิ่งที่ก่อให้เกิดความรู้ที่สำคัญ โชคดีที่ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือแฟนซีมากมายในการทำ สามารถทำงานให้เสร็จได้ด้วยสเปรดชีตง่าย ๆ หากต้องการ แต่จำเป็นต้องมีความรู้เล็กน้อย นั่นคือที่มาของหลักสูตรออนไลน์ใหม่ของ APQC

หลักสูตรการทำแผนที่ความรู้ด้วยตนเองของ APQC (http://apqc.thinkific.com/courses/knowledge-mapping) ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้แม้แต่ผู้เริ่มต้นเรียนรู้วิธีสร้างและวิเคราะห์แผนที่ความรู้ จะสร้างทักษะโดยการฝึกฝนขั้นตอนทางยุทธวิธีและเครื่องมือในการกำหนดขอบเขตและทำแผนที่ความรู้, เรียนรู้วิธีระบุและวิเคราะห์ช่องว่างของความรู้ และรู้วิธีใช้ข้อมูลเชิงลึกจากการทำแผนที่ความรู้เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของความรู้ที่สำคัญในและระหว่างกระบวนการทางธุรกิจ

ที่มา: Mercy Harper (October 14, 2020). What is Critical Knowledge?. Retrieved May 12, 2021, from https://www.apqc.org/blog/what-critical-knowledge

H.E. Mr. Pirkka Tapiola : Ambassador of the European Union to Thailand (EU)

H.E. Mr. Pirkka Tapiola

Ambassador of the European Union to Thailand (EU)

ในโอกาสครบรอบ 30 ปี ของ สวทช. สหภาพยุโรปและชาติสมาชิกของเราได้ร่วมมือสนับสนุนการทำวิจัย การแลกเปลี่ยนนักวิจัย และการสร้างสรรค์นวัตกรรมเสมอมา ขอให้ความมั่นใจว่าจะสนับสนุน สวทช. เพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมต่อไป

H.E. Mr. Christian Rehren Bargetto : Ambassador of the Republic of Chile to Thailand (Chile)

H.E. Mr. Christian Rehren Bargetto

Ambassador of the Republic of Chile to Thailand (Chile)

ขอแสดงความยินดีกับ สวทช. และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน จากความร่วมมือระหว่าง สวทช.และประเทศชิลี ได้สร้างงานวิจัยและพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ขึ้น หากวิกฤตการระบาดของโควิดผ่านไป จะเป็นการเปิดโอกาสให้ความร่วมมือของเราแน่นแฟ้นมากขึ้น ในการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนของเรา