Archives: คลังความรู้
Dr. Wayne Wang : President, Asian Science Park Association (ASPA)
Ms. Ebba Lund : Chief Executive Officer, International Association of Science Parks and Areas of Innovation (IASP)
Mr. Jeong Yoon-Mo : The Chairman and President of Korea Technology Finance Corporation (KOTEC), Korea
Prof. Dr. Kazuya Masu : President of Tokyo Institute of Technology
ขายหัวเราะ ฉบับรู้ทันโควิด
แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ.2563 – 2565 ฉบับปรับปรุงปีงบประมาณ 2565
แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ.2563 – 2565 ฉบับปรับปรุงปีงบประมาณ 2565
โดยมีเนื้อหา
- สถานการณ์แนวโน้ม และระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
- นโยบาย ยุุทธศาสตร์ชาติและแผนที่เกี่ยวข้องกับแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
- สถานการณ์ของประเทศด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
- ระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในปัจจุบัน
- แนวโน้มของโลกและนัยต่อประเทศไทย
- ฉากทัศน์ภาพอนาคต
- ทิศทางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ
สามารดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ : shorturl.asia/uK3Mi หรือคลิกที่ลิงก์ หนังสือแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ.2563 – 2565 ฉบับปรับปรุงปีงบประมาณ 2565
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
หนังสือ สู้ ! โควิด-19 ไปด้วยกัน คู่มือดูแลตัวเองสำหรับประชาชน
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดทำหนังสือ สู้ ! โควิด-19 ไปด้วยกัน คู่มือดูแลตัวเองสำหรับประชาชน จัดพิมพ์ครั้งแรก เดือนเมษายน 2563 และเผยแพร่ฉบับ pdf file ไว้บนเว็บไซต์ สสส. (https://www.thaihealth.or.th/)
เนื้อหาในเล่ม ประกอบด้วย สาระความรู้ต่างๆ ในเรื่องของ โควิด-19 ได้แก่
- ทําความรู้จักโควิด – 19
- ติดโควิดหรือเปล่า? เช็กสัญญาณและอาการได้ที่นี่
- ใครบ้างที่เสี่ยงสูงติดโควิด-19
- เเนวทางปฏิบัติเมื่อต้องกักตัว 14 วัน
- เตรียมที่พักและอุปกรณ์อย่างไรให้พร้อม
- ข้อปฏิบัติกรณีอยู่บ้านคนเดียว
- ข้อปฏิบัติสําหรับผู้ที่ต้องกักตัว
- ข้อปฏิบัติสําหรับผู้ดูแลอาคารชุด
- เมื่อไหร่ควรไปหาหมอ
- ทําความเข้าใจเส้นทางการรักษาโควิด-19
- การดูแลตนเองสําหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน ในช่วงระบาดของ COVID-19
- แนะนําวิธีดูแลเด็กอย่างไรในช่วงโควิด-19
Download เอกสาร ได้ที่เว็บไซต์ข้างต้น หรือคลิกที่ลิงก์ หนังสือ สู้ ! โควิด-19 ไปด้วยกัน คู่มือดูแลตัวเองสำหรับประชาชน
ที่มา: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน มกราคม 2564
วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน มกราคม 2564
สหรัฐอเมริการกับการมีส่วนกับประชาคมโลกในด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีสถิติการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลกมาจนถึงปี 2548 ที่จีนได้แซงหน้า สหรัฐฯ ได้เข้าเป็นภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Unitec Nations Framework Convention on Climate Change – UNFCCC) เมื่อปี 2535 ขณะที่ต่อมีมีการจัดทำพิธีสารเกียวโต ทีประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2538 สหรัฐฯ ในฐานะที่เป็นประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก ที่ต้องมีพันธกรณีลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมายของพิธีสาร ไม่เข้าร่วมเป็นภาคีพิธีสารฯ ซึ่งมีการผูกมัดประเทศพัฒนาแล้วให้ลดก๊าซเรือนกระจก และช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในโครงการซื้อขายก๊าซเรือนกระจกที่มีเครดิตคาร์บอนที่เรียกว่า กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanise – CDM) เป็นกรอบโครงการที่รัฐภาคีสมาชิกจะดำเนินร่วมกันจนทำให้การดำเนินงานระหว่างภายใต้พิธีสาร
เกียวโตขาดเอกภาพ และค่อยๆ หมดกำลังลง โดยเฉพาะ ปี 2556 – 2563 แคนาดาขอถอนตัวจากการเป็นภาคีพิธีสาร ขณะที่ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ประกาศไม่ขอผูกมัดตนเองตามพันธกรณี โดยญี่ปุนพยายามสร้างกลไกมาซื้อขายคาร์บอนแบบทวิภาคี หรือ Joint Crediting Mechanism (JCM) ซึ่งมีส่วนทำให้พิธีสารเกียวโตหมดความหมายเช่นเดียวกัน
พัฒนาของเหตุการณ์เหล่านี้ มีผลสำคัญมาจากการที่ประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวยเหมือนแต่ก่อน ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาได้พัฒนารุดหน้าขึ้นมาก ทั้งทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ทั้งในการผลิตทางอุตสาหกรรม และเพิ่มสัดส่วนของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะ จีน อินเดีย บราซิล อินโดนีเซีย ได้รวมตัวกันแล้วปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 63% ของโลก ด้วยเหตุนี้
ที่ประชุมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้พยายามหามาตรการใหม่ที่จะให้ทุกประเทศร่วมแรงร่วมใจกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อรักษาอุณหภูมิของโลกไม่ให้สูงเกินกว่า 2 องศาเซลเซียส และนำไปสู่การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ 21 ที่กรุงปารีส เมื่อปี 2558 มุ่งเน้นให้มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกโดยสมัครใจ จากความตกลงระหว่างประเทศที่ชื่อว่า ความตกลงปารีส (Paris Agreement)
ความตกลงปารีส Paris Agreement
ความตกลงปารีสมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2559 หรือ 30 วันหลังจากวันที่ภาคีอนุสัญญาฯ อย่างน้อย 55 รัฐ ที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันอย่างน้อย 55% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก โดย จีนกับสหรัฐฯ ได้ยื่นสัตยาบันสารรับรองความตกลงปารีสพร้อมกัน เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2559 (ไทยยื่นสัตยาบันสารเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559)
การเปลี่ยนแปลงของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้การบริหารงานของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์
หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ชนะผลการเลือกตั้งและเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม 2560 นั้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงกฎและระเบียบจากสมัยอดีตประธานาธิบดีโอบามา รวมถึง นโยบายและการบริหารจัดการของหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่
1. การถอนตัวจากความตกลงปารีส
การที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโอบามาได้ลงนามในความตกลงปารีส เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559 และให้สัตยาบันเดือนกันยายนปีเดียวกันพร้อมกับสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่เมื่อการสืบทอดตำแหน่งทางการเมืองในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศกร้าวว่าโลกร้อนไม่จริง ประธานาธิบดีทรัมป์แถลงการณ์ว่า สหรัฐฯ จะถอนการสนับสนุนความตกลงปารีส
นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นภาพสะท้อนนโยบายภาพรวมของพรรคที่มีกลุ่มผลประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมเชื้อเพลิง
ฟอสซิล (น้ำมันและก๊าซ) หนุนหลังอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัท Exxon Mobil ที่เป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ
หลังจากแถลงการณ์ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ยกเลิกการเข้าร่วมความตกลงปารีส เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 ณ ทำเนียบขาว โดยได้ยื่นสารขอลาออกจากสมาชิกภาพเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2562 จึงทำให้ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มุ่งมั่นที่จะนำสหรัฐฯ กลับเข้าเป็นภาคีรัฐสมาชิกตามเดิมในโอกาสแรก
2. การยกเลิกมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและถอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศออกจากยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ
ในช่วงต้นเดือนมกราคม 2561 สมาชิกรัฐสภา ได้ส่งจดหมายเพื่อเรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์ พิจารณายกเลิกการถอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศออกจากยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติอีกครั้ง นายกเทศมนตรีรัฐชิคาโก ได้จัดประชุมผู้นำท้องถิ่นจากรัฐต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ ร่วมกับแคนาดา และเม็กซิโก ร่วมลงนามความตกลงใน Global Covenant of Mayors for Climate and Energy ซึ่งเป็นแผนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถึงแม้ว่าการประชุมจะเกิดขึ้นก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์แถลงการณ์ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาตินั้นแต่ผู้นำท้องถิ่นในแต่ละรัฐยังคงเดินหน้าต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
3. การเปลี่ยนแปลงของหน่วยงาน EPA
หน่วยงาน Environment Protection Agency (EPA) มีหน้าที่ปกป้อง ประเมิน และวิจัยสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ดำรงตำแหน่งได้สนับสนุนให้นายสก๊อต พรูอิทท์ (Scott Pruitt) ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ EPA
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 นายพรูอิทท์เคยฟ้องร้องหน่วยงาน EPA 14 ครั้งในเรื่องมลพิษทางน้ำ อากาศ การควบคุม
สารปรอท หมอกควัน และมลพิษอื่นๆ ทั้งยังมีความคิดไม่เห็นด้วยว่า กิจกรรมของมนุษย์เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามที่นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาวิจัยไว้
ปลายปี 2560 หน่วยงาน EPA และนายพรูอิทท์ได้ถูกฟ้องร้องในข้อหาละเลยหน้าที่ของรัฐบาลในการควบคุมการปล่อยก๊าซมีเทน อัยการสูงสุดรัฐนิวยอร์กร่วมกับอีก 13 รัฐ กล่าวว่า ชาวอเมริกันมากกว่า 115 ล้านคน กำลังสูดหมอกควันระดับอันตรายเข้าไป แสดงให้เห็นถึงการเพิกเฉยต่อสุขภาพของประชาชนและกฏหมาย
นายพรูอิทท์ ได้ลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการ EPA เมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 หลังจากสื่อต่างๆ กล่าวถึงการทำผิดจรรยาบรรณและความไม่เหมาะสมในตำแหน่งด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ได้เสนอชื่อนายแอนดรูว์
วีลเลอร์ (Andrew Wheeler) ดำรงตำแหน่งแทน นายวีลเลอร์มีนโยบายการบริหารงานทางด้านสิ่งแวดล้อมไม่แตกต่างจากนายพรูอิทท์ และนโยบายทางด้านสิ่งแวดล้อมของประธานาธิบดีทรัมป์คงเดินหน้าต่อไป
4. การยกเลิกแผนพลังงานสะอาด (Clean Power Plan : CPP)
แผนพลังงานสะอาด (Clean Power Plan : CPP) โดยมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงไฟฟ้า 32% ภายในปี 2573 ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า CPP ไม่สอดคล้องกับ Clean Air Act ซึ่งเป็นกฏหมายของรัฐบาลกลางในการควบคุมคุณภาพอากาศและลดมลพิษทางอากาศจึงควรยกเลิกแผนพลังงานสะอาด ทั้งนี้ แผน ACE จะทำให้ความเข้มงวดในการควบคุมการปล่อยมลพิษลดลงและคาดว่าจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น 12 เท่าใน 10 ปีต่อจากนี้
5. การอนุมัติโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมัน Keystone XL
ประธานาธิบดีทรัมป์เชื่อว่าโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมัน KeystonXL หรือ Keystone Export Limited ของบริษัท TransCanada Corp. มีมูลค่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จะช่วยการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพิ่มศักยภาพในการขนส่งน้ำมันดิบ (Oil sands) จากรัฐแอลเบอร์ตาไปยังรัฐเนเบรสกา ถึง 830,000 บาเรล/วัน ซึ่งโครงการนี้ถูกระงับโดยอดีตประธานาธิบดีโอบามาด้วยเหตุผลด้านผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม เนื่องจากการกลั่นน้ำมันดิบจากทรายน้ำมัน (Oil sands) ต้องใช้น้ำในปริมาณมากและความร้อนสูงชะแยกน้ำมันออกจากมวลทราย โดยกระบวนการดังกล่าวจะก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากกว่าปกติถึง 17% และประชาชนอาจจะได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างและหากมีการรั่วไหลของน้ำมัน
นโยบายการปฏิวัติด้านพลังงานสะอาดและความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อมของนายโจ ไบเดน
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุด เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2564 มีมุมมองว่าเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม คือเรื่องเดียวกัน และวางแผนดำเนินการทางด้านสิ่งแวดล้อม รัฐบาลกลางจะลงทุน 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงสิบปีข้างหน้า ในการปฏิวัติพลังงานสะอาด (Clean Energy Revolution) โดยไบเดนได้กลับเข้าร่วมข้อตกลงปารีสเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน นอกจากนี้ยังเตรียมปรับ Green New Deal (คือ ข้อเสนอด้านนโยบายของสหรัฐฯ ที่ระบุปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ)
นโยบายทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของนายไบเดน ได้แก่ :
1. นำพาสหรัฐฯ ไปสู่เศรษฐกิจพลังงานสะอาด (cleanenergy economy) 100% และภายในปี 2593 (ค.ศ.2050) จะยุติการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
1.1 ระเบียบบริหารราชการชุดใหม่ (series of new executive orders) ผลักดันความก้าวหน้าครั้งประวัติศาสตร์ในการลดการปล่อยก๊าซอย่างมีนัยสำคัญของสหรัฐฯ
1.2 วาระทางด้านกฏหมายที่จะมีการผลักดันในปีแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
2. เสริมความแข็งแกร่งและฟื้นฟูสหรัฐฯ รัฐบาลวางแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นอาคาร ระบบน้ำ การขนส่ง และพลังงาน ให้มีความทนทาน ช่วยป้องกันและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
3. ร่วมกับนานาประเทศในการรับมือกับภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สหรัฐฯ มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดสัดส่วน 15% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก
4. ต่อต้านการใช้อำนาจโดยมิชอบของผู้ปล่อยมลพิษ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนคนผิวสีและผู้ที่มีรายได้ต่ำ
5. ให้ความสำคัญและช่วยเหลือคนงานและชุมชนที่ดำเนินการด้านถ่านหินโรงไฟฟ้า นายไบเดนให้คำมั่นที่จะไม่ทอดทิ้งคนงานทุกคน
อ่านเพิมเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2021/ost-sci-review-jan2021.pdf
การเลือกใช้งาน Joomla กับ WordPress
Joomla เป็นระบบ CMS เพื่อบริหารจัดการข้อมูลบนเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพมาก มีการวางโครงสร้างทางด้านโปรแกรมไว้เป็นสัดส่วน เหมาะสำหรับนำมาใช้ทำเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อน หลักการสำคัญของการจัดการคือ
- จัดหมวดหมู่ของเนื้อหาเว็บเป็น category ได้
- จัดทำหน้าโชว์ข้อมูลใน category ได้หลายรูปแบบ ทั้ง List และ Blog โดยผ่านการกำหนดของ Menu
- มี Template ที่ออกแบบสวยงามแล้วให้ใช้งานได้
- เพิ่มความสามารถต่างๆ ได้โดยการใช้ Extension เสริม
นับเป็น cms ที่ใช้จัดทำเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพมากตัวนึง แต่ทั้งนี้ Joomla ได้ลดความนิยมลงไป จากการใช้งานที่เพิ่มขึ้นของ WordPress
WordPress เป็นระบบ CMS ที่เริ่มจากการเป็นที่นิยมของกลุ่ม Bloger หรือนักเขียน เหมาะสำหรับมือใหม่เน้นการใช้งานง่าย สร้างเว็บไซต์ขนาดกลาง-เล็ก และมีความสามารถในการทำ SEO มากที่สุด การใช้งานหลักจะเหมือนกับ Joomla มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป คือ
- ส่วนเสริม Elementor หรือกลุ่ม Page Builder ทำให้การสร้างเนื้อหาได้หลากหลาย สวยงาม และยืดหยุ่นมากกว่า Editor Tools ธรรมดา
- การรองรับการจัดทำหน้าเว็บเป็นแบบ Responsive ที่ดูได้จากทุกรูปแบบ device ได้ดีกว่า
- มี Plugin จำนวนมาก ช่วยในการปรับความสามารถ
ในการจัดทำเว็บ ต้องคำนึงถึง Tools ที่เสริมความสามารถในการจัดทำให้ตรงกับจุดประสงค์ของเว็บไซต์ ในแต่ละระบบก็มีข้อดี/ข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่ที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือ content หรือเนื้อหาในเว็บไซต์ต้องถูกต้อง และสื่อสารได้ตรงประเด็นกับที่ต้องการ จะทำให้เว็บและสิ่งที่เราเผยแพร่ได้รับความนิยมและมีผลต่อ search engine ต่อไป