ทำความรู้จัก Data Warehouse

Data Warehouse ระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ภายในองค์กรอย่างมีโครงสร้าง โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจและการวิเคราะห์ข้อมูลในระยะยาว ข้อมูลที่จัดเก็บใน Data Warehouse มักเป็นข้อมูลที่มีการจัดรูปแบบและแปลงเรียบร้อยแล้ว (Transformed Data) ซึ่งเหมาะสำหรับการสืบค้น วิเคราะห์ และรายงานผล

คุณสมบัติหลักของ Data Warehouse:

  1. เก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูลหลายแหล่ง:
    • Data Warehouse ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากระบบต่างๆ เช่น ERP, CRM, ระบบการทำธุรกรรม และระบบภายในอื่นๆ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างครอบคลุม
    • ข้อมูลที่นำมาเก็บใน Data Warehouse มักผ่านกระบวนการ ETL (Extract, Transform, Load) ซึ่งรวมถึงการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูล, การแปลงข้อมูลให้มีรูปแบบที่เหมาะสม, และการโหลดข้อมูลเข้าสู่ Data Warehouse
  2. เก็บข้อมูลในรูปแบบที่มีโครงสร้าง (Structured Data):
    • ข้อมูลใน Data Warehouse ถูกเก็บในตารางและฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Databases) ที่มีการกำหนดโครงสร้างชัดเจน เช่น ตารางที่มีคอลัมน์และฟิลด์ที่ระบุประเภทข้อมูล
    • เน้นการเก็บข้อมูลที่ผ่านการจัดโครงสร้างแล้วเพื่อการวิเคราะห์ เช่น ข้อมูลการขาย, ข้อมูลลูกค้า, ข้อมูลการเงิน
  3. สนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ (Decision Support):
    • Data Warehouse เป็นศูนย์กลางของข้อมูลที่ช่วยในการทำ Business Intelligence (BI) เพื่อให้ผู้บริหารและนักวิเคราะห์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในการวิเคราะห์แนวโน้ม, การคาดการณ์, และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
    • ตัวอย่างการใช้งาน เช่น การวิเคราะห์ยอดขายรายปี, การติดตามพฤติกรรมลูกค้า, การประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด
  4. เก็บข้อมูลในระยะยาว (Historical Data):
    • ข้อมูลที่เก็บใน Data Warehouse มักเป็นข้อมูลในระยะยาว ซึ่งช่วยให้สามารถดูข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในองค์กรได้
    • การเก็บข้อมูลในระยะยาวทำให้สามารถทำการวิเคราะห์เชิงแนวโน้ม (Trend Analysis) และเปรียบเทียบข้อมูลในช่วงเวลาต่างๆ ได้
  5. การประมวลผลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ (Optimized for Queries):
    • Data Warehouse ถูกออกแบบมาให้เหมาะสำหรับการสืบค้นข้อมูลและการรายงานผล ซึ่งมักใช้โครงสร้างฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ที่ช่วยให้การประมวลผลรวดเร็ว
    • นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การทำดัชนีข้อมูล (Indexing) และการสร้างพาร์ทิชัน (Partitioning) เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูล
  6. การจัดการข้อมูลแบบกำหนดโครงสร้างล่วงหน้า (Schema-on-Write):
    • Data Warehouse ต้องมีการกำหนดโครงสร้างข้อมูลก่อนการนำเข้า (Schema-on-Write) ซึ่งทำให้ข้อมูลที่ถูกนำเข้าไปแล้วมีรูปแบบที่ชัดเจนและพร้อมใช้งานทันที
    • ข้อมูลที่ถูกเก็บใน Data Warehouse จะถูกทำความสะอาดและแปลงโครงสร้างให้ตรงกับข้อกำหนดก่อนนำเข้า

ข้อดีของ Data Warehouse:

  • ความสม่ำเสมอของข้อมูล: ข้อมูลถูกจัดโครงสร้างและทำความสะอาดอย่างเป็นระบบ ทำให้การวิเคราะห์มีความแม่นยำ
  • การวิเคราะห์เชิงลึก: รองรับการทำรายงานและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงซับซ้อน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหลายมิติ (OLAP)
  • การรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง: ช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลที่มาจากระบบต่างๆ ทำได้ง่ายและมีความครอบคลุมมากขึ้น

ข้อจำกัดของ Data Warehouse:

  • การจัดเก็บข้อมูลที่มีโครงสร้างเท่านั้น: ไม่สามารถจัดการกับข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างได้ดีเท่ากับ Data Lake
  • ต้นทุนสูงในการจัดการและปรับปรุงข้อมูล: การแปลงและจัดโครงสร้างข้อมูลต้องใช้เวลาและทรัพยากร
  • การอัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ทำได้ยาก: Data Warehouse มักเหมาะกับการเก็บข้อมูลในอดีตมากกว่า การเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์มักใช้ระบบเสริมอื่นๆ

 

แนะนำ Object-Relational Mapping(ORM)

Object-Relational Mapping (ORM) คือเทคนิคในการเชื่อมโยงและจัดการข้อมูลระหว่างฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (relational database) กับโปรแกรมที่ใช้หลักการของเชิงวัตถุ (object-oriented programming) โดยการสร้าง mapping ระหว่างข้อมูลที่เก็บในตารางฐานข้อมูล (relational tables) กับ object ในโปรแกรม  ข้อจำกัดของ ORM อาจไม่เหมาะกับงานที่มีความซับซ้อนสูงในการทำงานกับฐานข้อมูล เช่น query ที่ซับซ้อนมาก ซึ่งการเขียน SQL โดยตรงอาจมีประสิทธิภาพมากกว่า

ความสำคัญของ ORM ประกอบไปด้วย

    • ลดการเขียน SQL โดยตรง:
      ORM ช่วยให้โปรแกรมเมอร์สามารถทำงานกับฐานข้อมูลได้โดยไม่ต้องเขียนคำสั่ง SQL เอง ซึ่งจะช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการเขียนคำสั่ง SQL ผิดพลาด และทำให้โค้ดง่ายขึ้นในการบำรุงรักษา
    • โปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) กับฐานข้อมูลทำงานร่วมกันได้ง่าย:
      ORM ช่วยให้การทำงานระหว่างฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์กับโปรแกรมเชิงวัตถุเป็นไปอย่างราบรื่น โดยการแปลงข้อมูลจากฐานข้อมูลให้กลายเป็น object ที่สามารถใช้งานได้ทันทีในโปรแกรม
    • การจัดการการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างข้อมูล:
      ORM ทำให้การจัดการโครงสร้างข้อมูลในฐานข้อมูลง่ายขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตารางหรือ schema โดย ORM จะอัพเดตโครงสร้างตารางอัตโนมัติตามการเปลี่ยนแปลงใน object model
    • เพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนา:
      ORM ช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนาโปรแกรมเพราะสามารถลดการเขียนคำสั่ง SQL และทำให้โค้ดเข้าใจง่ายขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้การย้ายฐานข้อมูล (เช่น จาก MySQL ไปเป็น PostgreSQL) ทำได้ง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องเปลี่ยนคำสั่ง SQL ที่เกี่ยวข้อง

 

เครื่องมือที่ใช้สำหรับ  ORM ที่นิยมมีดังนี้:

  1. Hibernate (Java) เป็นหนึ่งใน ORM ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับ Java ช่วยให้โปรแกรมเมอร์สามารถจัดการกับฐานข้อมูลได้ผ่าน object โดยไม่ต้องเขียน SQL มากมาย รองรับการจัดการ transaction, caching, และการ mapping ที่ยืดหยุ่น
  2. Entity Framework (C# / .NET) เป็น ORM ที่มาพร้อมกับแพลตฟอร์ม .NET ของ Microsoft ช่วยให้โปรแกรมเมอร์จัดการกับฐานข้อมูล SQL Server, MySQL, PostgreSQL และอื่นๆ ผ่าน object-oriented code
  3. SQLAlchemy (Python) เป็นเครื่องมือ ORM ที่ยืดหยุ่นสำหรับ Python และได้รับความนิยมสูง ช่วยให้การ map object กับฐานข้อมูลทำได้อย่างสะดวก และยังรองรับการเขียน SQL โดยตรงในกรณีที่ต้องการ query แบบเฉพาะเจาะจง
  4. Django ORM (Python) Django ORM เป็นส่วนหนึ่งของ Django Web Framework ทำให้การจัดการฐานข้อมูลเป็นเรื่องง่ายสำหรับการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน ช่วยให้การ mapping ระหว่างตารางในฐานข้อมูลกับ object ในโปรแกรมเป็นไปโดยอัตโนมัติ
  5. Doctrine (PHP) เป็น ORM ที่ได้รับความนิยมในชุมชน PHP ใช้ในหลายๆ framework เช่น Symfony ช่วยในการแปลงข้อมูลจากฐานข้อมูลเป็น object ที่ใช้งานได้ในโปรแกรม PHP รองรับการทำงานในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ มีการใช้งานที่แพร่หลาย และทำงานได้ดีกับ PHP frameworks
  6. Active Record (Ruby on Rails) เป็น ORM ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Ruby on Rails framework ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถ map object กับฐานข้อมูลได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องเขียน SQL เป็นส่วนหนึ่งของ Ruby on Rails ทำให้การทำงานร่วมกันง่าย และรองรับการพัฒนาเว็บแอปที่รวดเร็ว
  7. Eloquent (PHP / Laravel) เป็น ORM ที่มาพร้อมกับ Laravel Framework ช่วยในการจัดการกับฐานข้อมูลและทำงานร่วมกับ object ได้อย่างสะดวกและง่ายดาย มี syntax ที่เรียบง่ายและชัดเจน ทำงานร่วมกับ Laravel framework ได้อย่างสมบูรณ์
  8. GORM (Golang) เป็น ORM ที่ได้รับความนิยมสำหรับภาษา Go ช่วยให้โปรแกรมเมอร์สามารถจัดการกับฐานข้อมูลได้อย่างสะดวกโดยใช้ object-oriented syntax สนับสนุนการทำงานแบบ automatic migrations และการ query ที่สะดวกใน Golang
  9. Sequelize (Node.js / JavaScript) เป็น ORM สำหรับ Node.js ที่รองรับการทำงานกับฐานข้อมูลหลายประเภท เช่น MySQL, PostgreSQL, SQLite, และ MSSQL ช่วยให้การจัดการฐานข้อมูลใน JavaScript/TypeScript ง่ายขึ้น รองรับการทำงานร่วมกับฐานข้อมูลหลายชนิด และมีการพัฒนาที่ต่อเนื่อง

ระดับของ Data Granularity

Data Granularity เป็นระดับรายละเอียดของข้อมูลที่มีในชุดข้อมูลหนึ่งๆ ที่จัดเก็บหรือวิเคราะห์ มีความสำคัญอย่างมากในกระบวนการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล เนื่องจากระดับความละเอียดของข้อมูลส่งผลต่อความสามารถในการวิเคราะห์ การสรุปผล และการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยความสำคัญและเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับ Data Granularity มีดังนี้ การตัดสินใจอย่างมีข้อมูล (Informed Decision-Making) , การตอบคำถามและการวิเคราะห์ที่หลากหลาย, ความยืดหยุ่นในการนำเสนอข้อมูล, ประสิทธิภาพในการจัดเก็บและประมวลผล, ความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ

ระดับ Data Granularity มี 3 ระดับ ดังนี้

  1. High Granularity ข้อมูลที่มีรายละเอียดละเอียดมาก แสดงข้อมูลในระดับที่ลึก เช่น ข้อมูลการทำธุรกรรมที่บันทึกแยกตามแต่ละรายการ ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างละเอียดและระบุแนวโน้มหรือปัญหาเฉพาะที่เกิดขึ้น ตัวอย่าง ข้อมูลการขายที่บันทึกแต่ละการทำธุรกรรมของลูกค้า เช่น เวลา, สถานที่, จำนวน, ราคา
  1. Intermediate Granularity ข้อมูลที่มีรายละเอียดพอสมควร โดยการสรุปข้อมูลที่เป็นกลางระหว่างรายละเอียดสูงและรายละเอียดรวมสำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มและการตัดสินใจ แต่ไม่ต้องการการจัดเก็บข้อมูลที่มีรายละเอียดสูง ตัวอย่าง ข้อมูลยอดขายรวมประจำสัปดาห์ หรือยอดขายรวมในช่วงเวลาที่กำหนด (เช่น เดือน) แทนที่จะเป็นข้อมูลการทำธุรกรรมแยกตามแต่ละรายการ
  2. Low Granularity ข้อมูลที่มีรายละเอียดน้อยหรือเป็นการสรุปในระดับสูง แสดงข้อมูลในรูปแบบที่รวมกัน เช่น ข้อมูลสรุปที่เป็นภาพรวม การจัดเก็บและการวิเคราะห์ทำได้ง่ายและรวดเร็ว เหมาะสำหรับการสร้างรายงานที่สรุปภาพรวม ตัวอย่าง ข้อมูลยอดขายรวมประจำปี หรือยอดขายรวมของเดือน โดยไม่มีรายละเอียดของการทำธุรกรรมแต่ละรายการ

การเลือกระดับ Data Granularity ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์และการนำเสนอข้อมูล เพื่อให้สามารถทำการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีข้อมูลที่ครบถ้วนตามความต้องการ และการนำเสนอข้อมูลเพื่อให้ได้มุมมองที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์ การเลือกใช้ granularity ที่เหมาะสมช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการใช้เครื่องมืออย่าง Power BI, Tableau, SQL และเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลอื่นๆ ทำให้การจัดการข้อมูลในระดับ granularity ที่ต่างกันเป็นไปได้ง่ายและรวดเร็ว.

ความเกี่ยวข้องระหว่าง Microservice และ API Gateway

Microservice คือสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ที่แบ่งระบบหรือแอปพลิเคชันออกเป็นหน่วยย่อย ๆ ที่เรียกว่า “บริการ” (services) ซึ่งแต่ละบริการมีความสามารถเฉพาะและทำงานอิสระจากกัน โดยมีการเชื่อมต่อกันผ่านระบบ API หรือโปรโตคอลต่าง ๆ

คุณสมบัติหลักของ Microservice:

  1. แยกส่วนกันอย่างอิสระ: แต่ละบริการสามารถพัฒนา, ทดสอบ, ปรับปรุง หรือปรับขยายได้อย่างอิสระ โดยไม่กระทบต่อบริการอื่น
  2. การสื่อสารผ่าน API: บริการแต่ละตัวสื่อสารกันผ่านโปรโตคอลเครือข่าย เช่น HTTP/REST, gRPC หรือ WebSocket
  3. การปรับขยาย (Scalability): สามารถปรับขยายเฉพาะบริการที่มีความต้องการสูงโดยไม่ต้องปรับขยายทั้งระบบ
  4. การจัดการเทคโนโลยีหลากหลาย: แต่ละบริการสามารถใช้ภาษาโปรแกรม, ฐานข้อมูล หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่แตกต่างกันได้
  5. การพัฒนาแบบอิสระ: ทีมพัฒนาสามารถทำงานบนบริการต่าง ๆ ได้พร้อมกัน โดยไม่ต้องรอการปรับปรุงส่วนอื่น ๆ ของระบบ

ความเกี่ยวข้องระหว่าง Microservice และ API Gateway:

เมื่อใช้สถาปัตยกรรม Microservice แต่ละบริการจะทำงานเป็นอิสระ และมี API ของตัวเอง แต่เมื่อมีหลาย ๆ บริการ ไคลเอนต์จะต้องเรียก API หลายจุดเพื่อดึงข้อมูลจากบริการต่าง ๆ ส่งผลให้การจัดการและการเชื่อมต่อกับ Backend มีความซับซ้อน ดังนั้น API Gateway จึงเข้ามาช่วยจัดการปัญหานี้ โดยทำหน้าที่เป็น ตัวกลาง (entry point) ระหว่างไคลเอนต์และบริการ Backend หลาย ๆ ตัวที่อยู่ในระบบ Microservice:

  1. รวม API หลาย ๆ ตัวให้เป็นหนึ่งเดียว: API Gateway ช่วยรวมการเรียกใช้งาน API ของหลายบริการ Microservice ผ่านทางจุดเดียว ซึ่งทำให้ไคลเอนต์ไม่ต้องสื่อสารกับหลายจุดที่แตกต่างกัน
  2. การจัดการเส้นทาง (Routing): API Gateway จะจัดการเส้นทางของคำขอ (request) จากไคลเอนต์ไปยังบริการ Backend ที่เหมาะสมในระบบ Microservice
  3. การจัดการความปลอดภัย: API Gateway ช่วยตรวจสอบสิทธิ์, การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง และการจำกัดการใช้งานในระดับ API ให้กับบริการต่าง ๆ ได้
  4. การรวมข้อมูล (Service Aggregation): ไคลเอนต์สามารถส่งคำขอเพียงครั้งเดียวไปที่ API Gateway แล้ว Gateway จะทำการเรียกหลาย ๆ บริการพร้อมกัน และรวมผลลัพธ์มาให้ไคลเอนต์ในคำตอบเดียว
  5. ปรับปรุงประสิทธิภาพ (Optimization): API Gateway ช่วยบีบอัดข้อมูล, แคชคำขอ, และลดการโหลดบน Backend ช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ประโยชน์ของการใช้ API Gateway กับ Microservice:

  • ลดความซับซ้อนในการจัดการหลายบริการ
  • ช่วยในการควบคุมและรักษาความปลอดภัยในระดับ API
  • ช่วยในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพและการสเกลระบบได้ดีขึ้น

ทำความรู้จัก API Gateway

API Gateway ทำหน้าที่การจัดการกับ Request ต่าง ๆ ที่พยายามที่จะเข้ามาเรียกใช้งาน Service ของระบบผ่าน API มีบทบาทสำคัญในการคัดกรองและจัดการ Request ต่าง ๆ ที่เข้ามา เหมาะกับการใช้งานในสถาปัตยกรรม Microservices ซึ่งมีการกระจายบริการ Backend หลาย ๆ ตัว โดย API Gateway จะช่วยควบคุมและจัดการการเรียกใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คุณสมบัติของ API Gateway:

  •  Single Entry Point : API Gateway ช่วยรวมการเข้าถึง API หลาย ๆ ตัวไว้ในที่เดียว ทำให้ไคลเอนต์สามารถสื่อสารกับ Backend หลายบริการได้ผ่าน API Gateway เพียงแห่งเดียว ไม่จำเป็นต้องเรียกใช้งาน API หลาย ๆ อันโดยตรง
  •  Routing : API Gateway จะทำหน้าที่ส่งคำขอ (request) จากไคลเอนต์ไปยังบริการ Backend ที่เหมาะสม โดยจัดการเส้นทางที่ไคลเอนต์ต้องการใช้งาน
  •  Protocol Translation : API Gateway สามารถแปลงรูปแบบคำขอหรือโปรโตคอลระหว่างไคลเอนต์กับ Backend ได้ เช่น การแปลงจาก REST API เป็น gRPC หรือ WebSocket
  •  Security : API Gateway รองรับการตรวจสอบสิทธิ์ (authentication), การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง (authorization), การจัดการ SSL/TLS และการจำกัดอัตราการใช้งาน (rate limiting)
  •  Caching : API Gateway สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยการแคชข้อมูล หรือบีบอัดคำขอ/คำตอบเพื่อลดภาระการส่งข้อมูล
  •  Logging & Monitoring : ช่วยให้สามารถติดตามการเรียกใช้งาน API ได้อย่างละเอียด เช่น การบันทึกการเรียกใช้ การตรวจสอบประสิทธิภาพ และการแก้ไขปัญหา
  •  Load Balancing : ช่วยกระจายคำขอไปยังเซิร์ฟเวอร์ Backend หลาย ๆ ตัวเพื่อรองรับการโหลดสูง ๆ

ข้อดีของการใช้ API Gateway:

  • เพิ่มความยืดหยุ่น: การเปลี่ยนแปลง Backend สามารถทำได้โดยไม่กระทบกับไคลเอนต์ เพราะคำขอทั้งหมดถูกจัดการผ่าน API Gateway
  •  Service Aggregation : ไคลเอนต์สามารถทำคำขอครั้งเดียวเพื่อเรียกหลาย ๆ บริการใน Backend และรับผลลัพธ์ที่ถูกรวมมาในคำตอบเดียว
  • การจัดการ API ง่ายขึ้น: การจัดการการเข้าถึงและความปลอดภัยเป็นศูนย์กลางช่วยให้จัดการ API ทั้งหมดได้จากจุดเดียว

ตัวอย่าง API Gateway ที่นิยมใช้:

  1. AWS API Gateway: เป็นบริการที่ AWS ให้บริการสำหรับการจัดการและเชื่อมต่อ API กับบริการต่าง ๆ ในระบบ Cloud
  2. Kong: เป็น API Gateway ที่ได้รับความนิยม สามารถขยายการทำงานได้ผ่านปลั๊กอินต่าง ๆ และรองรับหลายโปรโตคอล
  3. NGINX: นอกจากเป็น Web Server แล้วยังมีส่วน API Gateway เพื่อใช้ในการจัดการและปรับแต่ง API ต่าง ๆ
  4. Google Cloud Endpoints: เป็น API Gateway สำหรับเชื่อมต่อกับบริการบน Google Cloud

Mermaid Chart

Mermaid Chart เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสร้าง diagrams และ visualizations จาก text-based syntax อย่างง่าย ๆ โดยตรงในเอกสาร Markdown หรือในแอปพลิเคชันที่รองรับ เช่น GitHub, GitLab, Notion, และอื่น ๆ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเขียน แผนภาพ ได้โดยใช้โค้ดง่าย ๆ แทนการสร้างแผนภาพด้วยเครื่องมือแบบกราฟิก ผู้ใช้สามารถเขียนโค้ด Mermaid และสร้าง diagrams เช่น flowchart, sequence diagram, Gantt chart, class diagram, ER diagram และอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย

การใช้งานของ Mermaid Chart  ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้าง diagrams ได้ในลักษณะที่สั้นและชัดเจน โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือการสร้างแผนภาพที่ซับซ้อน เช่น การลากและวาง ซึ่งทำให้สามารถใช้ Mermaid ได้สะดวกในงานที่ต้องมีการทำเอกสารหรือเขียนโค้ดไปพร้อม ๆ กับการอธิบายด้วยแผนภาพ

ความสำคัญของ Mermaid

  • ง่ายต่อการสร้างแผนภาพ: Mermaid มี syntax ที่เข้าใจง่ายและทำให้การสร้าง diagrams เป็นเรื่องที่สะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานกับแผนภาพบ่อย ๆ โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมแยกออกไป
  • รวมกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้ดี: Mermaid ถูกฝังในหลายแพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับการทำงานเอกสารและเขียนโค้ด เช่น GitHub, GitLab, Notion, และโค้ด editor บางตัว ทำให้การทำงานเป็นแบบ seamless โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือภายนอก
  • เหมาะกับการทำงานร่วมกัน: Mermaid ช่วยในการแสดงข้อมูลและความคิดผ่าน diagrams ในแบบ text-based ซึ่งเหมาะกับการทำงานเป็นทีมหรือในงานที่ต้องมีการปรับปรุงแผนภาพบ่อย ๆ

 

การใช้งานทั่วไป

  • ใช้ในการสร้าง flowchart หรือ sequence diagram สำหรับการอธิบายขั้นตอนการทำงานของแอปพลิเคชัน
  • ใช้สร้าง Gantt chart สำหรับการบริหารจัดการโครงการหรือการวางแผนเวลา
  • ใช้สำหรับการสร้าง Entity-Relationship (ER) Diagrams ในการออกแบบฐานข้อมูล

 

Mermaid เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์, นักออกแบบระบบ, และผู้ที่ทำงานด้านเอกสารหรือวางแผนโครงการ ทำให้สามารถสร้าง diagrams ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

 

Microsoft Bing AI Chat (aka Copilot)

bing.com

การค้นหาด้วย AI
ฟังก์ชันการค้นหาตามบทการสนทนา ด้วยคำถามและคำสั่งที่ซับซ้อน เช่น ค้นหาโรงเรียนที่ดีที่สุด พร้อมด้วยสวนสาธารณะในบริเวณใกล้เคียง หรือบริเวณที่ต้องการ พร้อมระยะทางจากโรงเรียน ผลลัพธ์ รูปภาพ ลิงก์และข้อมูลเพิ่มเติม หน้าเว็บของโรงเรียน เนื้อหาความรู้ ครอบคลุมสาขาต่างๆ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และเทคโนโลยี

Designer
เครื่องมือตัวช่วยการออกแบบ สร้างภาพตามต้องการในรูปแบบสไตล์ที่ต้องการ รูปภาพสำหรับโซเชียลมีเดีย ไปจนถึงการให้ช่วยสร้างสรรค์รูปภาพคำเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงปาร์ตี้ สามารถสร้างตัวเลือกรูปภาพได้มากมายนับไม่ถ้วน

การสร้างข้อความ
สร้างข้อความ เป็นโทนและรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อใช้ร่างอีเมล โพสต์ในบล็อก สุนทรพจน์ บทกวี เรื่องสั้น เป็นต้น สามารถสรุปข้อมูลจากบทความได้ สามารถแปลข้อความเป็นภาษาต่างๆ ช่วย rewrite เนื้อหาได้

Requirements: Web Browser แนะนำให้ใช้ Microsoft Edge
สามารถใช้ของ Microsoft (hotmail, outlook) ในการล็อคอิน Microsoft และ ณ ปัจจุบันยังไม่ต้องใช้การล็อคอินในการใช้งาน

Gemini (Bard) – AI Chatbot

Bard (Backbone Transformer) architecture (เปลี่ยนเป็น “Gemini” https://gemini.google.com/, เม.ย. 2567) เป็นเครื่องมือแบบ AI Chat Bot ที่มีลักษณะการใช้งาน เช่นเดียวกันกับ ChatGPT พัฒนาจาก Large Language Model

ฟังก์ชันความสามารถ:

1) Language Understanding

  • Natural Language Processing (NLP): เข้าใจและตอบสนองคำสั่งในภาษามนุษย์ คำถามทั้งแบบที่ง่ายและคำถามที่ประโยคซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงคำถามที่ขอให้คิดออกแบบสร้างสรรค์ขึ้นมาตามจินตนาการ
  • Sentiment Analysis: สามารถตรวจจับลักษณะของประโยคข้อความที่แสดงออกถึงสภาพอารมณ์ emotional tone และสามารถตอบสนองปรับตามสภาพดังกล่าวได้
  • Context Awareness: สามารถอ้างอิงตามบริบทของซีรี่ย์ของบทสนทนาที่เกิดขึ้นและสามารถตอบสนองตามบริบทนั้นได้

2) Information Retrieval and Generation

  • Search: เข้าถึงข้อมูลผ่านผลลัพธ์การค้นหาด้วย Google Search และตอบสนองได้สอดคล้องกับผลลัพธ์การค้นหานั้น
  • Question Answering: สามารถตอบคำถามได้หลากหลาย in a comprehensive and informative way แม้ว่าจะเป็นคำถามที่แปลกหรือท้าทาย
  • Text Generation: สร้างสรรค์ข้อความ ที่หลากหลาย อาทิ บทกลอน บทกวี โค้ดภาษาโปรแกรม แต่งเพลงพร้อมโน้ตดนตรี เนื้อหาของจดหมายอีเมล เป็นต้น

3) Information Retrieval and Generation

  • Translation: แปลภาษาได้
  • Summarization: สามารถสร้างสรุปเนื้อหาข้อมูลจากบทความที่ต้องการได้
  • Writing: ช่วยในการเขียน เช่น การ brainstorming

Requirements:

  • Hardware: อุปกรณ์ที่มี web browser (ระบบปฏิบัติการไม่จำกัด) และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต – computers, laptops, smartphones, and tablets
  • Software: web browser : Chrome, Firefox, Safari, or Edge
  • Additional requirements: มีสมาชิกบัญชี Google

Gamma.app – AI ช่วยสร้าง Preaentation

AI Tool ที่สามารถสร้าง presentation ได้เก่งมาก สามารถสร้างสไลด์ได้จากเพียงกำหนดชื่อเรื่องเท่านั้น ระบบจะคิด outline ให้โดยอัตโนมัติ จะบบจะหารูปแบบที่เหมาะสมกับเนื้อหาในแต่ละ slide และภาพภาพประกอบให้ด้วย

Link : https://gamma.app/

Continue reading “Gamma.app – AI ช่วยสร้าง Preaentation”

Synthesia.io – AI ช่วยทำ VDO พรีเซ้นต์

Synthesia เป็น AI ที่ทำทางด้าน Generate ไฟล์ VDO โดยแปลงข้อความเป็นเสียงพูด Text to speech และมี avator ให้ใช้งานจำนวนมาก โดย avatar จะทำหน้าที่พูดตาม text ที่เราใส่เข้าไป การขยับปาก เสียงพูด สีหน้าและท่าทาง ดูเป็นธรรมชาติ มีภาษาพูดให้เลือกหลายภาษารวมถึงภาษาไทย

Link : https://www.synthesia.io/

Continue reading “Synthesia.io – AI ช่วยทำ VDO พรีเซ้นต์”