หมวกนิรภัยแบบไหนปลอดภัยที่สุด

มาดูกันครับว่าหมวกนิรภัยที่ใช้กันอยู่ มีความปลอดภัยอยู่ในระดับใด แบบไหนใช้แล้วปลอดภัยที่สุด

เรามาร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัยตามสโลแกน “สวย หล่อ สมาร์ต ปลอดภัย ง่ายๆ แค่สวมหมวกนิรภัย” กันนะคะ

 

แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2566 – 2570

ด้วยพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 44(3) กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) มีหน้าที่และอำนาจ จัดทำนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ เพื่อกำหนดและกำกับทิศทางในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาประเทศ

 

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดทำแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้จัดทำแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2566-2570 โดยใช้แนวทางตามกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม พ.ศ. 2566-2570 โดยให้ความสำคัญกับการนำวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และมีศักยภาพเพียงพอในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมรองรับความท้าทายใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยมุ่งเน้นให้ คนไทยมีสมรรถนะและทักษะสูง เพียงพอในการพลิกโฉมประเทศให้ยกระดับความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน เศรษฐกิจไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้วยเศรษฐกิจสร้างคุณค่าและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพิ่มความมั่นคงของเศรษฐกิจฐานราก และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนพร้อมสู่อนาคต และสังคมไทยมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนสามารถแก้ปัญหาท้าทายของสังคมและสิ่งแวดล้อม ปรับตัวได้ทันต่อพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลก

 

แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2566 – 2570 โดยท่านสามารถดาวน์โหลด (ฉบับสมบูรณ์) อ่าน และ ทำความเข้าใจได้ที่ QR Code บนภาพ หรือคลิกเพื่อ
 ดาวน์โหลดเอกสาร

 

หรืออ่านเอกสารสรุปสาระสำคัญแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2566 – 2570 ดาวน์โหลดเอกสารสรุปสาระสำคัญ

วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ 2565

วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ 2565

อำนาจการควบคุมของ ‘สมอง’

รู้จักสมองของเรา

สมองเป็นอวัยวะที่ซับซ้อนควบคุมความคิด ความจำ อารมณ์ สัมผัส การมองเห็น การหายใจ อุณหภูมิ ความหิว และทุกกระบวนการที่ควบคุมร่างกาย

สมองมีน้ำหนักประมาณ 1.36 กิโลกรัม สมองไม่ใช่กล้ามเนื้อ แต่เต็มไปด้วยหลอดเลือดและเส้นประสาท รวมเซลล์ประสาท และเซลล์เกลีย เนื้อสมองแบ่งออกเป็น 2 ส่วน หรือ 2 สี คือ ส่วนที่เป็นสีเทา อยู่ส่วนนอกที่มีสีเข้มกว่า และส่วนที่เป็นสีขาว อยู่ด้านใน

ส่วนที่เป็นสีเทานั้น ทำหน้าที่ควบคุมข้อมูลที่รับและส่งออก เนื่องจากมีเซลล์ของเซลล์ประสาทอยู่ ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ และการให้ความรู้สึก ส่วนที่เป็นสีขาว ซึ่งเป็นเส้นใยใช้ส่งสัญญานไปยังส่วนอื่นๆ ของสมองไขสันหลัง และร่างกาย

รู้จักศัพท์ทางประสาท

– นิวรอน (Neuron) หรือเซลล์ประสาท
– แอกซอน (Axon) เป็นเส้นใยที่ใช้ส่งสัญญาณไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย เมื่อแอกซอนรวมตัวกันเป็นมัดเรียกว่าเส้นประสาท
– ไมอีลิน (Myelin) เยื่อหุ้มประสาทที่ช่วยให้การนำข้อมูลจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังเซลล์ประสาทอื่นรวดเร็วขึ้น
– นิวโรแทรนสมิตเทอร์ (Neurotransmitter) สารสื่อประสาท เป็นสารเคมีที่เซลล์ประสาทผลิตขึ้น เพื่อนำสัญญาณจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์ประสาท โดยผ่านช่องว่างไซแนปซ์
– ไซแนปซ์ (Synapse) หรือช่องว่างระหว่างเซลล์ประสาทกับเซลล์กล้ามเนื้อ หรือเซลล์ประสาทกับเซลล์ประสาท

สมองส่วนต่างๆ และหน้าที่

สมองมีการรับ-ส่งสัญญาณเคมีและไฟฟ้าทั่วร่างกาย โดยสัญญาณที่แตกต่างกัน กระบวนการแตกต่างกัน และสมองจะตีความแตกต่างกันออกไป กระบวนการที่เกิดขึ้นนี้ระบบประสาทส่วนกลางต้องอาศัยเซลล์ประสาทหลายพันล้านเซลล์ เพื่อให้ร่างกายมีการตอบสนอง ไม่ว่าจะเป็นอาการเหนื่อย หรือรู้สึกเจ็บปวด ซึ่งข้อความบางอย่างถูกเก็บไว้ในสมอง ขณะที่ข้อความอื่นจะถูกส่งต่อผ่านกระดูกสันหลังและเครือข่ายเส้นประสาทของร่างกายไปแขนขา

สมองคนเราแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก คือ ซีรีบรัม (Cerebrum) ก้านสมอง (Brainstem) และซีรีเบลลัม (Cerebellum)
ซีรีบรัม (Cerebrum)

          ซีรีบรัม เป็นส่วนของสมองที่ใหญ่ที่สุด ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ประสาทสัมผัส การมองเห็น รวมถึงการเรียนรู้ การคิดและการให้เหตุผล การแก้ปัญหาและอารมณ์ ซีบรัม แบ่งย่อยได้ 4 ส่วน ได้แก่

– สมองส่วนหน้า (Frontal Lope) เป็นกลีบสมองที่ใหญ่ที่สุด อยู่ด้านหน้าศีรษะ โดย ทำงานเกี่ยวกับลักษณะบุคลิกภาพ การเคลื่อนไหว การตัดสินใจ การรู้กลิ่น และความสามารถในการพูด

– สมองพาไรเอทัล (Parietal lope) อยู่บริเวณตรงกลางของสมอง ทำงานเกี่ยวกับการรับรู้ ความรู้สึกสัมผัส ความเจ็บปวด การรับรู้ภาพ เสียง และภาษา

– สมองส่วนหลัง (Occipital lope) ทำงานเกี่ยวกับการมองเห็น

– สมองส่วนขมับ (Temporal lope) อยู่ด้านข้างของสมอง ทำงานเกี่ยวกับความจำระยะสั้น คำพูด เสียง และการรับรู้กลิ่นในระดับหนึ่ง

ซีรีเบลลัม (Cerebellum)

ซีรีเบลลัม หรือสมองน้อย มีขนาดราวกำปัน อยู่บริเวณด้านหลังศีรษะ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และความสมดุล จากการวิจัยพบว่า ซีรีเบลมีบทบาทสำคัญด้านความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมทางสังคมด้วย

ก้านสมอง (Brainstem)

          ก้านสมอง เชื่อมต่อซีรีบรัมกับไขสันหลัง ก้านสมองประกอบด้วย สมองส่วนกลาง พอนส์ (Pons) และไขกระดูก

– สมองส่วนกลาง หรือ มีเซนเซฟาลอน (Mesencephalon)  มีหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยิน การเคลื่อนไหว และการตอบสนอง

– พอนส์ (Pons) เป็นแหล่งกำเนิดของเส้นประสาทสมอง 4 ใน 12 เส้น ซึ่งช่วยให้ทำกิจกรรมต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น การฉีกขาด การเคี้ยว การกะพริบตา การโฟกัสการมองเห็น การทรงตัว การได้ยิน และการแสดงออกทางสีหน้า

– ไขกระดูก (Medulla) บริเวณด้านล่างของก้านสมอง เป็นที่ที่สมองไปบรรจบกับไขสันหลัง ไขกระดูกมีความสำคัญต่อการอยู่รอด หน้าที่ควบคุมกิจกรรมของร่างกาย จังหวะการเต้นของหัวใจ การหายใจ การไหลเวียนของเลือด และระดับออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์

สารเคมีที่สำคัญต่อสมอง

สื่อประสาท (Neurotransmitters) และฮอร์โมน (Hormone)

สารสื่อประสาท หรือนิวโรแทรนสมิตเทอร์ (Neurotransmitter) เป็นสารที่ช่วยให้เซลล์ประสาททั่วร่างกายสามารถสื่อสารกันได้ ทำให้สมองทำหน้าที่ต่างๆ ได้หลากหลายจากกระบวนการส่งผ่านสารสังเคราะห์ทางเคมีนี้ สารสื่อประสาทมีความสำคัญต่อชีวิต นับตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของพัฒนาการ รวมถึง การเติบโตของเซลล์ประสาท และการพัฒนาวงจรประสาท

          ฮอร์โมน (Hormone) ผลิตจากระบบต่อมไร้ท่อ ได้แก่ ต่อมใต้สมอง ไพเนียลไทมัส ไทรอยด์ ต่อหมวกไต ตับอ่อน รวมถึง อัณฑะและรังไข่ ฮอร์โมนมีผลต่อกระบวนการต่างๆ มากมายในร่างกาย เช่น การเติบโตและพัฒนาการเมตาบอลิซึม อารมณ์

ตัวอย่างสารสื่อประสาทและฮอร์โมนที่สำคัญในภาพรวม

          อะดรีนาลีน (Adrenaline) หลั่งโดยต่อมหมวกไตอยู่ด้านบนของไตแต่ละข้าง อะดรีนาลีนจะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อ เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและทำให้รูม่านตาขยายมีปริมาณสูงในการตอบสนองต่อการเอาตัวรอด การต่อสู้ หรือหนี

นอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) เป็นสารสื่อประสาทและฮอร์โมน เชื่อมโยงกับความกลัว ความเครียด และกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว

โดพามีน (Dopamine) สารแห่งความสุข เปรียบเสมือนสารเสพติดที่สมองต้องการปลดปล่อยเมื่อมีความรู้สึกพึงพอใจ ได้ทำในสิ่งที่ชอบ จากกิจกรรมหรืออาหารที่ชอบ ไม่ใช่แค่สารเคมีเพื่อความสุขเท่านั้น แต่ยังมีความเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ การตัดสินใจ การเคลื่อนไหว ความสนใจ ความจำในการทำงาน และการเรียนรู้

ออกซิโตซิน (Oxytocin) เป็นสารสื่อประสาทและฮอร์โมน ถูกปล่อยออกมาเมื่อคุณอยู่ใกล้บุคคลอื่น การสร้างความสัมพันธ์ บางครั้งออกซิโตซินถูกเรียกว่า ฮอร์โมนแห่งความรัก

กาบา (GABA: Gamma-Aminobutyric Acid) เป็นสารสื่อประสาทที่สกัดกั้นกระแสประสาทระหว่างเซลล์ในสมอง ช่วยให้รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย และเกิดความสมดุลในสมอง

แอซิติลโคลีน (Acetylcholine) เป็นสารสื่อประสาทหลัก มีหน้าที่เกี่ยวกับกระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัว การเคลื่อนไหวของร่างกายทั้งหมดเกี่ยวข้องกับสื่อประสาทนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในการรับรู้และความจำ

กลูตาเมต (Glutamate) เป็นสารสื่อประสาทที่มีมากที่สุดในระบบประสาทของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง เซลล์ประสาทใช้กลูตาเมตเพื่อส่งสัญญาณไปยังเซลล์อื่นๆ หากมีมากเกินไปอาจทำให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญา

เอนเดอร์ฟิน (Endorphins) เสมือนยาแก้ปวดตามธรรมชาติของร่างกาย ตอบสนองต่อความเจ็บปวดหรือความเครียด ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ร่ายกายจะหลั่งสารเมื่อออกกำลังกาย เต้นรำ ร้องเพลง

เซโรโทนิน (Serotonin) สารแห่งความสุขที่เชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ที่ดี มีหน้าที่ควบคุมความสมดุลของอารมณ์ วงจรการนอนหลับ และการย่อยอาหาร เซโรโทนินเพิ่มขึ้นจากการออกกำลังและสัมผัสกับแสงแดด

ความรู้สึก อำนาจจากการควบคุมของสมอง

ตัวอย่างความรู้สึกที่เกิดจากการควบคุมของสมอง
การหัวเราะ
ยาขนานเอกช่วยให้สุขภาพดี รู้สึกเบิกบาน คนเราเริ่มหัวเราะตั้งแต่อายุ 3 เดือน หัวเราะก่อนที่จะมีการเรียนรู้ที่จะพูด การหัวเราะเป็นกลไกธรรมชาติ การหัวเราะ ยังไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ โดยคาดว่า เกิดจากการทำงานของสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่กำหนดการตอบสนองทางอารมณ์

การหัวเราะจะช่วยลดระดับคอร์ติซอล (Cortisol) เป็นฮอร์โมนความเครียดตัวหลักของร่างกายในกระแสเลือดลดลง แทนที่ด้วยสารเคมีในสมอง ได้แก่ โดปามีน ออกซิโทซิน และเอ็นดอร์ฟิน การหัวเราะช่วยให้การทำงานของภูมิคุ้มกันดีขึ้น สุขภาพหัวใจและหลอดเลือดดีขึ้น ความวิตกกังวลลดลง ความรู้สึกปลอดภัย และอารมณ์ดี ทำให้สมองปลอดโปร่ง มีความคิดสร้างสรรค์และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนรอบข้าง
การร้องไห้ เป็นปรากฎการณ์ที่มีลักษณะของมนุษย์ ตอนสนองตามธรรมชาติ ตั้งแต่โศกเศร้าถึงความสุขสุดขีด การร้องไห้เกิดจากการทำงานหลายส่วน ทั้งในซีรีบรัมที่รับรู้ถึงความโศกเศร้า ระบบต่อมไร้ท่อจะถูกกระตุ้นเพื่อปล่อยฮอร์โมนไปยังบริเวณดวงตา ซึ่งทำให้เกิดน้ำตา รวมถึงกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic nervous system: PN) การร้องไห้ส่งผลดีต่อสุขภาพเหมือนเป็นยาระบายปลดปล่อยความเครียด ความเจ็บปวดทางอารมณ์ และกระตุ้นการปล่อยสารเคมีในสมอง เช่น ออกซิโทซิน
ความรัก
เป็นสิ่งที่วัฒนธรรมบนโลกให้ความสำคัญ เห็นได้ชัดเจนจากคำสอนทางศาสนา นวนิยาย การ์ด บทเพลง รวมถึงวาเลนไทน์ หลายคนจะได้ยินคำพูดที่ว่า ความรักไม่มีเหตุผล เป็นความรู้สึกพิเศษที่มาจากใจ ไม่สามารถอธิบายได้ เป็นความรู้สึกที่มาจากจิตใจ มากกว่าการใช้สมองคิดไตร่ตรอง แต่ทางวิทยาศาสตร์ความรักเป็นกลไกเกิดขึ้นจากสมองโดยตรง เหมือนความรู้สึกอื่นๆ ที่สามารถอธิบายได้ด้วยปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย จากการศึกษาของทีมวิทยาศาสตร์โดย ดร. Helen Fisher นักมานุษยวิทยาชีวภาพ แบ่งความรักเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ความหลง/ความปรารถนา (Lust) ความรัก (Attraction) และความผูกพัน (Attachment)  ความรักทำให้โลกสดใสเป็นสีชมพู แต่ก็มีด้านมืดมาพร้อมกัน ความรักมักมาพร้อมกับความหึงหวง ความไร้เหตุผล

การใช้กัญชาทางการแพทย์
การใช้กัญชาทางการแพทย์ในสหรัฐฯ

          สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในหลายประเทศที่อนุญาตให้ครอบครอง และใช้กัญชา สารสกัด CBD (ที่มี THC น้อยกว่า 0.3%) ได้ภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง นอกจากนี้ การใช้กัญชายังขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละรัฐ มี 37 รัฐ เขตอาณา 4 แห่ง และกรุงวอชิงตัน กำหนดให้ใช้กัญชาทางการแพทย์เพื่อการรักษาบางโรคถูกต้องตามกฎหมาย เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) โรคเอดส์ โรคโครห์น โรคลมบ้าหมู ต้อหิน เส้นโลหิตตีบและกล้ามเนื้อกระตุก อาการปวดอย่างรุนแรงและเรื้อรัง อาการคลื่นไส้หรืออาเจียนรุนแรงจากการรักษามะเร็ง การพิจารณาการใช้การรักษาด้วยกัญชา ต้องมีคำแนะนำเป็นลายลักษณ์อักษรจากแพทย์ที่มีใบอนุญาตในรัฐที่สามารถใช้ได้อย่างถูกกฎหมาย ผู้ป่วยต้องมีเงื่อนไขเข้าเกณฑ์สำหรับการใช้กัญชาทางการแพทย์ ถึงจะสามารถเข้ารับการรักษา หรือซื้อกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์ได้

          การศึกษาวิจัยด้านสมองในสหรัฐฯ

          21st Century Cures Act

21st  Century Cures Act เป็นพระราชบัญญัติ ที่ได้ลงนามในกฎหมายในสมัยประธานาธิบดี
โอบามา เพื่อช่วยเร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และนำเสนอนวัตกรรมและความก้าวหน้าใหม่ๆ แก่ผู้ป่วยที่ต้องการอย่างรวดเร็ว เพื่อศึกษา 4 โครงการนวัตกรรมขั้นสูง ได้แก่

– All of us Research Program (เดิมชื่อโครงการ PMI Cohort) โครงการสร้างฐานข้อมูล ที่สามารถให้ข้อมูลการศึกษาหลายพันเรื่องเกี่ยวกับภาวะสุขภาพ ปัจจัยเสี่ยงของโรคบางชนิด การพิจารณาว่าการรักษาแบบใดได้ผลดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีภูมิหลังต่างกัน

– Cancer Moonshot โครงการศึกษาเกี่ยวกับมะเร็ง ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน และการแชร์ข้อมูล ประธานาธิบดีไบเดน ได้กล่าวถึงเป้าหมายของโครงการ ในการลดอัตราการเสียชีวิตของโรคมะเร็งลงอย่างน้อย 50% ในอีก 25 ปีข้างหน้า และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยรอดชีวิตจากมะเร็ง

– Regenerative Medicine Innovation Project ที่จะสนับสนุนการวิจัยทางคลินิกร่วมกับองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) โดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากผู้ใหญ่เพื่อส่งเสริมด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู

– Brain Ressearch through Advancing Innovative Neurotechnologies (BRAIN) Initiative เพื่อศึกษาระบบการทำงาน จัดเก็บ และดึงข้อมูลออกมาใช้ของสมอง ซึ่งจะช่วยให้วินิจฉัยและรักษาความผิดปกติทางระบบประสาทและจิตใจ  

BRAIN Initiative

สมองของคนเราประกอบด้วยเซลล์ประสาทเกือบ 100 พันล้านเซลล์ ที่มีการเชื่อมโยงกัน 100 ล้านล้านเครือข่ายนั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์และความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้านการแพทย์ โรคที่เกิดจากความผิดปกติทางระบบประสาทและจิตเวช ส่งผลกระทบต่อบุคคล ครอบครัว และสังคม ดังนั้น การช่วยเหลือผู้ป่วย สิ่งสำคัญคือ นักวิจัยต้องมีเครื่องมือและข้อมูลที่สมบูรณ์ เพื่อทำความเข้าใจกลไกการทำงานของสมองและเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างไร

Brain Research Through Advancing Innovation Neurotechnologies Initiative (BRAIN Initiative) เป็นโครงการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสมองของมนุษย์ใช้เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ จะเป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างภาพไดนามิกของสมองที่แสดงให้เห็นว่าเซลล์แต่ละเซลล์มีปฏิสัมพันธ์ภายในวงจรประสาทที่ซับซ้อน แนวทางวิธีใหม่ในการรักษาโรค การป้องกันความผิดปกติของสมอง เข้าใจกระบวนการทำงานของสมอง ทั้งการบันทึกการประมวลผล ใช้ประโยชน์ และดึงข้อมูลจำนวนมหาศาลออกมาใช้

 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2022/ost-sci-review-feb2022.pdf

 

 

 

 

 

 

ประกาศคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เรื่อง นโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (พ.ศ. 2565 – 2570)

นโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2565-2570 ฉบับนี้ เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 มาตรา 9 (1) บัญญัติให้คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.)มีหน้าที่และอำนาจ เสนอนโยบายและแผนว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ส่งเสริม และสนับสนุนการดำเนินการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ตามมาตรา 42 และมาตรา 43 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบนโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์นี้ใช้เป็นแผนแม่บท ในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทย การพัฒนาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในภาพรวมที่ครอบคลุมในทุกมิติ และเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ มาตรา 9 (3) บัญญัติให้คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) มีหน้าที่และอำนาจ จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เสนอต่อคณะรัฐมนตรี สำหรับเป็นแผนแม่บทในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยซเบอร์ในสถนการณ์ปกติและในสถานการณ์ ที่อาจจะเกิดหรือเกิดภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยแผนดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนระดับชาติ และกรอบนโยบายและแผนแม่บทที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงของสภาความมั่นคงแห่งชาติ

 

Continue reading “ประกาศคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เรื่อง นโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (พ.ศ. 2565 – 2570)”

ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจบันทึกประวัติศาสตร์ อว.

ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจบันทึกประวัติศาสตร์ อว. ถอดบทเรียนกองหนุน อว. กองหนุนประเทศไทยในสถานการณ์โควิด-19

ที่มาของชื่อชุดหนังสือ เพราะเธอเป็นลมหายใจ บันทึกประวัติศาสตร์ อว. : ถอดบทเรียนกองหนุนอว. กองหนุนประเทศไทยในสถานการณ์โควิด-19 ทางกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ต้องการเน้นย้ำถึงคำว่า “เธอ” ในสองความหมายโดยความหมายแรกหมายถึงประชาชนคนไทยทั้งประเทศที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์โรคระบาด ทั้งที่เป็นผู้ป่วยโดยตรงและผู้ที่ได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคม

ขณะที่ “เธอ” ในความหมายที่สองหมายถึงบุคลากรในสังกัดกระทรวง อว. ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ นักศึกษาแพทย์และพยาบาลนักวิจัยคณาจารย์ รวมถึงข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเป็นเครือข่ายทั่วประเทศ ซึ่งได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ความรู้ และความเชี่ยวชาญตลอดกว่า 3ปีที่ผ่านมาในฐานะ ‘กองหนุนช่วยชาติ’ที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถเอาชนะวิกฤติใหญ่ครั้งนี้มาได้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคำว่า “เธอ” ในความหมายใดต่างมีความสำคัญและเปรียบเสมือน”ลมหายใจ” ที่ทำให้ภารกิจเร่งด่วนและสำคัญของกระทรวง อว. ครั้งนี้สำเร็จได้อย่างสวยงาม

ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจ ประกอบไปด้วยหนังสือ 11 เล่ม โดยแต่ละเล่มบอกเล่าถึงภารกิจของกระทรวง อว. ในช่วงวิกฤติโควิด-19 รวม 11 ภารกิจ ได้แก่

  1. โรงพยาบาลหลัก อว.ความหวังของผู้ป่วย
  2. โรงพยาบาลสนาม อว. กองหนุนขนาดยักษ์
  3. อว.กองกำลังสร้างภูมิคุ้มกัน โควิด
  4. U2T สร้างงาน สร้างรายได้
  5. พลิกโฉมการเรียนและสอนออนไลน์
  6. เยียวยานิสิตนักศึกษาผู้ประกอบการ
  7. งานวิจัยเร่งด่วนตรงเป้า
  8. หน่วยสนับสนุน อว. (อว.พารอด)
  9. ข้อมูลวิชาการถูกต้อง รวดเร็ว ฉับไว
  10. อุปกรณ์เวชภัณฑ์ นวัตกรรมพร้อมใช้
  11. ไอทีและเอไอเพื่อการบริหารจัดการ

เนื้อหาแต่ละเล่มแบ่งเป็น 5 บทได้แก่

บทที่ 1 รู้จัก อว. กล่าวถึงประวัติกระทรวงและภาพรวมของทั้ง 11 ภารกิจ
บทที่ 2 พวกเราชาวอว.ทำอะไรเพื่อคนไทยบ้างที่มา ขั้นตอน ผลการดำเนินงาน และเคล็ดลับความสำเร็จของแต่ละภารกิจ
บทที่ 3 จากใจชาว อว. บทสัมภาษณ์และความประทับใจของผู้อยู่เบื้องหลังการทำงานในแต่ละภารกิจ
บทที่ 4 บทเรียนจากเหตุการณ์ส่งผ่านสู่อนาคตถอดบทเรียนเชิงวิเคราะห์และข้อเสนอเพื่อการรับมือกับวิกฤติการณ์ในอนาคต และ
บทที่ 5 ก้าวไปกับพวกเรา ชาว อว.

รายชื่อของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้ง 11 ภารกิจ

ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจถือเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าและถอดบทเรียนการทำงานและความร่วมมือของชาว อว. เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนชาวไทยให้สามารถก้าวผ่านความโหดร้ายของโรคระบาดครั้งนี้ที่กินเวลานานกว่า 3 ปี และยกระดับขีดความสามารถทางด้านอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมของประเทศไทยไปพร้อม ๆ กันอีกทั้งยังมีความตั้งใจในการนำเสนอบทเรียนและข้อเสนอแนะในการทำงาน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจบันทึกประวัติศาสตร์ อว. ถอดบทเรียนกองหนุน อว. กองหนุนประเทศไทยในสถานการณ์โควิด-19

ISBN: 978-616-584-091-0

จัดทำโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว)
75/47 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2333 3700
เว็บไซต์ www.mhesigo.th

ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัล ประจำปี 2565 โดย IMD (2022 IMD World Digital Competitiveness Ranking)

ในปี 2565 IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของ 63 ประเทศทั่วโลก และได้เผยแพร่ไว้ที่ https://www.imd.org/centers/world-competitiveness-center/rankings/world-digital-competitiveness/ โดยมีผลการจัดอันดับดังนี้

ตารางผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของประเทศ 5 อันดับแรกและประเทศไทย ปี 2564-2565 โดย IMD

                        ประเทศ เดนมาร์ก สหรัฐอเมริกา สวีเดน สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ ไทย
                            ปี 2565 2564 2565 2564 2565 2564 2565 2564 2565 2564 2565 2564
อันดับรวม 1 4 2 1 3 3 4 5 5 6 40 38
1. ความรู้ 6 8 4 3 2 2 5 4 1 1 45 42
1.1 ความสามารถพิเศษ 5 5 14 13 6 7 3 2 2 3 37 39
1.2 การฝึกอบรมและการศึกษา 7 4 23 24 4 2 9 13 8 7 57 56
1.3 ความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ 17 17 1 2 2 4 11 11 8 8 36 36
2. เทคโนโลยี 7 9 9 4 5 8 1 3 12 11 20 22
2.1 โครงสร้างการควบคุม 6 4 12 12 2 3 1 5 8 9 34 29
2.2 เงินทุน 14 13 2 1 7 5 11 14 12 12 20 19
2.3 โครงสร้างเทคโนโลยี 6 6 13 9 9 13 2 2 11 11 18 22
3. ความพร้อมในอนาคต 1 2 3 1 4 6 10 11 7 3 49 44
3.1 ทัศนคติที่ปรับตัวได้ 5 4 4 1 7 5 17 11 12 10 52 53
3.2 ความคล่องตัวทางธุรกิจ 1 7 4 1 10 13 9 12 7 4 41 34
3.3 การรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ 1 1 10 3 4 5 8 7 6 4 50 43

เดนมาร์กได้อันดับ 1 เลื่อนขึ้น 3 อันดับจากปีที่แล้ว รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ถัดมาเป็นสวีเดน มีอันดับ 3 เหมือนปีที่แล้ว สิงคโปร์ได้อันดับ 4 ในปีนี้ ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 1 อันดับ อันดับ 5 คือ สวิตเซอร์แลนด์ มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับจากปีที่แล้ว ส่วนไทยได้อันดับ 40 ลดลงจากปีที่แล้ว 2 อันดับ

เดนมาร์กได้อันดับ 1 ในปีนี้ เลื่อนขึ้น 3 อันดับจากปีที่แล้ว เนื่องมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยความรู้ เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 6 ในปีนี้ 2. ปัจจัยเทคโนโลยี เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ 3. ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับ เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความรู้เกิดจากการยังคงรักษาอันดับ 5 และ 17 ไว้ได้ทั้งในปีนี้และปีที่แล้วของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษและปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ตามลำดับ และการเลื่อนอันดับลง 3 อันดับ จากอันดับ 4 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ ของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา ตัวชี้วัดที่ทำเกิดการรักษาอันดับไว้ได้ทั้งปีนี้และปีที่แล้วของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษ คือ ตัวชี้วัดการประเมินนักเรียนนานาชาติขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) วิชาคณิตศาสตร์ ที่ยังคงรักษาอันดับ 12 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว และตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ยังคงรักษาอันดับได้เหมือนปีแล้ว คือ ตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน และตัวชี้วัดนักวิจัยผู้หญิง ที่ยังรักษาอันดับ 2 และ 32 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว ตามลำดับ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษาเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของ 3 ตัวชี้วัด ได้แก่ ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา ตัวชี้วัดความสำเร็จของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และตัวชี้วัดผู้หญิงที่ได้รับปริญญา โดยเฉพาะตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา เลื่อนอันดับลง 3 อันดับ เป็นอันดับ 10 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 7 ส่วนปัจจัยเทคโนโลยี มีอันดับเลื่อนขึ้น เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม และปัจจัยย่อยเงินทุน 2 และ 1 อันดับ จากอันดับ 4 และ 13 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 6 และ 14 ในปีนี้ ตามลำดับ และการยังคงรักษาอันดับ 6 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ตัวชี้วัดหลักที่ทำให้ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม เลื่อนอันดับลง คือ ตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 17 อันดับ จากอันดับ 25 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 42 ในปีนี้ ทำให้ตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนลงมากที่สุด การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยเงินทุนเกิดจากการเลื่อนอันดับลงของตัวชี้วัดหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดทางสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ 4 อันดับ ในปีนี้มีอันดับ 54 ส่วนปีที่แล้วมีอันดับ 50 ทำให้ตัวชี้วัดหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดทางสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำสุดจากตัวชี้วัดทั้งหมดทั้งในปีนี้และปีที่แล้ว การยังคงรักษาอันดับไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงและขึ้นเล็กน้อยของตัวชี้วัดทั้งหมดซึ่งมี 6 ตัวชี้วัด โดยที่ตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดบรอดแบนด์ไร้สาย และตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต มีอันดับเลื่อนลงเล็กน้อย ในขณะที่ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ตัวชี้วัดความเร็วการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดการส่งออกสินค้าไฮเทค มีอันดับเลื่อนขึ้นเล็กน้อย ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับขึ้น เนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ 6 อันดับ จากอันดับ 7 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่สำคัญที่ทำให้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจมีอันดับเลื่อนขึ้น คือ ตัวชี้วัดโอกาสและอุปสรรค และตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 5 และถึง 7 อันดับ เป็นอันดับ 1 และ 6 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics เป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมากที่สุด

สหรัฐอเมริกา ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ได้อันดับ 2 ในปีนี้ เกิดจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยทั้งหมด ได้แก่ 1. ปัจจัยความรู้ เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 4 ในปีนี้ 2. ปัจจัยเทคโนโลยี เลื่อนอันดับลง 5 อันดับ เป็นอันดับ 9 ในปีนี้ 3. ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับลง 2 อันดับ เป็นอันดับ 3 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความรู้เกิดจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษ 1 อันดับ จากอันดับ 13 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 14 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 10 ในปีนี้ ของตัวชี้วัดทักษะทางด้านเทคโนโลยีหรือดิจิทัล ทำให้ปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษเลื่อนอันดับลง ปัจจัยเทคโนโลยี มีอันดับเลื่อนลง เนื่องจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีเป็นหลัก ที่เลื่อนอันดับลง 4 อันดับ จากอันดับ 9 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 13 การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของ 5 ตัวชี้วัดจากทั้งหมด 6 ตัวชี้วัด ได้แก่ ตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ตัวชี้วัดบรอดแบนด์ไร้สาย ตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดการส่งออกสินค้าไฮเทค โดยเฉพาะตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ และตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต มีอันดับเลื่อนลง 6, ถึง 15 และถึง 12 อันดับ เป็นอันดับ 21, 28 และ 35 ในปีนี้ ตามลำดับ ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับลง เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นหลัก ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 7 อันดับ จากอันดับ 3 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 10 ตัวชี้วัดที่มีผลให้ปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ มีอันดับเลื่อนลง คือ ตัวชี้วัดการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน และตัวชี้วัดความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 7 และ 5 อันดับ จากอันดับ 11 และ 22 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 18 และ 27 ในปีนี้ ตามลำดับ

สวีเดน มีอันดับ 3 เหมือนปีที่แล้ว เนื่องมาจากการยังคงรักษาอันดับ 2 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยความรู้ ส่วนปัจจัยที่เหลืออีก 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยเทคโนโลยี และปัจจัยความพร้อมในอนาคต มีอันดับเลื่อนขึ้น 3 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 5 และ 4 ในปีนี้ ตามลำดับ การยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยความรู้ เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษและปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ 1 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 6 และ 2 ในปีนี้ ตามลำดับ และการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา 2 อันดับ จากอันดับ 2 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 4 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษเลื่อนอันดับขึ้น ได้แก่ ตัวชี้วัดประสบการณ์ระหว่างประเทศ และตัวชี้วัดบุคลากรที่มีทักษะสูงเรื่องต่างประเทศ ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 2 อันดับเท่ากัน เป็นอันดับ 3 และ 17 ในปีนี้ ตามลำดับ การเลื่อนอันดับขึ้นของตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน ตัวชี้วัดนักวิจัยผู้หญิง ตัวชี้วัดผลิตผลทางการวิจัยและพัฒนาในรูปของสิ่งพิมพ์เผยแพร่ ตัวชี้วัดการจ้างงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และตัวชี้วัดการศึกษาวิจัยพัฒนาเกี่ยวกับหุ่นยนต์ โดยเฉพาะตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน มีอันดับเลื่อนขึ้น 4 อันดับ เป็นอันดับ 8 ในปีนี้ ทำให้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์มีอันดับเลื่อนขึ้น การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษาเกิดจากการเลื่อนอันดับลงของตัวชี้วัดการฝึกหัดพนักงาน 4 อันดับ จากอันดับ 3 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 7 ในปีนี้

สิงคโปร์ได้อันดับ 4 ในปีนี้ ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 1 อันดับ เป็นผลจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยเทคโนโลยีและปัจจัยความพร้อมในอนาคต 2 และ 1 อันดับ เป็นอันดับ 1 และ 10 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 3 และ 11 ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่เหลืออีก 1 ปัจจัย คือ ปัจจัยความรู้มีอันดับลดลง 1 อันดับ จากอันดับ 4 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 5 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ทำให้ปัจจัยเทคโนโลยีมีอันดับดีขึ้น คือ ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม และปัจจัยย่อยเงินทุน ที่มีอันดับดีขึ้น 4 และ 3 อันดับ จากอันดับ 5 และ 14 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 1 และ 11 ในปีนี้ ตามลำดับ ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุมเลื่อนอันดับขึ้นเนื่องจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นเป็นหลักของตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองถึง 18 อันดับ จากอันดับ 61 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 43 ในปีนี้ ทำให้ตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมากที่สุด ตัวชี้วัดหลักที่ทำให้ปัจจัยย่อยเงินทุนมีอันดับเลื่อนขึ้น คือ ตัวชี้วัดการร่วมลงทุน ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 4 อันดับ เป็นอันดับ 6 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความพร้อมในอนาคตเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ 3 อันดับ จากอันดับ 12 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 9 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจมีอันดับเลื่อนขึ้น คือ ตัวชี้วัดโอกาสและอุปสรรค ตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท ตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics และตัวชี้วัดการถ่ายทอดความรู้ โดยเฉพาะตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท และตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics มีอันดับเลื่อนขึ้น 3 อันดับเท่ากัน เป็นอันดับ 10 และ 11 ในปีนี้ ตามลำดับ

อันดับ 5 คือ สวิตเซอร์แลนด์ มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับจากปีที่แล้ว เนื่องจากการยังคงรักษาอันดับ 1 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยความรู้ และการเลื่อนอันดับลง 1 และ 4 อันดับ จากอันดับ 11 และ 3 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 12 และ 7 ในปีนี้ ของปัจจัยเทคโนโลยีและปัจจัยความพร้อมในอนาคต ตามลำดับ การยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยความรู้เป็นผลมาจากการยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ที่อันดับ 8 เหมือนปีที่แล้ว ตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ยังคงรักษาอันดับไว้ได้ คือ ตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน ที่ยังคงรักษาอันดับ 4 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว ปัจจัยเทคโนโลยีเลื่อนอันดับลงเนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม 1 อันดับ จากอันดับ 9 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 8 ในปีนี้ และการยังคงรักษาอันดับ 12 และ 11 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยย่อยเงินทุนและปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ตามลำดับ ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุมเลื่อนอันดับขึ้นเกิดจากการเลื่อนอันดับขึ้นเล็กน้อยของตัวชี้วัดการเริ่มต้นธุรกิจ ตัวชี้วัดการบังคับใช้สัญญา และตัวชี้วัดการพัฒนาและโปรแกรมใช้งานของเทคโนโลยี การยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยย่อยเงินทุนเกิดจากการยังคงรักษาอันดับไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของตัวชี้วัดการให้ทุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี ตัวชี้วัดการประเมินความน่าเชื่อถือของประเทศ และตัวชี้วัดการร่วมลงทุน ที่อันดับ 9, 1 และ 11 ตามลำดับ ปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยียังคงรักษาอันดับไว้ได้เหมือนปีที่แล้วเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นและลงของตัวชี้วัดทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 6 ตัวชี้วัด โดยที่ตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดความเร็วการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ต มีอันดับเลื่อนขึ้น 1, 2 และ 1 อันดับ เป็นอันดับ 7, 11 และ 2 ในปีนี้ ตามลำดับ ในขณะที่ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ตัวชี้วัดบรอดแบนด์ไร้สาย และตัวชี้วัดการส่งออกสินค้าไฮเทค มีอันดับเลื่อนลง 5, 4 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 11, 42 และ 33 ในปีนี้ ตามลำดับ ปัจจัยความพร้อมในอนาคตมีอันดับเลื่อนลงเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปจจัยย่อยทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 3 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ และปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีอันดับเลื่อนลง 2, 3 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 12, 7 และ 6 ในปีนี้ ตามลำดับ ตัวชี้วัดหลักที่ทำให้ปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้เลื่อนอันดับลง คือ ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน ที่เลื่อนอันดับลงถึง 22 จากอันดับ 4 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 26 ในปีนี้ ทำให้ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนลงมากที่สุด ตัวชี้วัดที่มีผลทำให้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจเลื่อนอันดับลง คือ ตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท ตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics และตัวชี้วัดความกลัวของผู้ประกอบการต่อความล้มเหลว โดยเฉพาะตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท มีอันดับเลื่อนลง 3 อันดับ เป็นอันดับ 9 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่สำคัญที่ทำให้ปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศมีอันดับเลื่อนลง คือ ตัวชี้วัดความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 8 อันดับ เป็นอันดับ 15 ในปีนี้

ปีนี้ไทยได้อันดับ 40 ลดลงจากปีที่แล้ว 2 อันดับ เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความรู้และปัจจัยความพร้อมในอนาคต 3 และ 5 อันดับ จากอันดับ 42 และ 44 ในที่แล้ว เป็นอันดับ 45 และ 49 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่เหลือ คือ ปัจจัยเทคโนโลยี มีอันดับเลื่อนขึ้น 2 อันดับ จากอันดับ 22 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 20 ดังนั้นไทยยังคงต้องพัฒนาด้านความรู้และด้านความพร้อมในอนาคต เนื่องจากยังคงมีอันดับค่อนไปในทางที่ไม่ดีในปีนี้และมีอันดับลดลงจากปีที่แล้ว และทั้งสองปัจจัยเป็นเหตุทำให้ไทยจัดอยู่ในอันดับ 40 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างมากซึ่งมีทั้งอันดับต่ำในปีนี้และปีที่แล้ว คือ 1. ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา อยู่ภายใต้ปัจจัยความรู้ ที่เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ จากอันดับ 56 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 57 ในปีนี้ ทำให้ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษามีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว 2. ปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ อยู่ภายใต้ปัจจัยความพร้อมในอนาคต มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับ จากอันดับ 53 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 52 ในปีนี้ ตัวชี้วัดหลักที่มีผลต่อปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา คือ ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา และตัวชี้วัดจำนวนเฉลี่ยของนักศึกษาต่ออาจารย์ในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย มีอันดับ 59 และ 56 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 50 และ 55 ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษาเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดในปีที่แล้ว ตัวชี้วัดที่สำคัญที่มีผลต่อปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ คือ ตัวชี้วัดการค้าปลีกทางอินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของแท็บเล็ต มีอันดับ 46 และ 58 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 50 และ 57 ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของแท็บเล็ตเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดในปีนี้ ถึงแม้ปัจจัยเทคโนโลยีมีอันดับจัดอยู่ในระดับปานกลางทั้งปีนี้และปีที่แล้ว แต่มีตัวชี้วัดภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม ปัจจัยย่อยเงินทุน และปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีที่ต้องพัฒนาอย่างมาก คือ ตัวชี้วัดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม ตัวชี้วัดการให้ทุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีและตัวชี้วัดการประเมินความน่าเชื่อถือของประเทศภายใต้ปัจจัยย่อยเงินทุน และตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ที่มีอันดับ 43, 40, 41 และ 44 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนตัวชี้วัดที่ได้รับการพัมนาขึ้นจากปีที่แล้วอย่างมาก ได้แก่ 1. ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 9 อันดับ จากอันดับ 59 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 50 ในปีนี้ ตัวชี้วัดนี้อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา ปัจจัยความรู้ 2. ตัวชี้วัดการให้ทุนสิทธิบัตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 11 อันดับ จากอันดับ 42 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 31 ในปีนี้ ตัวชี้วัดนี้อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ปัจจัยความรู้ ในขณะที่ตัวชี้วัดที่มีอันดับดีมากในปีนี้ คือ ตัวชี้วัดนักวิจัยผู้หญิงที่ยังคงครองอันดับดีที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว โดยได้อันดับ 6 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ปัจจัยความรู้ และตัวชี้วัดการลงทุนในโทรคมนาคม ที่มีอันดับ 7 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วมีอันดับ 10 อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยเงินทุน ปัจจัยเทคโนโลยี

สำหรับไทยยังคงต้องพัฒนาอีกหลายตัวชี้วัดดังได้กล่าวมาแล้ว เนื่องจากปีนี้มีอันดับ 40 ซึ่งเป็นอันดับค่อนไปในทางที่ไม่ดี โดยเฉพาะด้านการเป็นเจ้าของแท็บเล็ตและด้านความสามารถความปลอดภัยทางไซเบอร์ของรัฐบาล ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำสุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดในปีนี้ อยู่ที่อันดับที่ 57 ในปีนี้ เพื่อให้ในปีหน้าไทยจะมีอันดับดีขึ้นมาก

หน้าที่ของหมวกนิรภัย และการเลือกใช้หมวกนิรภัย

ทีมรณรงค์สวมหมวกนิรภัย นำความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ของหมวกนิรภัย และการเลือกใช้หมวกนิรภัยมาฝากค่ะ

เรามาร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัยตามสโลแกน “สวย หล่อ สมาร์ต ปลอดภัย ง่ายๆ แค่สวมหมวกนิรภัย” กันนะคะ

วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม 2565

วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW
ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม 2565

Metaverse คืออะไร?
Metaverse มาจากคำว่า Meta กับ Verse รวมกันความหมายว่าเป็น “จักรวาลที่อยู่เหนือจินตนาการ” หรือศัพท์บัญญัติคำไทยว่า “จักรวาลนฤมิต” Metaverse เป็นอะไรก็ได้ที่เกิดจากเทคโนโลยีและช่วยเชื่อมต่อผู้คนให้สามารถสื่อสารและทำกิจกรรมกันได้ อย่างไรก็ตาม Metaverse ยังเป็นแนวคิดในอุดมคติ ภาพรวมของ Metaverse ใกล้เคียงกับเครือข่ายอินเทอรเน็ต (World Wide web) กลายเป็นรูปแบบ 3 มิติ มีการไหลเวียนการส่งต่อธุรกิจ ข้อมูล และเครือมือการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง และสามารถใช้งานพร้อมกันเหมือนการจำลองโลกทางกายภาพให้โลกคู่ขนานรูปแบบดิจิทัล

Metaverse จะเกี่ยวข้องอะไรกับเทคโนโลยีบ้าง?
Metaverse ไม่ใช่เพียงโลกเสมือนจริง (Virtual Reality) ที่เปิดให้คนสื่อสารเพียงคนเดียวแต่ได้เชื่อมต่อผู้คนระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงไปสู่โลกดิจิทัล โดยอาศัยการใช้เทคโนโลยีหลายประเภท เพื่อทำกิจกรรมได้พร้อมกัน คำศัพท์ที่ปรากฏดังต่อไปนี้มีส่วนประกอบสร้าง  Metaverse ให้สมจริงและจับต้องได้มากขึ้น
Assisted Reality เทคโนโลยีผู้ช่วยอำนวยความสะดวกให้สามารถดูหน้าจอและโต้ตอบกับหน้าจอโดยไม่ต้องใช้มือ (hands-free) ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้คือ แว่นตาอัจฉริยะ ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายให้ผู้ใช้สื่อสารและสั่งการผ่านเสียงก็จะได้ข้อมูลขึ้นสู่สายตาทันที
Augmented Reality (AR) คือการนำโลกเสมือนเข้ามาผนวกกับโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งใช้ได้บนอุปกรณ์ทั่วไปเช่น มือถือ ไอแพด หรือแท็บเล็ต ผู้ใช้งานจะเห็นเป็นภาพสามมิติที่ลอยอยู่เหนือวัตถุหรือสภาพแวดล้อมในโลกจริง ในวงการธุรกิจเริ่มมีการใช้ AR เข้ามาผสานกับการขายสินค้าบ้าง ให้เห็นชัดๆ ว่าสินค้าที่เลือกดูเป็นอย่างไร แบบไม่ต้องไปเดินเลือกถึงหน้าร้าน เช่น IKEA แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ได้ทำแอปพลิเคชันเพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองนำรูปเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากเทคโนโลยี AR ไปทดลองวางในห้องตนเองได้
Meatspace คำที่ใช้เรียกโลกทางกายภาพหรือโลกที่เราใช้ชีวิตอยู่เป็นส่วนใหญ่
Multiverse หรือ จักรวาลโลกคู่ขนานใช้เรียกแพลตฟอร์ม หรือ Community ในโลกดิจิทัลที่ทำงานอิสระจากกันและกัน เช่น Facebook, Minecraft, Instagram, Roblox, Fortnite, Discord โดยตามทฤษฎีแล้ว Metaverse สามารถถึง Multiverse เหล่านี้มาทำงานอยู่ในที่เดียวได้
NFT หรือ Non-Fungible Tokens เสมือนเครื่องยืนยันว่าใครสามารถครอบครอง ซื้อ หรือ ขาย และสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ใดก็ตามที่ปรากฎอยู่ในโลกดิจิทัลเท่านั้น โดยมีเทคโนโลยีบล็อกเชนคอยกำกับความเป็นเจ้าของและป้องกันการขโมยตัวอย่าง NFT ได้แก่ ผลงานศิลปะ บัตรกีฬา ของสะสม โดย NFT สามารถซื้อขายได้โดยสกุลเงินดิจิทัล Cryptocurrency
Virtual Reality หรือ ประสบการณ์เสมือนจริง เป็นการใช้อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงผู้ใช้งานกับโลกดิจิทัล

Metaverse มีประโยชน์อย่างไร?
     Metaverse สามารถช่วยจำลองให้เราไปอยู่ในสถานที่ต่างๆ ได้ โดยอาศัยการเชื่อมต่อผ่านรูปแบบต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต, อุปกรณ์, สมาร์ทโฟน, แอปพลิเคชัน และซอฟต์แวร์ แม้ว้าช่วงแรก Metaverse นำมาใช้ในเกมออนไลน์ แต่ภายหลังเริ่มมีการเข้าไปลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีเพื่อสร้างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
นอกจากนี้ Metaverse 5G ยังพูดถึงอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยี 5G คือพื้นฐานสำคัญที่ช่วยเพิ่มความเร็วของอินเทอร์เน็ต และการถ่ายโอนข้อมูลความเร็วสูง กลายเป็นยุค “Internet of Things” นำไปสู่การพัฒนาและใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ เช่น

 A.ด้านแพทย์
1. เครือโรงพยาบาลสินแพทย์ผนึกกำลัง Meta Med และ Metaverse Thailand ปฏิรูปวงการแพทย์ โดยเปิดตัวศูนย์การแพทย์ทางเลือกใหม่แห่งแรกในประเทศไทย เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าบนโลกดิจิทัล ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Move life beyond” ให้คำปรึกษาทางการแพทย์, ห้องแล็บ (Lab), Imagine Center, ร้านขายยา สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ป่วยตอบโจทย์ความสะดวกสบายที่ให้บริการด้านการแพทย์ครบวงจร เช่น การติดตามผู้ป่วย การบริหารจัดการ ทรัพยากรของโรงพยาบาล การจัดส่งยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยในช่วงแรกจะเปิด Telemedicine Plus ให้คำปรึกษาผ่าน Metaverse ในอนาคตคนไข้จะสามารถเข้ารักษาในสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด รวดเร็ว มีประสิทธิภาพสูงสุด
2. เทคโนโลยีนี้ยังนำมาใช้รักษาสภาวะป่วยทางจิตใจหลังกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรงหรือ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) ของกลุ่มทหารที่ผ่านศึกสงครามมาบำบัด มีการศึกษาพบว่า วิธีบำบัดลักษณะนี้ช่วยบรรเทาอาการ PTSD ได้อย่างมีประสิทธิผล
B.ด้านวิศวกรรม
วิศวกร นักออกแบบ และสถาปนิกที่ต้องการทำงานร่วมกันได้ประโยชน์จาก metaverse เทคโนโลยี Augmented และ Virtual Reality มีประโยชน์การเปลี่ยนผ่านจากการทำงานในสำนักงานแบบเดิม วิศวกรใช้ VR และ AR เพื่อติดต่อลูกค้า แสดงแบบจำลองระยะไกล และไม่ต้องเดินทาง และมีค่ามากกว่าการโทรด้วย Zoom
C.ด้านอีคอมเมิร์ซ
ห้างสรรพสินค้าต้องปรับตัวตามสถานการณ์ เร่งพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อดึงดูดผู้บริโภค บนแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือ Virtual Mall
ในญี่ปุ่น ห้างสรรพสินค้าอิชิตันเปิดตัวในรูปแบบ “ห้างเสมือนจริง” จำลองจากห้างอิเซตันที่ชินจุกุ กรุงโตเกียว มีพนักงานให้บริการประจำร้านสามารถพิมพ์แชทคุยกับพนักงานได้ สิงคโปร์จัดทำโครงการ ‘IMM Virtual Mall’ ขึ้นบนระบบออนไลน์ของ Shopee เชื่อมกับร้านค้าในห้างสรรพสินค้า IMM ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายไม่ต้องออกไปเจอผู้คนในช่วงโควิด-19
ส่วนในไทย มีความร่วมมือกันของ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด, บริษัท ซิตี้มอลล์ กรุ๊ป จำกัด (ดิ เอ็มโพเรียม) บริษัท ทวีไดเร็ค จำกัด (มหาชน) พัฒนาภาคการค้าปลีกเกิดแพลตฟอร์ม V-Avenue by AIS 5G ซึ่งถือเป็น Virtual Mall แห่งแรกของไทย โดยเชื่อมต่อโดยตรงกับมาเก็ตเพลสออนไลน์ให้สัมผัสการช้อปปิ้งที่แตกต่าง 
D.ด้านการลงทุน
ปัจจุบันมีการทำธุรกรรมบนโลกเสมือนเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมใช้บริการแบบ non-face to face โดยผนวกแนวคิดการให้บริการทางการเงินบนโลกเสมือน (virtual financial services) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ขององค์กร เช่น บริษัท NH Investment & Securities ในเกาหลีจะเปิดตัว metaverse platform โดยมี virtual space เพื่อให้ลูกค้าใช้งานได้ทั้งร่วมสัมมนา หรือธุรกิจธนาคาร KB Kookmin Bank ได้สร้าง Virtual Financial Town เพื่อให้บริการผ่าน avatar และ VDO chat เสมือนไปธนาคารจริง
Metaverse กับสินทรัพย์ดิจิทัล
สินทรัพย์ดิจิทัล เป็นกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจใน metaverse ในโลกเสมือน งานศิลปะ ตัวละคร avatar หรือ item เกมต่างๆ ซึ่งมีเทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรม เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ นอกจากนี้ คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลยังเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการใน metaverse ด้วย
E.ด้านการท่องเที่ยว
“Metaverse Seoul” เมืองเสมือนจริงแห่งแรกของโลก รัฐบาลทุ่มทุนสร้างกว่าร้อยล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘วิสัยทัศน์โซล 2030’ (Seoul Vision 2030) ภายใต้แนวคิด “Future Emotional City” จุดประสงค์คือการสร้างระบบนิเวศเสมือนจริง ด้านเศรษฐกิจ การลงทุน วัฒนธรรม การบริการพลเมือง การท่องเที่ยว ที่แตกต่างคือ คนในเมืองสามารถเข้าถึงบริการจากภาครัฐได้ง่ายขึ้น แสดงข้อคิดเห็นต่อการทำงานของรัฐบาลได้โดยตรง นอกจากนี้ Metaverse Seoul เปิดมิติใหม่ทางด้านการท่องเที่ยวด้วยการบริการในรูปแบบ Virtual Tourist Zone ยกสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในกรุงโซล จัตุรัสควางฮวามุน (Gwanghwamun Square) พระราชวังถ็อกซูกุง (Deoksugung Palace) และแหล่งช็อปปิ้งใหญ่และเก่า ตลาดนัมแดมุน (Numdaemun Market) จะมีการเปิดตัวเป็นทางการในต้นปี 2566

โทษและผลกระทบของ Metaverse
อย่างไรก็ตาม ‘โลกเสมือน’ หรือ ‘Metaverse’ ไม่ได้มีแต่ข้อดี แต่ยังให้โทษและสร้างผลกระทบหลายๆ ด้านด้วยเช่น
1.อาชญากรรมไซเบอร์
อาชญากรรมไซเบอร์เป็นปัญหาร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับอินเทอร์เน็ตตั้งแต่มีมา แม้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ใช้เงินหลายล้านดอลลาร์ต่อสู้ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก metaverse เป็นแนวคิดใหม่ จึงยังไม่มีระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง ทำให้เสี่ยงต่อกิจกรรมผิดกฎหมายทุกประเภท เช่น การฉ้อโกง การฟอกเงิน การแสวงประโยชน์จากเด็ก สินค้าผิดกฎหมาย การค้าบริการ และการโจมตีทางไซเบอร์ ทั้งรัฐบาลยังไม่มีอำนาจมากพอที่จะต่อสู้และต่อต้านอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต
2. ปัญหาการเสพติด
การเสพติดโลกเสมือน เนื่องจากดำดิ่งสู่โลกเสมือนจริง โดยผู้ใช้เด็กและวัยรุ่นเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุด โดยบุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าสู่ metaverse จะก่อให้เกิดอันตรายต่อพัฒนาการ ยิ่งไปกว่านั้นการใช้ชีวิตจริงยากต่อการแยกความแตกต่างระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกเสมือน เป็นการท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างสมดุลให้วัยรุ่นและผู้ใหญ่ให้มีเวลาเพียงพอ ในขณะที่พยายามป้องกันพฤติกรรมเสพติด
3. ปัญหาสุขภาพจิต

การศึกษาทางจิตวิทยาระบุว่าการหมกมุ่นกับโลกดิจิทัลนี้และการแยกตัวออกจากโลกความเป็นจริงจะเพิ่มโอกาสการหย่าร้างจากความเป็นจริงอย่างถาวรและนำไปสู่อาการใกล้เคียงกับโรคจิตได้อาการซึมเศร้า เป็นความเสี่ยงสำหรับผู้เข้าร่วม metaverse และพบว่าดีกว่าชีวิตจริง ทำให้ความมั่นใจและความนับถือตนเองลดลงอาจทำให้ผู้ใช้เกิดภาวะซึมเศร้าขั้นรุนแรง

4. ปัญหาสุขภาพกาย

สำนักข่าว BBC รายงานว่า ‘นักพัฒนาซอฟต์แวร์และจักษุแพทย์มีความกังวลต่อการใช้แว่น VR ระยะยาว อาจทำให้เกิดอาการตาล้า (Eye Strain) และพบว่า มีอาการปวดตา ระคายเคือง ตาแห้ง ปวดศีรษะ เวียนหัว คลื่นไส้ บางรายมีอาการคล้ายโรคบกพร่องทางการอ่าน (Dyslexia)’ นอกจากนี้ การท่องโลกเสมือนร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว ติดแว่น VR และเก้าอี้เป็นเวลานาน นำไปสู่โรคอ้วน ออฟฟิศซินโดรม และส่งผลกระทบร่างกายอีกนับไม่ถ้วน

เปิดตัวอภิมหาโปรเจคระดับโลก Metaverse “Tranclucia”

          ดร.ชวัลวัฒน์ อริยวรารมย์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ทีแอนด์บี มีเดีย โกลบอล (ประเทศไทย) (T&B Media Global )  บริษัท Entertainment รายใหญ่ที่มีความรู้ ความชำนาญด้านการสร้างสรรค์ ล่าสุดได้นำบริษัทที่พัฒนาด้านเทคโนโลยีเข้าซื้อหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา (NASDAQ) ทุ่มสร้างอาณาจักรโลกเสมือน (Metaverse) “Translucia” ซึ่งเป็นโลกเสมือนสุดจินตนาการรายแรกของไทย โดย Metaverse Translucia จะเพิ่มมูลค่าให้กับสังคมและโลกธุรกิจ โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูง มาผสมผสานกับจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างประสบการณ์ในรูปแบบใหม่

อาชีพอนาคตไกลในยุค Metaverse

1.วิศวกรซอฟต์แวร์ AR/VR

          งานด้าน Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) กำลังมาแรง บริษัทต้องการวิศวกรซอฟต์แวร์ที่มีทักษะ AR/VR เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มการประมวลผล ซอฟต์แวร์ และแอปพลิเคชันต่างๆ

2.ผู้จัดการผลิตภัณฑ์

ตำแหน่งนี้เป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างลูกค้าและองค์กร คอยดูแลรักษาฐานลูกค้า เพราะสินค้าและบริการเป็นปัจจัยสำคัญของธุรกิจ จึงเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องวิเคราะห์แนวโน้ม ประเมินสถานการณ์ จับกระแสเทรนด์และความต้องการของผู้บริโภค ต้องรู้ว่าเทคโนโลยีไหนเหมาะที่จะมาใช้กับสินค้าและบริการขององค์กรมากที่สุด มีบริษัทที่เปิดรับเช่น Snap, Google และ Oculus

3.นักออกแบบเกม 3 มิติ

แพลตฟอร์มที่ใช้สร้างวิดีโอเกม ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการสร้างเกมกำลังมุ่งสู่ศิลปินมากขึ้นเมื่อเทียบกับจำนวนนักเทคโนโลยี โดยนักออกแบบเกมใน metaverse จะต้องรับผิดชอบในการออกแบบ สร้างต้นแบบ และสร้างประสบการณ์การเล่นเกม 3 มิติที่ดึงดูดผู้เล่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้การเล่นเกมถูกต้องตามกฎหมาย ปัจจุบัน เงินเดือนเฉลี่ยสำหรับนักออกแบบเกม 3 มิติในสหรัฐฯ คือ 78,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี

 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2022/ost-sci-review-jan2022.pdf

 

 

 

วารสารข่าวด้านการอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 4 เดือน เมษายน 2565

วารสารข่าวด้านการอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์จากกรุงบรัสเซลส์
ฉบับที่ 4 เดือน เมษายน 2565

โรงงานต้นแบบต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี่แบบอเนกประสงค์: ไบโอเบส เอเชีย ไพล็อท แพลนท์ (BBAPP)
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565 บริษัท ไบโอเบส ยุโรป ไพล็อท แพลนท์ (BBEPP) ประเทศเบลเยียมและ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประเทศไทย ได้ประกาศเปิดตัวบริษัท ไบโอเบส เอเชีย ไพล็อท แพลนท์ (BBAPP) ซึ่งเป็นโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี่แบบอเนกประสงค์ (multipurpose biorefinery pilot plant) สร้างขึ้นในพื้นที่ “ไบโอโพลิส (Biopolis)” เมืองนวัตกรรมชีวภาพที่รองรับการทำวิจัยขยายผลซึ่งเป็นแพลทฟอร์มนวัตกรรมตั้งอยู่ที่นวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ประเทศไทย

โดยที่ผ่านมา สำนักงานที่ปรึกษาด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้ประสานและเข้าร่วมประชุมระหว่างศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หน่วยงานภายใต้ สวทช. และบริษัท BBEPP ประเทศเบลเยียม ซึ่งมีประสบการณ์ในการให้บริการโรงงานต้นแบบประเภท Multi-purpose เพื่อแสดงเจตจำนงการร่วมกันจัดตั้งโรงงานต้นแบบไบโอเบสเอเชีย (Bio Base Asia Pilot Plant) ที่จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านโรงงาน

   ข้อมูลภูมิหลัง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 ให้มีการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) : โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป และให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) พิจารณากำหนดและดำเนินแผนงาน/โครงการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG 2564-2570 โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

โดยการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางไบโอรีไฟเนอรีแห่งอาเซียนภายในปี 2570 เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ BCG Model สาขาพลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) เป็นการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรและชีวมวลด้วยกระบวนการทางกายภาพ เคมี และ/หรือชีวภาพ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพ (Bio-based products) เช่น วัสดุชีวภาพ เคมีชีวภาพ พลาสติกชีวภาพ ส่วนประกอบเชิงหน้าที่ในผลิตภัณฑ์อาหาร และผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากจุลินทรีย์ที่ให้คุณสมบัติพิเศษ (synthetic biology) สำหรับนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม ผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร เป้าหมายโดยมีการเชื่อมโยงโครงการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการสนับสนุนการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาในภาคเอกชน หลักสำคัญของอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี คือการให้ความสำคัญกับระบบการผลิตที่ยั่งยืนซึ่งเกิดจากการนำวัตถุดิบที่เป็นทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ (renewable resources) ใช้กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติ และปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาน้อยกว่าการผลิตจากปิโตรเลียม อุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรีเป็นอุตสาหกรรมที่จะลดช่องว่างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจระยะยาว 

ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืนในประเทศไทยภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG รัฐบาลไทยได้อนุมัติการลงทุนเพื่อที่จะจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) ณ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation: EECi) ตั้งอยู่ที่ตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง ทั้งนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (MHESI) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยสำคัญของประเทศ ได้รับมอบหมายให้ร่วมกันกำกับดูแลการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรีแบบอเนกประสงค์ (multipurpose biorefinery infrastructure) โครงสร้างแห่งนี้ประกอบไปด้วยโรงงานต้นแบบ GMP (Good Manufacturing Practice) และ Non-GMP ถือเป็นแห่งแรกในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการวิจัยและพัฒนาในระดับขยายขนาดกระบวนการหรือผลิตภัณฑ์ชีวภาพจากระดับห้องปฏิบัติการสู่ระดับนำร่องสู่เชิงพาณิชย์ ซึ่งส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของเทคโนโลยีฐานชีวภาพ แต่ยังมีการคาดหวังไว้ว่าอุตสาหกรรมฐานชีวภาพที่มีมูลค่าสูงจะช่วยผลักดันการเจริญเติบโตเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน

   ความร่วมมือระหว่างบริษัท BBEPP ประเทศเบลเยียมและ สวทช.
จากการประสานงานของสำนักงานที่ปรึกษาประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ผู้บริหารของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือ ไบโอเทค ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ สวทช. ได้เข้าเยี่ยมชมและเรียนรู้การทำงาน รวมถึงได้พูดคุยกับผู้บริหารของบริษัท BBEPP ประเทศเบลเยียม จำนวนหลายครั้ง ต่อมาสำนักงานฯ ได้ประสานลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding on Collaboration for Establishing the Bio Base Asia Pilot Plant in Thailand) ระหว่าง 2 หน่วยงาน ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 ร่วมกัน ภายใต้ข้อตกลงนำไปสู่ร่วมกันจัดตั้งบริษัทร่วมทุนที่ไม่แสวงหาผลกำไร (not-for-profit) ภายใต้ชื่อ บริษัท ไบโอเบส เอเชีย ไพล็อท แพลนท์ (Bio Base Asia Pilot Plant-BBAPP) ระหว่าง สวทช. และ BBEPP ในรูปแบบการร่วมทุน (joint venture) ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนทั้งในส่วนเงินและเทคโนโลยีเพื่อจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งและความเชี่ยวชาญ ข้อได้เปรียบของ BBAPP เกิดจากการรวมพันธมิตรแต่และฝ่ายทั้งเงินทุน องค์ความรู้ และความพร้อมด้านบุคลากร ช่วยให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีระดับโลก ทำให้ BBAPP เป็นผู้นำในธุรกิจประเภทเดียวกันในภูมิภาคอาเซียน

   ทำความรู้จักกับบริษัท BBEPP
บริษัท Bio Base Europe Pilot Plant (BBEPP) ประเทศเบลเยี่ยม เป็นบริษัทที่ให้บริการการพัฒนาเทคโนโลยีไบโอไฟเนอรี มามากกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการบริหารจัดการ

บริษัท BBEPP ให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เช่น พลาสติกชีวภาพ ชีววัสดุ และพลังงานชีวภาพ เป็นต้น และถ่ายโอนผลลัพธ์ไปสู่ระดับอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง อาหารเสริม ฯลฯ
BEPP ให้บริการในรูปแบบ Open Innovation projects ใน 2 รูปแบบ ได้แก่
1. Bilateral Collaboration เป็นการทำสัญญาระหว่าง BBEPP กับภาคเอกชน แหล่งทุนมาจากภาคเอกชน และทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดขึ้นเป็นของเอกชน ตอบโจทย์ความต้องการเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม
2. Consortia-based Collaboration แหล่งทุนมาจากการระดมทุนของกลุ่ม Consortium โดยที่ BBEPP สนับสนุนบางส่วน องค์ความรู้ที่ได้เป็นรูปแบบ Open Innovation ตอบโจทย์ Inclusive Growth ยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตของกลุ่ม Consortium ให้สูงขึ้น

   โรงงานต้นแบบไบโอเบสเอเชีย (Bio Base Asia Pilot Plant, BBAPP)
โรงงานต้นแบบไบโอเบสเอเชีย (Bio Base Asia Pilot Plant, BBAPP) เป็นโรงงานต้นแบบแห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน วัตถุประสงค์เพื่อรองรับการวิจัยและพัฒนาจากภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนในและต่างประเทศ ระดับขยายขนาดกระบวนการหรือผลิตภัณฑ์ชีวภาพจากห้องปฏิบัติการสู่ระดับนำร่อง ต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์

บริษัท BBAPP ประกอบด้วยโรงงานต้นแบบในแบบ GMP (Good Manufacturing Practice) และ Non-GMP เป็นแห่งแรกในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน จะสนับสนุนอุตสาหกรรมชีวเคมี วัสดุชีวภาพ และผลิตภัณฑ์ชีวภาพอื่นๆ โรงงานต้นแบบ GMP จะสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหาร อาหารสัตว์ เครื่องสำอาง และโภชนเภสัชภัณฑ์ (nutraceuticals)
ซึ่งโรงงานต้นแบบนี้จะให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การให้คำปรึกษาในเรื่องของการพัฒนากระบวนการ การบริการขยายขนาดการผลิต และการผลิตตามความต้องการของลูกค้า (custom manufacturing) ทั้งนี้ คาดว่ากลุ่มลูกค้าจะมีทั้งสถาบันวิจัยของรัฐและเอกชนในประเทศและต่างประเทศ โดย สวทช. จะช่วยสนับสนุนฐานลูกค้าและเครือข่ายภายในประเทศและภูมิภาคอาเซียน ขณะนี้บริษัท BBAPP อยู่ในระหว่างก่อสร้างและจะเปิดดำเนินการในปี 2567

ภาพรวมสถานะและความก้าวหน้าของประเทศออสเตรีย ในด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม

   ผลลัพธ์และศักยภาพด้านนวัตกรรมของออสเตรีย
ในทุกๆ ปี คณะกรรมาธิการยุโรปจะจัดทำ Innovation Scoreboard เพื่อเป็นตัวชี้วัดถึงผลลัพธ์และศักยภาพด้านนวัตกรรม (Innovation Performance) ได้มาจากการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบของประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป โดยประเมินถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของระบบนวัตกรรมในแต่ละประเทศพร้อมระบุประเด็นที่แต่ละประเทศควรให้ความสนใจและพัฒนา สำหรับรายงานผลลัพธ์และศักยภาพด้านนวัตกรรมประจำปี ค.ศ. 2021 (European Innovation Scoreboard 2021) ในภาพรวมสหภาพยุโรปได้กำลังพัฒนาสู่การเป็นผู้นำทางนวัตกรรมของโลก แต่การพัฒนายังประสบปัญหาการลงทุนจากภาคธุรกิจที่ต่ำ และกฎระเบียบข้อบังคับส่งผลกระทบต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในการจัดลำดับประเทศนวัตกรรมในยุโรป ปี 2021 ประเทศออสเตรีย ถูกจัดให้อยู่อันดับที่ 8 โดยถือเป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมระดับสูง (Strong innovators)

   หน่วยงานภาครัฐด้าน อววน.
ประเทศออสเตรีย หรือสาธารณรัฐออสเตรีย (Republic of Austria) แบ่งออกเป็น 9 รัฐ โดยรัฐบาลกลางของออสเตรียมีกระทรวง 13 กระทรวง ซึ่งพบว่ามี 3 กระทรวงมีหน้าที่และกิจกรรมด้าน อววน. คือ

1. กระทรวงการกสิกรรม ป่าไม้ สิ่งแวดล้อม และการจัดการน้ำ (Federal Ministry of Agriculture, Forestry, Environment and Water Management)
2. กระทรวงวิทยาศาสตร์ การวิจัย และเศรษฐกิจ (Federal Ministry of Science, Research and Economy) และ
3. กระทรวงคมนาคม นวัตกรรม และเทคโนโลยี (Federal Ministry of Transport, Innovation and Technology)

1.กระทรวงการกสิกรรม ป่าไม้ สิ่งแวดล้อม และการจัดการน้ำ (Federal Ministry of Agriculture, Forestry, Environment and water Management, BMLFUW)

กระทรวง BMLFUW หน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการกสิกรรม ป่าไม้และสิ่งแวดล้อม เป้าหมายทำให้ออสเตรียมีความน่าอยู่ มีอากาศสะอาด น้ำที่บริสุทธิ์ สภาพสิ่งแวดล้อมปลอดภัย อาหารมีคุณภาพสูงราคาย่อมเยา

โครงการที่น่าสนใจของ BMLFUW ได้แก่

1.โครงการ Green Care เป็นโครงการร่วมกับหอการค้ากสิกรรมของออสเตรีย จุดประสงค์ในการให้ความดูแลด้านสังคมให้กับประชาชนที่อยู่ในภาคเกษตรกรรมและกสิกรรมในเขตชนบท เช่น การให้ความรู้และฝึกสอนแรงงานในภาคกสิกรรม ให้ความรู้ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการช่วยเหลือแรงงานกสิกรรมผู้สูงอายุ
2. โครงการ Initiative Agriculture 2020 เป็นการวางยุทธศาสตร์ในด้านเกษตรกรรมและป่าไม้ ในด้านการพัฒนาเกษตรกรรม การพัฒนาชนบท การวางแผนธุรกิจและการศึกษา การควบคุมสินค้า ลดขั้นตอนและใช้พลังงานทดแทน
3. โครงการ Export Initiative ดูแลด้านการตลาดของผลิตภัณฑ์เกษตรในออสเตรีย เพื่อส่งเสริมการส่งออกผลิตภัณฑ์เกษตร อาหาร และเครื่องดื่มของออสเตรียไปสู่ตลาดในประเทศยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก
หน้าที่ที่สำคัญอีกหน้าที่คือการป้องการอุทกภัย ช่วงที่ผ่านมาประสบปัญหาน้ำท่วมรุนแรงหลายครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายรุนแรงอีก รัฐบาลจึงระดมความคิดจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อสรุปข้อแนะนำในการจัดการความเสี่ยงด้านน้ำท่วมอย่างบูรณาการ เช่น การจัดการแก้มลิง การจัดการอุทกภัย และประชาสัมพันธ์ในเขตพื้นที่เสี่ยง

2. กระทรวงวิทยาศาสตร์ การวิจัย และเศรษฐกิจ (Federal Ministry of Science, Research and Economy) หรือ BMWFW

กระทรวง BMWFW ทำหน้าที่วางโครงสร้างธุรกิจต่างๆ และส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในระดับนานาชาติสำหรับการทำธุรกิจ โดยผ่านการดำเนินการด้านการวิจัย การสร้างเทคโนโลยี และนวัตกรรม กระทรวงมีพันธกิจหลักในด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษา ระดับอุดมศึกษา การวิจัย การวางนโยบายเศรษฐกิจและการพัฒนานวัตกรรมนโยบาย การค้าระหว่างประเทศ สนับสนุนกิจการสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และด้านพลังงานเหมืองแร่

– ด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษาระดับอุดมศึกษา : BMWFW ทำหน้าที่ดูแลมหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัย และช่วยหาทุนและเงินการวิจัยและส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของสถาบัน
– การวิจัย : กระทรวงสนับสนุงานด้านวิจัย ความร่วมมือในระดับนานาชาติ ทั้งระหว่างประเทศ เพื่อช่วยให้พัฒนาความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ อย่างยั่งยืน
– การวางนโยบายเศรษฐกิจและการพัฒนานวัตกรรม : เป้าหมายคือการสร้างความเข้มแข็ง ความน่าลงทุนทางธุรกิจ ผ่านการลงทุนด้านการวิจัย การพัฒนา และนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัยของประเทศ
– นโยบายการค้าระหว่างประเทศ : ปัจจุบันออสเตรียเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกของโลก ภารกิจด้านการค้าระหว่างประเทศมุ่งสร้างความเข้มแข็งในด้านการส่งออก ให้มีความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เพิ่มความสามารถในการเข้าถึงตลาดใหม่ๆ โดยร่วมดำเนินการกับหอการค้าออสเตรีย (WKO)
– สนับสนุนกิจการและบริษัทต่างๆ : เพื่อมุ่งผลักดันโครงสร้างทางการค้าและเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อการลงทุน ส่งเสริมการลงทุน และยังออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้งาน หรือ apprenticeships ช่วยส่งเสริมเยาวชนในการฝึกฝนเรียนรู้งานเพื่ออนาคตด้วย
– การท่องเที่ยว : ออสเตรียได้รับการประเมินในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวเป็นอันดับที่สองในสหภาพยุโรป นโยบายท่องเที่ยวเน้นไปที่ เทือกเขาแอลป์ แม่น้ำดานูป และเมืองวัฒนธรรมต่างๆ รวมพิพิธภัณฑ์และสวนสัตว์
– ด้านพลังงานและเหมืองแร่ : นโยบายด้านพลังงานโดยผลักดันให้มีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น

3. กระทรวงคมนาคม นวัตกรรม และเทคโนโลยี (Federal Ministry of Transport, Innovation and Technology) หรือ BMVIT

ภารกิจคือการสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สามด้านหลักคือ ด้านคมนาคม ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี และด้านโทรคมนาคม
– ด้านคมนาคม : กระทรวงดูแลการคมนาคม เช่น ทางอากาศ เคเบิลคาร์ ทางถนน ทางราง ระบบขนส่งมวลชน การเดินเท้า ทางจักรยาน และทางคูคลองต่างๆ
– ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี : นโยบายนวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น การบิน ทรัพยากรมนุษย์ คมนาคม การกำหนดนโยบาย การพัฒนาที่ยั่งยืน เทคโนโลยีอวกาศ
– ด้านโทรคมนาคม : นโยบายด้านโทรคมนาคมในออสเตรียและความเชื่อมโยงระหว่างประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป มีความสำคัญมาก เพราะอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2022/20220915-newsletter-brussels-no04-apr65.pdf