หน้าแรก สวทช. ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจกับหน่วยงานภาครัฐ-สถาบันการศึกษา ผนึกกำลังนำ วทน. ส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการ/บุคลากรสายวิชาการ
สวทช. ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจกับหน่วยงานภาครัฐ-สถาบันการศึกษา ผนึกกำลังนำ วทน. ส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการ/บุคลากรสายวิชาการ
16 ก.ย. 2565
0
ข่าวประชาสัมพันธ์

(16 กันยายน 2565) ณ  ห้องแถลงข่าวชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) : ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานกรรมการบริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ ร่วมแสดงความยินดี ในโอกาสที่หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ  (วช.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ วิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อประสานงานความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาครบทุกขั้นตอน โดยการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรร่วมกัน ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) รวมถึงการพัฒนาบุคลากรสายวิชาการของทั้ง 18 หน่วยงาน เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศ โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวแสดงเจตนารมณ์ในการลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการด้วย วทน. รวมทั้งพัฒนาบุคลากรสายวิชาการ

ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และคณะผู้บริหารหน่วยงานทั้ง 17 หน่วยงาน เข้าร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจฯ

ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า กระทรวงการ อว. มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ผนวกรวมกับศิลปศาสตร์ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ปัจจุบันรัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า บีซีจีโมเดล หรือ BCG Economy Model ซึ่งต้องอาศัยกลไกวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง อีกทั้งบีซีจีโมเดล ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดด กระจายโอกาส กระจายรายได้ และนำความมั่งคั่งไปสู่ชุมชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง นำพาประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศรายได้สูง และมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน กระทรวง อว. ถือเป็นกระทรวงแห่งปัญญา กระทรวงแห่งโอกาส เนื่องจากเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่เพียบพร้อมด้วยหน่วยงานด้านวิจัยพัฒนา สถาบันการศึกษา ซึ่งล้วนประกอบด้วย บุคลากรที่มีองค์ความรู้และทักษะที่เข้มแข็งอยู่ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค

“ที่ผ่านมาผมได้มอบนโยบายสำคัญประการหนึ่ง คือ การเร่งผลักดันและระดมสรรพกำลังจากทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาค ทำหน้าที่เป็น “อว. ส่วนหน้า” ในการประสานความร่วมมือ ทำงานในพื้นที่ร่วมกับทุกจังหวัด นำ “บีซีจี โมเดล” มาขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่เชิงพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งผลงานสำคัญที่เห็นเด่นชัดอย่างเป็นรูปธรรม คือ โครงการ U2T  มหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชน โดยมีมหาวิทยาลัยเป็นผู้ดำเนินการ  ซึ่งความร่วมมือของทุกหน่วยงานในวันนี้จะเป็นการสานต่อผลสำเร็จจากโครงการ U2T เพื่อให้เกิดการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไปใช้ในชุมชน  ช่วยสร้างอาชีพให้กับประชาชน ช่วยเหลือชุมชนต่างๆ ให้มีการเติบโตและรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างยั่งยืน” ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ กล่าว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวต่อว่า เป้าหมายสำคัญอีกประการหนึ่งของ กระทรวง อว. คือ สนับสนุนการปฏิรูปการศึกษาในระดับอาชีวะ โดยใช้ทรัพยากรจากมหาวิทยาลัย ทั้งทรัพยากรบุคคล หรือองค์ความรู้ร่วมกัน เพื่อพัฒนาให้อาชีวะศึกษาเป็นแนวทางสำคัญในการกำหนดแนวทางการทำงานวิจัยเพื่อประโยชน์ของประชาชน นอกจากนี้ กระทรวง อว. พร้อมที่จะส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต อาทิ การทำงานพร้อมกับการเรียน และได้รับวุฒิการศึกษาระดับปริญญา โดยมีการเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัย ตลอดจนการส่งเสริมความรู้ด้วยแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและยุทธศาสตร์บีซีจี เพื่อร่วมสนองแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด การเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ด้านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ให้กับประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

“ในนามของกระทรวง อว. ผมขอร่วมแสดงความยินดีกับทุกๆหน่วยงานในวันนี้ ที่ได้มีการร่วมประสานพลังเพื่อทำงานภายใต้บันทึกความเข้าใจและความร่วมมือที่เน้นการบูรณาการทำงานร่วมกัน ในการที่จะผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมุ่งไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดความมั่นคงยั่งยืนในระยะยาว เชื่อมั่นว่าความร่วมมือกันในครั้งนี้ จะเป็นการนำศักยภาพของบุคลากรและองค์ความรู้ตลอดจนทักษะความเชี่ยวชาญต่างๆ ขององค์กรวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ผนวกเข้ากับการสนับสนุนจากหน่วยงานสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้อง อันจะทำให้เกิดความแข็งแกร่ง และสามารถผลักดันให้เกิดการพัฒนาและการขับเคลื่อนประเทศไทย อีกทั้งตอบสนองความต้องการของประชาชนทั้งในประเทศ ตลอดจนยังเป็นการพัฒนาศักยภาพบุคลากรของทุกฝ่าย เพื่อประโยชน์ในการพัฒนางานใหม่ๆ ในอนาคต หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวในครั้งนี้ จะประสบความสำเร็จด้วยดี และขอขอบคุณ ท่านผู้บริหาร ท่านอาจารย์ นักวิจัย และผู้สนับสนุนทุกภาคส่วนที่ร่วมมือร่วมใจผนึกกำลังในการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ขับเคลื่อนให้ประสบผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน” ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ กล่าวในช่วงท้าย

ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวแสดงเจตนารมณ์ในการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าเป็นการผนึกกำลังที่จะผลักดันให้เกิดการพัฒนา เพื่อประสานงานความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี งานบริการต่างๆ ของทั้ง 18 หน่วยงาน ได้แก่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ วิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการให้มีการประสานความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด สนับสนุนการหาแนวทางการใช้ทรัพยากรของหน่วยงานร่วมกัน เช่น เครื่องมือ อุปกรณ์ การแลกเปลี่ยนข้อมูล ขยายผลและต่อยอดผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ลดต้นทุนที่ซ้ำซ้อนของหน่วยงานด้วยวิธีบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมมือส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ร่วมพัฒนาบุคลากรของทั้ง 18 หน่วยงาน รวมถึงการสร้างศักยภาพบุคลากรบัณฑิตของประเทศ โดยการแลกเปลี่ยนหรือถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิชาการอย่างยั่งยืน

 

16 ก.ย. 2565
0
แชร์หน้านี้: