หน้าแรก คลังความรู้ คลังความรู้ การจัดการความรู้ (KM) NASA IBM Lucent-Bell Labs มีวิธีการบริหารจัดการนักวิจัยกันอย่างไร
NASA IBM Lucent-Bell Labs มีวิธีการบริหารจัดการนักวิจัยกันอย่างไร
4 ต.ค. 2553
0
การจัดการความรู้ (KM)

สำหรับองค์กรที่ดำเนินงานด้าน R & D เพื่อสร้างสรรค์ผลงานและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อช่วงชิงพื้นที่ทางการตลาด หรือมีตัวชี้วัดที่ต้องส่งมอบ เพื่อตอบโจทย์ ฯ แต่จะทำอย่างไรให้ทีมงานที่มีนั้นมีประสิทธภาพยิ่งขึ่น เพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มค่า เรียนรู้วิธีบริหารจัดการนักวิจัยจาก 3 องค์กรยักษ์ใหญ่อย่าง NASA IBM และ Lucent-Bell Labs

ในกิจกรรม NSTDA Knowledge Sharing เวทีของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันของชาว สวทช. ครั้งที่ 30 จัดขึ้นภายใต้หัวข้อเรื่อง “NASA IBM Lucent-Bell Labs มีวิธีการบริหารจัดการนักวิจัยกันอย่างไร”ซึ่งเนื้อหาโดยรวมของงานครั้งนี้ คือ การนำแนวคิด กระบวนการ และวิธีบริหารจัดการนักวิจัยอย่างมืออาชีพ โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรคนไทย 3 ท่าน ที่เคยร่วมงานใน 3 องค์กรดังกล่าวมานานกว่า 10 ปี คือ

  1. ศ.ดร.ปราโมทย์ เดชะอำไพ รักษาการรองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
  2. รศ.ดร.โชคชัย เลี้ยงสุขสันต์
  3. ดร.นพวรรณ ตันพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งนอกจากให้เกียรติเป็นวิทยากรแล้วยังรับหน้าที่ผู้ดำเนินรายการด้วย

เริ่มที่ NASA (National Aeronautics and Space Administration) NASA มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประกอบด้วย ศูนย์วิจัยใหญ่ 3 ศูนย์ และศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะด้าน ซึ่ง Langley Research Center คือ ศูนย์ปฏิบัติการหนึ่ง ซึ่ง ศ.ดร.ปราโมทย์ เดชะอำไพ เคยเป็นหนึ่งในทีมงาน โดยขณะนั้นมีทีมงานมากกว่า 3,000 คน ซึ่งอัตราส่วนระหว่างฝ่ายวิจัยและฝ่ายสนับสนุน คือ 5:1

ศ.ดร.ปราโมทย์ เล่าถึงระบบการดูแลนักวิจัยของ NASA ที่เริ่มต้นตั้งแต่การรับเข้าทำงาน วิธีการหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การเป็น co-op คือ ช่วงพักภาคฤดูร้อน นักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.ตรี จะสมัครเข้าทำงานที่ NASA นอกจากค่าตอบแทนที่จะได้รับ ขณะที่ทำงานจะมีนักวิจัยพี่เลี้ยงช่วยฝึกสอนงาน วิธีการนี้ช่วยเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้ระบบงานของ NASA ก่อนตัดสินใจสมัครเข้าทำงาน เช่นเดียวกัน NASA เองก็ได้เห็นแววนักศึกษาที่น่าจะดึงเข้าร่วมทีมต่อไป นอกจากนี้ NASA ยังมีการวางระบบบุคลากรที่รอบคอบ และรัดกุม ด้วยการแบ่งพนักงาน เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

  1. กลุ่มข้าราชการ ซึ่งต้องเป็น U.S. citizen เท่านั้น
  2. Contractor คือ พนักงานบริษัทที่รับงานจาก NASA (outsource)
  3. Grantes อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ได้รับทุนวิจัยจาก NASA

หลังเข้ารับงาน นักวิจัยใหม่ทุกคนจะได้รับเวลาในการปรับตัวประมาณ 3 เดือน เพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ รวมถึงการสอนให้คิดอย่างเป็นระบบ การทำวิจัย การทำ Technical paper รวมถึงทักษะการนำเสนอผลงานที่ลงรายละเอียดทุกบรรทัด ทุกนาที โดยมีหัวหน้าและผู้บริหารประกบ (ศ.ดร.ปราโมทย์ แซวว่าต่างจากเมืองไทยเราที่หัวหน้าและผู้บริหารส่วนใหญ่จะหมดเวลาไปกับการประชุม กิจกรรมแบบนี้จึงไม่ค่อยเกิดขึ้น) ส่วนหัวข้อในการทำวิจัยนั้นจะมาจากปัญหาที่ระดับสูงส่งลงมาถึง ซึ่งเน้นเพื่อการใช้งานจริงและเกิดองค์ความรู้ใหม่ เช่น โครงการ Natioal Aerospace Plane ขณะที่การประเมินผลงานจะถูกประเมินด้วย Technical report Technical paper และสิทธิบัตร ซึ่งนักวิจัยจะไม่ถูกแรงกดดันเรื่องหารายได้

อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้นักวิจัยของ NASA สร้างสรรค์ผลงาน คือ การให้รางวัลจูงใจ ที่มีเกณฑ์การประเมินชัดเจน โปร่งใส นอกจากรางวัลตอบแทนที่เป็นตัวเลข ยังมีรางวัลแห่งความภาคภูมิใจที่ได้รับจากผู้บริหารระดับสูง ศ.ดร.ปราโมทย์ ย้ำว่าการทำงานใน NASA โดยเฉพาะในฐานะคนไทย จะต้องทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากโชคและความรู้ สิ่งสำคัญ คือ ความมานะ

ต่อกันด้วยหน่วยงานที่ 2 คือ Lucent-Bell Labs เจ้าของธุรกิจเทคโนโลยีโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมถึงการเป็นบริษัทแรกที่คิดค้นประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์เครื่องแรกของโลก ซึ่งมีพนักงานมากถึง 3 แสนคน โดยผลิตภัณฑ์ 1 จะมีทีมงานร่วมพัฒนาถึง 800 คน

รศ.ดร.โชคชัย เลี้ยงสุขสันต์ ได้ย้อนวันวานและเล่าให้ฟังถึงเมื่อครั้งที่เป็นหนึ่งในทีมพัฒนาของบริษัท Lucent-Bell Labs ว่า เริ่มต้นเข้าทำงานจากการร่วมทำวิจัยกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ และได้รับการแนะนำจากรุ่นพี่สมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา เพื่อเข้าทำงานในที่ดังกล่าว รศ.ดร.โชคชัย ย้ำว่าการทำงานและการใช้ชีวิตในอเมริกานั้นเรื่องเครือข่ายนับเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงโอกาสใหม่ๆ

ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีของ รศ.ดร.โชคชัย ในการร่วมทีมกับ Lucent-Bell Labs ทักษะที่สำคัญของนักวิจัย คือ

  1. Communication
  2. People skill โดยเฉพาะการเข้ากับคนอื่นๆ ได้
  3. Negotiation (การต่อรอง) อีกทักษะที่จำเป็นกรณีต้องทำงานกับ partner ต่างบริษัท
  4. Team work
  5. Thank you skill เช่น รางวัลสำหรับทีมงาน
  6. Can do attitude สร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเอง เพื่อนร่วมงานและองค์กร
  7. ความคิดที่ว่า “บริษัทเป็นบริษัทของพ่อแม่เราเอง”

จากการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในบริษัทเอกชน ดร.โชคชัย ได้ผันตัวเองเข้าสู่แวดวงการศึกษา ด้วยการลาออกจากบริษัทเพื่อเป็นอาจารย์ใน Louisiana Tech University การย้ายเข้าสู่สถาบันอุมดศึกษาทำให้มีอิสระทางความคิดก็จริง แต่ก็ต้องถูกคาดหวังทั้งการสอน การวิจัย การบริการวิชาการ และการหาทุนวิจัย โดยเฉพาะอย่างหลังที่หลายคนไม่ชอบนัก แต่ ดร.โชคชัย มองในมุมกลับว่า “หากงานเราเจ๋งจริง เงินทุนก็มาเอง”

ปิดท้ายกันที่ ดร. นพวรรณ ตันพิพัฒน์  กับประสบการณ์การร่วมทีม IBM เจ้าของกิจการที่เกี่ยวข้องกัยเทคโนโลยีสารสนเทศรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งครองบทบาทการเป็นผู้นำนวัตกรรมทางธุรกิจมายาวนาน ดร. นพวรรณ เสริมว่าการทำงานในอเมริกานั้นงานมีช่องทาง มีเครือข่าย ซึ่งหากเรามีศักยภาพ ไม่ใช่เราที่หางาน แต่งานต่างหากที่วิ่งหาเรา ดังนั้นการพัฒนาและฝึกฝนตนเองอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ใน IBM ทุกคนต้องทำงานหนัก แม้แต่เวลาพักยังคุยงานและร่าง project ลงบนกระดาษเช็ดปาก โดยใน IBM นั้น ไม่มีผู้ช่วยนักวิจัย ดังนั้นทุกคนต้องทำเป็นทุกๆ อย่าง

สิ่งหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้ทั้ง 3 องค์กร อย่าง NASA Lucent-Bell Labs และ IBM ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำคือ การทำให้พนักงานภูมิใจในการได้เป็นส่วนร่วมในองค์กร มีแต่ “We” ไม่มี “I” ซึ่งทุกคนพร้อมจะเต็มที่กับงานเพื่อความสำเร็จขององค์กร

ที่มาข้อมูล :
“NASA IBM Lucent-Bell Labs มีวิธีการบริหารจัดการนักวิจัยกันอย่างไร” Knowledge Sharing NSTDA ครั้งที่ 30 ณ ห้องบุษกร อาคารเนคเทค อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย

4 ต.ค. 2553
0
แชร์หน้านี้: