Archives: คลังความรู้
ตำราเรียนแบบเปิด (open textbook) สามารถช่วยแก้ปัญหาที่มีมูลค่าระดับพันล้านดอลลาร์
เพื่อจะลดค่าใช้จ่ายของนักศึกษาขณะนี้และในอนาคต ต้องแยกจากตลาดตำราเรียนแบบดั้งเดิมและส่งออกวัสดุการศึกษาผ่านรูปแบบทางเลือกใหม่
การศึกษาครั้งนี้วิเคราะห์ศักยภาพของตำราเรียนแบบเปิดและการอนุญาตแบบเปิดในการเป็นทางเลือกใหม่
อย่างย่อ ตำราเรียนแบบเปิดเป็นตำราเรียนที่ถูกเขียนโดยคณะ และถูกทบทวนโดยผู้มีความรู้ในสาขาวิชานั้น ๆ ถูกเผยแพร่ภายใต้การอนุญาตแบบเปิด หมายความว่าตำราเรียนแบบเปิดมีให้ฟรีออนไลน์ ดาวน์โหลดได้ฟรี และถ้าอยู่ในรูปสั่งพิมพ์ออกมามีค่าใช้จ่าย 10-40 ดอลลาร์ หรือประมาณค่าใช้จ่ายในการสั่งพิมพ์
การศึกษาครั้งนี้ได้ทบทวนข้อมูลที่รวบรวมได้จากโปรแกรมนำร่องของมหาวิทยาลัยที่แตกต่างกัน 5 โปรแกรม ซึ่งสนับสนุนคณะให้แทนที่ตำราเรียนแบบดั้งเดิมสำหรับหลักสูตรด้วยคลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด (Open Educational Resources, OER) และตำราเรียนแบบเปิด
สิ่งที่พบจากการศึกษา
จากการวิเคราะห์โปรแกรมนำร่องบ่งชี้ว่านักศึกษาประหยัด 128 ดอลลาร์ต่อหลักสูตร ด้วยตำราเรียนแบบดั้งเดิมถูกแทนที่ด้วยตำราเรียนแบบเปิด
โดยคาดการณ์การประหยัดของนักศึกษาเฉลี่ยและประยุกต์ใช้กับประชากรนักศึกษาที่ใหญ่กว่า สามารถทำนายว่าตำราเรียนแบบเปิดสามารถประหยัดมากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์แต่ละปี
นอกจากนี้ โดยเปรียบเทียบการลงทุนทั้งหมดและเงินที่ใช้ระหว่างโปรแกรมนำร่องกับการประหยัดทั้งหมดโดยนักศึกษา ซึ่งเป็นผลของโครงการ สามารถสรุปว่าการลงทุนในตำราเรียนแบบเปิดมีผลตอบแทนจากการลงทุนแบบ exponential ในการประหยัดของนักศึกษา
สรุปจากการศึกษา
ตำราเรียนแบบเปิดให้ผลประโยชน์ที่ชัดเจนกว่าตำราเรียนแบบดั้งเดิม
อย่างแรก ตำราเรียนแบบเปิดทำให้นักศึกษาประหยัดอย่างมาก ด้วยสามารถเข้าถึงฟรีออนไลน์ ดาวน์โหลดและพิมพ์ด้วยตนเองฟรี และรูปสั่งพิมพ์ออกมามีให้ที่ประมาณค่าใช้จ่ายในการสั่งพิมพ์ ตำราเรียนแบบเปิดสามารถทำให้นักศึกษาประหยัดพันล้านดอลลาร์แต่ละปี
อย่างที่สอง ตำราเรียนแบบเปิดให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ไม่น่าเชื่อ หลายโปรแกรมที่ให้ความช่วยเหลือทางการเงินประหยัดหนึ่งดอลลาร์สำหรับทุกดอลลาร์ที่ใช้ ผลตอบแทนจากการลงทุนของตำราเรียนแบบเปิดเป็นแบบ exponential
คำแนะนำจากการศึกษา
สถาบันและผู้ถือผลประโยชน์ร่วมทั้งหมดในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยควรให้ความสนใจมากขึ้นกับการแก้ปัญหาของราคาตำราเรียนที่สูง และให้อย่างมีประสิทธิภาพการฝึกอบรมและทรัพยากรที่คณะต้องการเพื่อเปลี่ยนชั้นเรียนให้ใช้ตำราเรียนแบบเปิด
ที่มา: Ethan Senack (February 2015). Open textbooks: The Billion-Dollar Solution. The Student PIRGs. Retrieved May 2, 2022, from https://studentpirgs.org/2015/02/24/open-textbooks-billion-dollar-solution/
การสำรวจความสามารถในการซื้อตำราเรียนของนักศึกษาเพื่อการศึกษาในมหาวิทยาลัย
ได้ทำการสำรวจกับนักศึกษามากว่า 5,000 คนในเดือนกันยายน 2020
สิ่งที่พบจากการสำรวจ
1. นักศึกษาไม่ซื้อตำราเรียนที่ถูกสั่งให้ซื้อ ถึงแม้เป็นห่วงว่าจะมีผลกับเกรด
65% ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจไม่ซื้อตำราเรียนเพราะราคา นักศึกษาเป็นห่วงอย่างมากว่าไม่ซื้อวัสดุจะมีผลในทางลบกับเกรด ด้วย 90% รายงานเป็นห่วงอย่างชัดเจนหรือค่อยข้างเป็นห่วง
2. มีนักศึกษามากกว่าไม่ใช้รหัสการเข้าถึง (access codes) ระหว่างการระบาด
มีนักศึกษา 21% ไม่ซื้อรหัสการเข้าถึง อาจเป็นเพราะปัญหาการเงินหรือมีความเชื่อมากขึ้นว่ารหัสการเข้าถึงเป็นส่วนของการเรียนรู้ทางไกล (remote learning) การไม่ใช้รหัสการเข้าถึงหมายความว่านักศึกษาพลาดโอกาสเกี่ยวกับการบ้าน การสอบ และส่วนสำคัญอื่น ๆ ของเกรดในชั้นเรียน
3. COVID-19 มีผลต่อนักศึกษาอย่างมากและมีผลต่อความสามารถในการซื้อวัสดุของหลักสูตร
นักศึกษาได้รับผลกระทบจากการระบาดอย่างกว้าง ด้วย 79% ของนักศึกษา ได้รับผลกระทบในบางหนทาง (นอกเหนือจากส่วนใหญ่อยู่กับบ้าน) ผลข้างเคียงของการระบาดเหล่านั้นมีความสัมพันธ์กับการต่อสู้มากขึ้นเพื่อการเข้าถึงวัสดุของหลักสูตร
4. การไม่มีอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้สัมพันธ์กับการเข้าถึงวัสดุของหลักสูตรและการประสบผลสำเร็จของนักศึกษา
10% ของนักศึกษาไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้เพื่อเข้าร่วมในชั้นเรียนทางไกล 30% ของนักศึกษาไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้ ไม่ซื้อรหัสการเข้าถึง 8% ของนักศึกษาไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้ ไม่ประสบผลสำเร็จในชั้นเรียนเนื่องจากไม่สามารถซื้อวัสดุของหลักสูตร
5. ความไม่ปลอดภัยในอาหารทำให้นักศึกษาไม่ซื้อวัสดุของหลักสูตรด้วยอัตราที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน
82% ของนักศึกษาซึ่งพลาดมื้ออาหารเนื่องจากการระบาด ไม่ซื้อตำราเรียนเนื่องจากราคา และ 38% ไม่ซื้อรหัสการเข้าถึง
สรุปจากการสำรวจ
COVID-19 เพิ่มอุปสรรคซึ่งนักศึกษาประสบทั้งการเงินและเทคโนโลยีเพื่อเข้าถึงวัสดุของหลักสูตร แม้ว่าไม่ได้ทำให้วัสดุของหลักสูตรแพงขึ้น นักศึกษาซึ่งไม่มีงานทำเนื่องจากการะบาดหรือไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้ถูกกระทบมากที่สุดโดยราคาวัสดุของหลักสูตร ปัญหาเหล่านี้จะยังคงอยู่ผ่านวิกฤตสุขภาพสาธารณะโดยปราศจากการให้ทุนเพิ่มขึ้นและการประยุกต์ใช้นโยบายระยะยาวซึ่งให้ความสำคัญกับการเข้าถึงและความสามารถในการซื้อ
คำแนะนำจากการสำรวจ
– สภานิติบัญญติและสำนักงานการศึกษา ควรให้ทุนสำหรับโปรแกรมตำราเรียนแบบเปิดและฟรี แก้ปัญหาการขาดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่เหมาะสม
– สถาบันอุดมศึกษาและระบบ ควรสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ทุน, การพัฒนาและการยอมรับทางอาชีพ, บรรณารักษ์การศึกษาแบบเปิด เพื่อทำให้ง่ายกว่าสำหรับผู้เชี่ยวชาญในการนำตำราเรียนแบบเปิดไปใช้และส่งงานออกภายใต้การอนุญาตแบบเปิด นอกจากนี้สถาบันทำเครื่องหมายราคาของวัสดุของหลักสูตรระหว่างการสมัครเข้าเรียนในชั้นเรียน
– คณะ ควรพิจารณานำตำราเรียนแบบเปิดไปใช้ และคิดทบทวนก่อนให้รหัสการเข้าถึง ผู้สอนควรนำการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตแบบไม่แน่นอนมาพิจารณาเมื่อออกแบบหลักสูตร โดยทำให้วัสดุสามารถดาวน์โหลดและสร้างงานที่ได้รับมอบหมายที่ไม่ต้องการอินเทอร์เน็ตที่มั่นคงเพื่อเสนอให้พิจารณา
– หน่วยงานและรัฐบาลนักศึกษา ควรสนับสนุนที่ระดับท้องถิ่นสำหรับนโยบายที่สนับสนุนการนำตำราเรียนแบบเปิดไปใช้, ลดการใช้รหัสการเข้าถึง และเติมเต็มความต้องการพื้นฐานของนักศึกษา รัฐบาลนักศึกษายังสามารถสร้างห้องสมุด hot-spot
ที่มา: Cailyn Nagle and Kaitlyn Vitez (February 2021). Fixing the Broken Textbook Market: Third Edition. U.S. PIRG Education Fund. Retrieved April 25, 2022, from https://uspirg.org/reports/usp/fixing-broken-textbook-market-third-edition
หนังสือ 3 ทศวรรษ วิสัยทัศน์การวิจัยของ สวทช.
นักศึกษาตอบสนองอย่างไรต่อราคาตำราเรียนที่สูงและต้องการทางเลือกใหม่
The Student PIRGs (The Student Public Interest Research Groups) ได้ดำเนินการศึกษาเพื่อค้นหาผลของราคาตำราเรียนที่สูงที่มีต่อนักศึกษาและการศึกษาในมหาวิทยาลัย และเพื่อประเมินความสนใจของนักศึกษาในทางเลือกใหม่นอกจากตำราเรียนแบบดั้งเดิม
สิ่งที่พบจากการศึกษา
ระหว่างฤดูใบไม้ร่วงของปี 2013 the Student PIRGs ทำการสำรวจจากนักศึกษา 2,039 คน จากมากกว่า 150 วิทยาเขตของมหาวิทยาลัย สิ่งที่พบหลัก คือ
1. ราคาตำราเรียนที่สูงขัดขวางนักศึกษาจากการซื้อวัสดุที่ถูกสั่งถึงแม้มีความห่วงใยเกรด
– 65% ของนักศึกษา ให้ความเห็นว่า ไม่ซื้อตำราเรียนเพราะว่าแพงเกินไป
– 94% ของนักศึกษา ซึ่งไม่ซื้อตำราเรียนรู้สึกกังวลว่าการทำแบบนี้จะมีผลเสียต่อเกรด
2. ราคาตำราเรียนที่สูงมีผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษาอื่น ๆ ของนักศึกษา
– เกือบครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่ถูกสำรวจ ตอบว่าราคาของตำราเรียนมีผลต่อกี่ชั้นเรียนหรือชั้นเรียนไหนที่นักศึกษาจะเข้าเรียนในแต่ละภาคการศึกษา
3. นักศึกษาเชื่อว่าทางเลือกใหม่ของสิ่งที่พิมพ์ออกมาและใช้ได้ฟรีผ่านออนไลน์นอกจากตำราเรียนแแบบดั้งเดิมจะทำให้การปฏิบัติดีขึ้น
– 82% ของนักศึกษารู้สึกว่าจะทำได้ดีขึ้นอย่างชัดเจนในหลักสูตร ถ้าตำราเรียนมีให้ฟรีออนไลน์และการซื้อสิ่งที่พิมพ์ออกมาเป็นทางเลือก
– นักศึกษาสนับสนุนตำราเรียนที่มีให้ฟรีออนไลน์และการซื้อสิ่งที่พิมพ์ออกมาเป็นทางเลือก ชี้ให้เห็นโดยตรงว่า ตำราเรียนแบบเปิด (open textbooks) เป็นต้นแบบในอุดมคติเพื่อแทนที่ตำราเรียนแบบดั้งเดิม
สรุปจากการศึกษา
ราคาตำราเรียนที่สูงจะเป็นปัญหาสำหรับนักศึกษาถ้าราคาตำราเรียนที่ถูกจัดพิมพ์ใหม่ที่สูงไม่ลดลง นอกจากนี้การศึกษาครั้งนี้ยังแสดงว่านักศึกษาพร้อมสำหรับทางเลือกใหม่นอกจากตำราเรียนแบบดั้งเดิมในห้องเรียน ตำราเรียนแบบเปิดเป็นต้นแบบในอุดมคติ ซึ่งนักศึกษาในการสำรวจรู้สึกว่าจะทำให้การปฏิบัติในห้องเรียนดีขึ้น
ในขณะที่การจัดให้มีในปัจจุบันของตำราเรียนแบบเปิดกำลังขยายอย่างรวดเร็ว ยังครอบคลุมเพียงส่วนน้อยของหลักสูตรมหาวิทยาลัยทั้งหมด เพื่อให้มีการแข่งขันในตลาดและเพื่อทำให้ตำราเรียนแบบเปิดเป็นทางเลือกใหม่ที่แท้จริงนอกจากตำราเรียนแบบดั้งเดิม ต้องลงทุน start-up มากขึ้นในการสร้างและการพัฒนาตำราเรียนแบบเปิด
คำแนะนำจากการศึกษา
– นักศึกษาควรสนับสนุนโดยตรงสำหรับการใช้ตำราเรียนแบบเปิดในห้องเรียน
– คณะควรพิจารณานำตำราเรียนแบบเปิดไปใช้ในห้องเรียน ควรตรวจสอบ the U. Minnesota Open Textbook Library ว่ามีหนังสือสำหรับชั้นเรียนหรือไม่
– ผู้บริหารวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยควรพิจารณาสร้างโปรแกรมนำร่องตำราเรียนแบบเปิดในวิทยาเขต สามารถดู MOST Initiative ของระบบมหาวิทยาลัยของ Maryland เป็นตัวอย่าง
– สภานิติบัญญัติของรัฐและสหรัฐ ควรลงทุนสร้างและพัฒนาตำราเรียนแบบเปิดมากขึ้น ดู Open Course Library ของรัฐวอชิงตัน เป็นตัวอย่าง
– สำนักพิมพ์ควรพัฒนารูปแบบใหม่ ซึ่งสามารถผลิตหนังสือคุณภาพสูงโดยไม่กำหนดราคาที่สูงเกินไปสำหรับนักศึกษา
ที่มา: Ethan Senack (January 2014). Fixing the Broken Textbook Market. the Student PIRGs. Retrieved April 19, 2022, from https://uspirg.org/reports/usp/fixing-broken-textbook-market
ตอนที่ 33 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
หนังสือ 3 ทศวรรษ 5 วิสัยทัศน์ สวทช.
ตอนที่ 32 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
นวัตกรรมในเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้
เครื่องมือของ Clarivate (Derwent World Patent Index (DWPI) และ Derwent Patent Citation Index (DPCI)) ให้ข้อมูลสิทธิบัตรที่เป็นที่ยอมรับ ใช้ศึกษานวัตกรรมในเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้
นักวิเคราะห์ในการศึกษาครั้งนี้ทดสอบสิทธิบัตรที่ยื่นจดระหว่างปี 2015 ถึง 2019 โดยหน่วยงานใน 8 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย, ศรีลังกา, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ไทย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม หน่วยงานรวมถึงสถาบันวิจัยของรัฐบาล, มหาวิทยาลัย และบริษัท
หลังจากการวิเคราะห์มากกว่า 100,000 การประดิษฐ์ที่ยื่นจดโดย 8 ประเทศดังกล่าวข้างต้นระหว่างปี 2015 ถึง 2019 ทำให้ได้ 276 หน่วยงานที่เป็นผู้นำการประดิษฐ์ โดย 58% เป็นสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยของรัฐบาล ส่วน 42% เป็นบริษัท พบจาก 276 หน่วยงาน เป็นหน่วยงานในอินเดียเป็นอันดับ 1 จำนวน 167 หน่วยงาน อันดับที่ 2 คือ อินโดนีเซีย จำนวน 44 หน่วยงาน อันดับถัดมา คือ ฟิลิปปินส์ จำนวน 28 หน่วยงาน อันดับที่ 4 คือ สิงคโปร์ จำนวน 19 หน่วยงาน อันดับที่ 5 คือ มาเลเซีย จำนวน 8 หน่วยงาน อันดับ 6 คือ เวียดนาม จำนวน 7 หน่วยงาน อันดับ 7 คือ ไทย จำนวน 2 หน่วยงาน อันดับ 8 คือ ศรีลังกา จำนวน 1 หน่วยงาน รายชื่อของทั้งหมด 276 หน่วยงาน เผยแพร่ไว้ใน https://clarivate.com/lp/2021-innovation-in-south-and-southeast-asia/
สำหรับประเทศไทยพบ 2 หน่วยงาน (เป็นบริษัททั้งหมด) จาก 276 หน่วยงานที่เป็นผู้นำการประดิษฐ์ ได้แก่ 1. Ptt Group และ 2. Siam Cement Group
นอกจากนี้ในการศึกษาครั้งนี้ยังได้วิเคราะห์หาหน่วยงานผู้นำการประดิษฐ์ใน 9 ประเทศ คือ 8 ประเทศดังกล่าวข้างต้น และเพิ่มอีก 1 ประเทศ คือ บรูไน ดังข้างล่าง ประเทศที่ไม่สามารถหาหน่วยงานผู้นำการประดิษฐ์ได้ คือ ประเทศที่มีหน่วยงานไม่สามารถผลิตสิทธิบัตรระหว่างปี 2015 ถึง 2019 ได้พอกับเกณฑ์ ประเทศทั้ง 9 ด้านล่างเรียงลำดับตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ
สถาบันการศึกษาผู้นำการประดิษฐ์
– บรูไน ไม่สามารถหาสถาบันการศึกษาได้
– อินเดีย Indian Institute of Technology Bombay
– อินโดนีเซีย Universitas Diponegoro
– มาเลเซีย Universiti Putra Malaysia (UPM)
– ฟิลิปปินส์ Cebu Technological University
– สิงคโปร์ National University of Singapore (NUS)
– ศรีลังกา ไม่สามารถหาสถาบันการศึกษาได้
– ไทย ไม่สามารถหาสถาบันการศึกษาได้
– เวียดนาม Hanoi University of Science and Technology (HUST)
สถาบันวิจัยของรัฐบาลผู้นำการประดิษฐ์
– บรูไน ไม่สามารถหาสถาบันวิจัยของรัฐบาลได้
– อินเดีย Council of Scientific and Industrial Research (CSIR)
– อินโดนีเซีย The Indonesian Institute of Sciences (LIPI)
– มาเลเซีย The Malaysian Palm Oil Board (MPOB)
– ฟิลิปปินส์ ไม่สามารถหาสถาบันวิจัยของรัฐบาลได้
– สิงคโปร์ The Agency for Science, Technology and Research (A*STAR)
– ศรีลังกา ไม่สามารถหาสถาบันวิจัยของรัฐบาลได้
– ไทย ไม่สามารถหาสถาบันวิจัยของรัฐบาลได้
– เวียดนาม Vietnam Academy of Science and Technology (VAST)
บริษัทผู้นำการประดิษฐ์
– บรูไน ไม่สามารถหาบริษัทได้
– อินเดีย ดูได้จากรายละเอียดด้านล่าง บริษัทผู้นำการประดิษฐ์ในอินเดีย
– อินโดนีเซีย PT Pertamina
– มาเลเซีย Top Glove Corporation Berhad
– ฟิลิปปินส์ ไม่สามารถหาบริษัทได้
– สิงคโปร์ ASM Pacific Technology Limited
– ศรีลังกา MAS Holdings
– ไทย Siam Cement Group
– เวียดนาม Viettel Group
บริษัทผู้นำการประดิษฐ์ในอินเดียในอุตสาหกรรมต่าง ๆ (เรียงลำดับอุตสาหกรรมตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ)
– ธุรกิจการเกษตร UPL Limited
– ยานยนต์ Mahindra and Mahindra Limited
– สารเคมีและพลังงาน Indian Oil Corporation Limited
– สินค้าประเภทบริโภค ITC Limited
– อุตสาหกรรมหนัก Bharat Heavy Electricals Limited
– อื่น ๆ Welspun Group
– ยา Suven Life Sciences Limited
– ซอฟต์แวร์ Wipro Limited
ที่มา: Clarivate. 2021 Innovation in South and Southeast Asia. Retrieved February 14, 2022, from https://clarivate.com/lp/2021-innovation-in-south-and-southeast-asia/