ข้อมูล Functional Food จากผลงานวิจัยตีพิมพ์และผลิตภัณฑ์ในตลาด

การดำเนินงาน NSTDA Agenda ตามแผนกลยุทธ์ สวทช. ฉบับ 7 (พ.ศ. 2565-2570) หัวข้อ Sustainable Food & Ingredients ที่เน้นการพัฒนาอาหารและ Ingredients บนฐานความยั่งยืนในทุกมิติ (ความมั่นคง ความปลอดภัย โภชนาการ และการผลิตสีเขียว) โดย Functional food เป็นหนึ่งใน Core technology ของ Agenda Sustainable Food & Ingredients

จากการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล Scopus สำหรับเรื่อง Functional food (คำค้นจากทุกเขตข้อมูล ด้วยคำค้น “functional food” และเลือก keyword คือ Metabolism, Fermentation, Probiotic Agent, Dietary Supplements, Proteins, Protein Expression, Fatty Acids, Diet Supplementation, Peptides, Bioactive Compounds, Nutritional Value, Enzymes และ Prebiotics ผลงานทั้งหมดในฐานข้อมูล Scopus วันที่ 29 มิถุนายน 2565) พบจำนวนบทความทางวิชาการความเชี่ยวชาญทางด้าน Functional food เฉพาะของประเทศไทยจำนวน 972 รายการ โดย 5 อันดับหน่วยงาน/สถาบันที่มีผลงานตีพิมพ์บทความวิจัยสูงสุด ได้แก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 181 รายการ รองลงมา คือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 162 รายการ มหาวิทยาลัยมหิดล 153 รายการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 119 รายการ และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 110 รายการนอกจากข้อมูลบทความวิจัยแล้ว Functional food ยังมีข้อมูลประเภทผลิตภัณฑ์จากฐานข้อมูล Mintel

Mintel คือ ระบบฐานข้อมูลด้านการตลาดเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจและอุตสาหกรรมของสินค้าอุปโภคบริโภคในกลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าเพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัว ซึ่งครอบคลุมแนวโน้มตลาดทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและคาดการณ์อนาคต มีบทวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค พฤติกรรมการบริโภคใหม่ๆ พร้อมด้วยข้อมูลเชิงสถิติ แนวโน้มการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และนวัตกรรมจากทั่วโลก รวมทั้งข้อมูลของส่วนผสม (Ingredient) ที่มีการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และโภชนาการ โดยมีทีมนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญของ Mintel จากทั่วโลก วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำรายงาน โดย สวทช. บอกรับและให้บริการครบทั้ง 3 แพลตฟอร์ม คือ Food & Drink (MFD), Beauty & Personal Care (BPC) และ Household & Personal Care (HPC)

ภาพที่ 1 เว็บไซต์ฐานข้อมูล Mintel:www.mintel.com

 

ภาพที่ 2 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Functional food

  • โควิด-19 ได้เร่งความสนใจของผู้บริโภคในผลิตภัณฑ์สร้างภูมิคุ้มกันและปกป้อง ดังนั้นแบรนด์ต่างๆ จึงพัฒนาอาหารและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ซึ่งช่วยดูแลสุขภาพร่างกายและช่วยป้องกันไวรัสและโรคต่าง ๆ
  • Wellbeing Driver ผู้บริโภคมองหาแบรนด์ต่างๆ เพื่อหาวิธีปรับปรุงสุขภาพร่างกายและจิตใจ ซึ่งจะทำให้ตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ใช้งานได้จริงเติบโตอย่างรวดเร็ว
  • ผู้บริโภคเชื่อมโยงและใส่ใจในทุกด้านของความเป็นอยู่ที่ดีในการทำงานร่วมกัน

ภาพที่ 3 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Functional food

  • Ingredient watch: โพสต์ไบโอติก โพสต์ไบโอติกร่วมกับพรีไบโอติกและโปรไบโอติกเป็นส่วนผสมที่มีประโยชน์ซึ่งสามารถบำรุงสุขภาพผ่านทางลำไส้ได้ โพสต์ไบโอติกสามารถเพิ่มประโยชน์ต่อสุขภาพให้กับอาหารที่มีประโยชน์ใช้สอยแวดล้อมและอาหารเสริม ซึ่งโปรไบโอติกอาจต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด
  • Ingredient watch: เมล็ดพืชเป็นฮีโร่จากพืช นวัตกรรมที่เกี่ยวกับเมล็ดอะโวคาโดอัพไซเคิลและเมล็ดอินทผลัมเป็นแรงบันดาลใจให้เมล็ดและเมล็ดที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ถูกแปรรูปเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ใช้สอยรูปแบบใหม่
  • บริษัทปลูกเห็ดนมเสือในร่มโดยใช้เทคโนโลยีการเพาะปลูกที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ เพื่อรักษาภูมิคุ้มกันและระบบทางเดินหายใจ
  • มิลค์ทิสเซิลสามารถสนับสนุนการส่งมอบผลประโยชน์ในอาหารฟังก์ชั่นเครื่องดื่มและอาหารเสริม สุขภาพลำไส้ สุขภาพตับสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดี
  • ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพที่ผลิตจากโปรตีนจากแมลง แป้งแมลง และผงโปรตีนจากแมลง ใช้หนอนควาย

ภาพที่ 4 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Functional food

อาหารเป็นยา: ผู้บริโภคมองหาอะไร? พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่รวมเอาแนวคิดเรื่อง อาหารเป็นยา เพื่อป้องกัน จัดการ หรือย้อนกลับภาวะสุขภาพที่เชื่อมโยงกับการรับประทานอาหาร เน้นส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้บริโภคในการใช้ชีวิตที่สะอาด

ภาพที่ 5 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Functional food

  • การอัดรีดที่มีความชื้นสูง: ขั้นตอนในการปรับปรุงเนื้อและเส้นใยของเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนจากพืช บริษัทต่างๆ พยายามใช้กระบวนการต่างๆ เช่น การเกษตรแบบเซลล์เพื่อสร้างเนื้อ สัตว์ปีก และอาหารทะเลขึ้นมาใหม่ การวิจัยและพัฒนาเนื้อสัตว์ในห้องแล็บกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น Unilever, Givaudan, Ingredion และบริษัทอื่นๆ กำลังทำงานร่วมกับ Wageningen University เพื่อพัฒนาสเต็กจากพืช 100% โดยใช้ shear-cell agriculture เพื่อเปลี่ยนโปรตีนจากพืชให้เป็นชั้นๆ เนื้อสัมผัสเป็นเส้นๆ ที่เข้ากับสเต็กได้อย่างใกล้ชิด (บริษัทในบาร์เซโลนาใช้ถั่ว สาหร่าย และน้ำบีทรูท เพื่อสร้างสเต็กปลอม จากนั้นจึงพิมพ์ 3 มิติเมื่อเส้นใยถูกอัดรีดเพื่อเลียนแบบเนื้อสัมผัสของเนื้อที่หั่นจริงแล้ว)
  • กระบวนการอัดรีดที่มีความชื้นสูงของโปรตีนจากพืชเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาสารทดแทนเนื้อสัตว์ด้วยโครงสร้างเส้นใยที่เด่นชัด เนื้อสัมผัสของเนื้อ และรูปลักษณ์

ภาพที่ 6 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Functional food

  • วิตามินรวมที่ปรับแต่งได้ตามการสมัครสมาชิก ซึ่งพิมพ์ 3 มิติลงในกัมมี่ที่เป็นมิตรกับมังสวิรัติ ผู้บริโภคสามารถเลือกสารอาหารรองและสารสกัดจากสมุนไพรต่างๆ มากมาย หรือเลือกจากสารอาหารที่เตรียมไว้ล่วงหน้า (เช่น ก่อนคลอด พลังงาน การนอนหลับ และการผ่อนคลาย)
  • เครื่องพิมพ์ผลไม้ 3 มิติ Dovetailed ซึ่งเป็นบริษัทในสหราชอาณาจักรได้พัฒนากระบวนการที่ช่วยให้ผู้ใช้สร้างผลไม้ที่พิมพ์ 3 มิติโดยใช้น้ำผลไม้บด โซเดียมอัลจิเนต และแคลเซียมคลอไรด์
  • Upprinting Food สตาร์ทอัพชาวดัตช์ใช้การพิมพ์ 3 มิติเพื่อเปลี่ยนผลไม้ ผัก และขนมปังที่ไม่ต้องการให้เป็นน้ำซุปข้น สิ่งเหล่านี้ถูกพิมพ์ลงในขนมประเภทบิสกิตที่สวยงาม ซึ่งเสิร์ฟในร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ เช่น The Alchemist ในโคเปนเฮเกน
  • เนื้อปลอมจากการพิมพ์ 3 มิติ นิยามใหม่ของเนื้อสัตว์ เนื้อปลาแซลมอนจากพืชที่พิมพ์ 3 มิติซึ่งเลียนแบบปลาจริง ลบปรอทและสารพิษ

ข้อมูล Functional Ingredients จากผลงานวิจัยตีพิมพ์และผลิตภัณฑ์ในตลาด

การดำเนินงาน NSTDA Agenda ตามแผนกลยุทธ์ สวทช. ฉบับ 7 (พ.ศ. 2565-2570) หัวข้อ Sustainable Food & Ingredients ที่เน้นการพัฒนาอาหารและ Ingredients บนฐานความยั่งยืนในทุกมิติ (ความมั่นคง ความปลอดภัย โภชนาการ และการผลิตสีเขียว) โดย Functional ingredients เป็นหนึ่งใน Core technology ของ Agenda Sustainable Food & Ingredients

จากการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล Scopus สำหรับเรื่อง Functional ingredients (คำค้นจากทุกเขตข้อมูล ด้วยคำค้น “functional ingredient” และเลือก keyword คือ Metabolism, Plant Extract, Proteins, Extraction, Functional Food, Starch, Fermentation, Fatty Acids, Flavonoids, Peptides, Protein, Amino Acids, Dietary Supplements, Enzyme Activity, Probiotics, Rheology,Diet, Health, Food Additives, Dietary Fibre, Sensory Analysis, Prebiotics, Antimicrobial Activity และ Nutraceuticals ผลงานทั้งหมดในฐานข้อมูล Scopus วันที่ 29 มิถุนายน 2565) พบจำนวนบทความทางวิชาการความเชี่ยวชาญทางด้าน Functional ingredients เฉพาะของประเทศไทยจำนวน 230 รายการ โดย 5 อันดับหน่วยงาน/สถาบันที่มีผลงานตีพิมพ์บทความวิจัยสูงสุด ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จำนวน 61 รายการ รองลงมา คือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 44 รายการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 35 รายการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 31 รายการ และมหาวิทยาลัยมหิดล 29 รายการ นอกจากข้อมูลบทความวิจัยแล้ว Functional ingredients ยังมีข้อมูลประเภทผลิตภัณฑ์จากฐานข้อมูล Mintel

Mintel คือ ระบบฐานข้อมูลด้านการตลาดเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจและอุตสาหกรรมของสินค้าอุปโภคบริโภคในกลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าเพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัว ซึ่งครอบคลุมแนวโน้มตลาดทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและคาดการณ์อนาคต มีบทวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค พฤติกรรมการบริโภคใหม่ๆ พร้อมด้วยข้อมูลเชิงสถิติ แนวโน้มการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และนวัตกรรมจากทั่วโลก รวมทั้งข้อมูลของส่วนผสม (Ingredient) ที่มีการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และโภชนาการ โดยมีทีมนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญของ Mintel จากทั่วโลก วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำรายงาน โดย สวทช. บอกรับและให้บริการครบทั้ง 3 แพลตฟอร์ม คือ Food & Drink (MFD), Beauty & Personal Care (BPC) และ Household & Personal Care (HPC)

ภาพที่ 1 เว็บไซต์ฐานข้อมูล Mintel:www.mintel.com

ภาพที่ 2 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Functional ingredients

กลยุทธ์การเติบโตของเนสท์เล่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งด้วยการก้าวขึ้นเป็นบริษัทด้านสุขภาพและความงามชั้นนำ ซึ่งรวมถึงการวิจัยในการจัดหาโภชนาการที่เหมาะกับผู้บริโภคโดยการลงทุนด้านเมตาโบโลมิกส์ (การศึกษาลายนิ้วมือทางเคมีที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้คน) และโปรตีโอมิกส์ (การศึกษาโครงสร้างและหน้าที่ของโปรตีน) โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้บริโภคและอาหารที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น กลุ่มย่อยเฉพาะของประชากร

การเติบโตที่สำคัญของประชากรทั่วโลกที่มีอายุเกิน 60 ปีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2050 เนสท์เล่สนใจในโอกาสที่จะแก้ไขปัญหาภาวะทุพโภชนาการของผู้สูงอายุ

ภาพที่ 3 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Functional ingredients

อนาคตของ Animal Proteins, Meat Alternatives: 2020 Global Annual Review

  • ในอีก 5 ปีข้างหน้า คาดหวังแนวทางที่ ‘น้อยกว่าแต่ดีกว่า’ สำหรับเนื้อสัตว์จากสัตว์ โดย Cellular agriculture และ synthetic biology จะพัฒนาไปสู่หมวดหมู่ใหม่ เช่น ingredients และจะทำให้เนื้อสัตว์ระดับพรีเมียม เช่น เนื้อวากิว มีราคาไม่แพงมาก คุณลักษณะทางจริยธรรมและสิ่งแวดล้อมของเนื้อสัตว์ที่เพาะเลี้ยงจะถูกตั้งคำถาม
  • Perfect Day บริษัทสตาร์ทอัพในสหรัฐฯ ใช้การหมักและยีสต์ที่ดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อผลิตส่วนผสมจากนมที่ปราศจากสัตว์ เช่น โปรตีนและไขมัน นอกจากนี้ยังมีโอกาสสำหรับบริษัทต่างๆ ในการผลิตเนื้อสัตว์และอาหารทะเลระดับพรีเมียม เช่น เนื้อวากิว ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน กุ้งล็อบสเตอร์ และแม้แต่คาเวียร์ที่ราคาเอื้อมถึงมากขึ้นผ่าน cellular agriculture
  • Finless Foods ใช้ cellular agriculture เพื่อสร้างปลาราคาไม่แพงและอาหารทะเลที่ยั่งยืนซึ่งดีต่อสุขภาพ
  • Perfect Day บริษัทสตาร์ทอัพในสหรัฐฯ ใช้การหมักและยีสต์ที่ดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อผลิตโปรตีนจากนมที่ปราศจากสัตว์
  • Aleph Farms อ้างว่าพวกเขาได้ผลิตสเต็กที่ปลูกในเซลล์ซึ่งมีรูปร่าง เนื้อสัมผัส และลักษณะคล้ายกับเนื้อเยื่อของเนื้อวัว

อนาคตของ Ingredients : 2020 ในอีก 5 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีจะยังคงมีบทบาทสำคัญในอนาคตของ Ingredients ในอาหาร อุตสาหกรรมอาหารจะได้รับแรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีที่ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นsynthetic biology และ artificial intelligence

ภาพที่ 4 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Functional ingredients

  • อนาคตของ Nutrition, Health & Wellness, 2022 ในอีก 5 ปีข้างหน้า Single-cell proteins จะเติบโตเป็นโซลูชั่นสำหรับโภชนาการที่ยั่งยืน และวิทยาศาสตร์จะเปิดเผยวิธีการใช้การหมักเพื่อพัฒนา ‘matches’ to crops เช่น เมล็ดโกโก้หรือน้ำมันปาล์ม
  • อนาคตของ Animal Proteins, Meat Alternatives, 2022 เทคโนโลยีการหมักและการเกษตรแบบเซลล์ในที่สุด จะเป็นทางออกที่สำคัญในการจัดการกับความท้าทายด้านรสชาติและเนื้อสัมผัสของทางเลือกเนื้อสัตว์ และตอบสนองความต้องการโปรตีนของประชากรโลกที่กำลังเติบโต
  • Ingredients to watch : sustainable ingredients (2022)
    o นวัตกรรมใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหารกำลังเคลื่อนย้ายการเกษตรจาก fields to the labs อาหารและส่วนผสมที่ได้มาจากเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งรวมถึงvertical farming, precision fermentation and cellular agriculture, จะปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหาร
    o Fermentation and genetically engineered yeast กำลังถูกนำมาใช้เพื่อสร้างโปรตีนจากสัตว์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมือนกัน โดยไม่ต้องใช้สัตว์
    o ADM และ Asia Sustainable Foods Platform ได้ลงนามในข้อตกลงร่วมทุน 50-50 เพื่อจัดหาการหมักที่แม่นยำและตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่หลากหลายในสิงคโปร์และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่กว้างขึ้น
    o Libre Foods แบรนด์สัญชาติสเปนเปิดตัวเบคอนวีแกนที่สร้างจากเชื้อราโดยใช้เทคโนโลยีการหมัก

ภาพที่ 5 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Functional ingredients

  • น้ำเสียสู่โปรตีนจากพืช นักวิจัยชาวสวีเดนได้พัฒนาเทคนิคในการใช้น้ำเสียในอุตสาหกรรมอาหารในการเพาะเลี้ยงสาหร่ายเพื่อปรับปรุงคุณภาพทางโภชนาการ ทีมวิจัยจาก University of Gothenburg และ Chalmers University of Technology ได้เพาะเลี้ยงสาหร่ายประเภทต่างๆ และเติมน้ำในกระบวนการจากอุตสาหกรรมการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการผลิตน้ำนมข้าวโอ๊ต ในแต่ละกรณี น้ำในกระบวนการช่วยเพิ่มปริมาณโปรตีนของสาหร่ายจากประมาณ 10% เป็นมากกว่า 30% ทีมงานกล่าวว่าโครงการนี้สามารถช่วยสร้าง a more circular approach to protein production
  • การดูดซึมแคลเซียมที่เพิ่มขึ้นโดยส่วนผสมที่หมัก (2022) Peptide fragments isolated from fermented milk – China Chemical & Pharmaceutical พบว่าเปปไทด์บางตัวที่แยกได้จากผลิตภัณฑ์หมักนม (คล้ายกับ kefir fermentation) มีฤทธิ์ต้านโรคกระดูกพรุน การหมักเฉพาะเพื่อเพิ่มปริมาณเปปไทด์สูงสุด และอ้างว่าความหนาแน่นของกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อบริโภคนมหมัก
  • Asahi Soft Drinks เปิดตัวผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่กำหนดเป้าหมายไปยังวัยกลางคนและผู้สูงอายุ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดได้รับการกำหนดสูตรด้วย lactononadecapeptide NIPPLTQTPVVVVPPFLQPE (เปปไทด์ที่พัฒนาโดย Asahi) ซึ่งกล่าวกันว่าช่วยเพิ่ม concentration และ cognitive function

ภาพที่ 6 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Functional ingredients

  • gluten-free : ความตระหนักที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของ ingredients บางอย่างต่อสุขภาพและโลก ทำให้ผู้บริโภคหลีกเลี่ยงส่วนผสมเหล่านี้และมองหาทางเลือกอื่น ในระดับที่ใหญ่ขึ้น วิถีชีวิตที่ปฏิบัติตามการควบคุมอาหารโดยเฉพาะ รวมถึง veganism, gluten-free กำลังเป็นที่นิยม ตัวอย่าง เนยกราโนล่า ปราศจากกลูเตนซึ่งเป็นทางเลือกแทนเนยถั่วแบบดั้งเดิม และ แบรนด์อาหารหลายแห่งรวมตัวกันเพื่อสร้าง The Almond Project ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อใช้แนวทางปฏิบัติในการทำฟาร์มอัลมอนด์ที่ชาญฉลาดต่อสภาพอากาศ อัลมอนด์ได้กลายเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับอาหารทดแทนอาหาร ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากกลูเตนไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากนม
  • low GI (glycemic index)
    o Tagatose สารให้ความหวานที่เป็นมิตรกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีค่า GI ต่ำ
    o การอบแบบ Slow-Carb Baking ผ่าน long-form fermentation ทำให้สามารถผลิต lower-GI carbohydrates ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างดี เพื่อการย่อยอาหารและสุขภาพลำไส้ของมนุษย์ low glycaemic index (GI) bread ใช้สูตรเฉพาะ “slow carbs” ซึ่งได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่าสามารถชะลอการดูดซึมน้ำตาลได้ ปัจจุบัน
    o การพัฒนาสูตรที่มีส่วนผสมต้านการอักเสบและพฤกษศาสตร์เพื่อสนับสนุนสุขภาพโดยรวมในผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับน้ำตาลในเลือด

ภาพที่ 7 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Functional ingredients

The Future of Nutrition, Health & Wellness, 2022

  • ในอีก 2 ปีข้างหน้า ความสนใจไปที่ gut microbiome จะเปิดโอกาสสำหรับส่วนผสม เช่น prebiotic
  • Gut-friendly ingredients มีศักยภาพที่จะเติบโตได้เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่เน้นไมโครไบโอมเปิดประตูใหม่เพื่อสุขภาพลำไส้ ผู้บริโภคชาวไทย 60% ตระหนักถึงเส้นใยอาหารและ/หรือพรีไบโอติก (เช่น inulin, beta-glucan) และเคยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเหล่านี้
  • งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าส่วนผสมโปรไบโอติกมีอิทธิพลต่อการพัฒนาไมโครไบโอมในลำไส้ที่มีสุขภาพดี ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อทารกเนื่องจากเชื่อกันว่าไมโครไบโอมในลำไส้ของมารดามีความเชื่อมโยงกับสุขภาพของทารก ส่วนผสมโปรไบโอติกและพรีไบโอติกแสดงให้เห็นศักยภาพในการให้ประโยชน์ต่อสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตร
  • พรีไบโอติกสามารถปรับปรุงความสมดุลของแร่ธาตุและคุณสมบัติของกระดูกโดยการลดค่า pH ของซีคอล เพิ่มความสามารถในการละลายและการดูดซึมแคลเซียม และเพิ่มระดับแบคทีเรียไบฟิโด

ภาพที่ 8 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Functional ingredients

Patent Perspective: Modified and resistant starches (2015)

  • ความต้องการอาหารสะดวกซื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 นำไปสู่การดัดแปลงแป้งที่หลากหลายเพื่อเพิ่มฟังก์ชันการทำงานในผลิตภัณฑ์แช่แข็ง แห้ง และอายุการเก็บรักษาที่ยาวนาน
  • top five sub-categories modified starches ได้แก่ เค้ก ขนมอบและขนมหวาน อาหารปรุงสำเร็จ spoonable yoghurt ของหวานแช่เย็น และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป Modified starches ใช้เพื่อเพิ่มความหนืด/ความสม่ำเสมอและเป็นสารคงตัวในการใช้งานอาหาร

วารสารข่าวด้านการอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม 2565

วารสารข่าวด้านการอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์จากกรุงบรัสเซลส์
ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม 2565

ภาพรวมสถานะและความก้าวหน้าของประเทศสวีเดน ในด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม
คณะกรรมาธิการยุโรปจะจัดทำ Innovation Scoreboard เพื่อเป็นตัวชี้วัดถึงผลลัพธ์และศักยภาพด้านนวัตกรรม (Innovation Performance) โดยการประเมินจากการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบของประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป และประเทศอื่นๆ ในยุโรป โดยประเมินจุดอ่อนและจุดแข็งของระบบนวัตกรรมของแต่ละประเทศ โดยในการจัดลำดับประเทศนวัตกรรมในยุโรป แบ่งเป็น 4 หมวด ได้แก่ ผู้นำนวัตกรรม (innovation leaders) ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมระดับสูง (strong innovators) ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมระดับกลาง (moderate innovators) และ ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมพอประมาณ (modest innovators) โดยสวีเดนได้ถูกจัดลำดับให้เป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านนวัตกรรมในสหภาพยุโรปติดต่อกันมาหลายปี
ซึ่งผลมาจากจุดแข็งเชิงนวัตกรรมในด้านทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพและทักษะสูง มีค่าเฉลี่ยจำนวนนักศึกษาสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาเอก และชั้นอุดมศึกษา สูงเป็นอันดับต้นๆ นอกจากนี้ยังมีจุดแข็งเชิงนวัตกรรมด้านอื่น ๆ อาทิ

  • ระบบการวิจัยที่น่าดึงดูด: สร้างความร่วมมือด้านการวิจัยกับประเทศที่สาม นักวิจัยมีการติดต่อกับเครือข่ายระดับนานาชาติ และคุณภาพผลงานวิจัยอยู่ในระดับสูง
  • การพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรมในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม: โดยมีสัดส่วนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการพัฒนานวัตกรรมกระบวนการทางธุรกิจในระดับสูง และเป็นผู้นำการสร้างงานจากการพัฒนานวัตกรรม
  • ความร่วมมือและการเชื่อมโยงทางนวัตกรรม: โดยมีนวัตกรรมที่หลากหลาย เนื่องจากเข้าร่วมพัฒนากับบริษัทเอกชน หรือ องค์กรภาครัฐ ระบบวิจัยในประเทศยังขับเคลื่อนตอบโจทย์ต่อความต้องการของบริษัทเอกชนเพื่อส่งเสริมการพัฒนางานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ ซึ่งบริษัทเอกชนเข้ามาลงทุนร่วมในระบบวิจัยของภาครัฐ

ภาพรวมระบบนวัตกรรมของสวีเดน
สวีเดน ได้ปรับโครงสร้างประเทศจากสังคมเกษตรกรรมช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มาเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่อาศัยนวัตกรรมโดยเน้นจุดแข็ง 3 ด้าน ได้แก่ ภาคธุรกิจที่เข้มแข็ง (strong business sector) ภาควิชาการที่เป็นเลิศ (academic excellence) และการสนับสนุนการทำงานแบบรัฐนวัตกรรม (innovative public sector) จากการประเมินจุดแข็งเชิงนวัตกรรมของสวีเดนคือ คุณภาพของทรัพยากรมนุษย์
หน่วยงานที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมในสวีเดน แบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่
1. หน่วยงานส่วนกลาง : เช่น National Innovation Council (NIC) หน่วยงานภาครัฐที่ประสานหน่วยงานกลางและหน่วยงานท้องถิ่นมาร่วมกันผลักดันนโยบายนวัตกรรมของรัฐ พร้อมดึงกระทรวงมาร่วมแก้ปัญหา ทุกกระทรวงจะมีงานด้านนวัตกรรมภารกิจต้องผลักดัน เพื่อต่อยอดนำงานวิจัยไปสู่นวัตกรรมที่จับต้องได้
2. หน่วยงานระดับท้องถิ่น: เป็นหน้าที่ของเทศบาลนคร (country) ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมระดับชุมชนและประชาคมสังคมท้องถิ่น การบริหารส่วนท้องถิ่นของสวีเดนจัดเก็บภาษีเพื่อใช้พัฒนาท้องถิ่นตนเอง จึงมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการ การส่งเสริมนวัตกรรมของเทศบาลนครจะเป็นความร่วมมือกับภาควิชาการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของชุมชน
3. หน่วยงานด้านวิชาการและการศึกษา: สวีเดนส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจำนวน 13 แห่ง เพื่อกระตุ้นการนำงานวิจัยมาใช้ประโยชน์ทางการค้า มีการสร้างศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจเริ่มต้น (startups) ในมหาวิทยาลัย และตั้งบริษัทเพื่อการลงทุนของมหาวิทยาลัย ให้กับบริษัทที่ผ่านการบ่มเพาะและมีศักยภาพในการสนับสนุนงานวิจัยเพื่อเพิ่มศักยภาพของภาควิชาการ
4. ภาคเอกชน: รัฐบาลสวีเดนยังจัดตั้งบริษัทที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น เช่น บริษัท Almi สนับสนุนด้านการเงิน ให้คำปรึกษาการทำธุรกิจ การรับทำงานวิจัยและพัฒนา และการให้เช่าพื้นที่ทำการทดลอง (testbed)

การอุดมศึกษาของสวีเดน
ประเทศสวีเดนมีระบบการศึกษาดีเป็นอันดับ 2 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ที่มีการลงทุนด้านการศึกษามากที่สุด
จากการจัดอันดับคณะและมหาวิทยาลัยในสวีเดนในปี ค.ศ. 2020 คณะและมหาวิทยาลัยยอดนิยม 10 อันดับแรกที่สมัครเรียนมากที่สุดมีดังนี้
1.คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสต๊อกโฮล์ม (Stockholm university)
2.คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุปซอลา (Uppsala university)
3.คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยลุนด์ (Lund university)
4.คณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยสต็อกโฮล์ม (Stockholm university)
5.คณะแพทยศาสตร์ สถาบันเคาโรลินสกา (Karolinska Institutet)
6.คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุปซอลา (Uppsala university)
7.คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยสต็อกโฮล์ม (Stockholm university)
8.คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์ก (Gothenberg university)
9.คณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยอุปซอลา (Uppsala university)
10.คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยลินเชอปิง (Linköping university)

หน่วยงานด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่น่าสนใจในสวีเดน

สถาบันแคโรลินสกา (Karolinska Institute)
สถาบันแคโรลินสกา (Karolinska Institute) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองสต็อกโฮล์ม เป็นมหาวิทยาลัยทางการแพทย์และศัลยแพทย์อันดับหนึ่งในสวีเดน ทั้งเป็นมหาวิทยาลัยการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป สามารถผลิตบุคลากรทางการแพทย์ได้กว่าร้อยละ 30 มีงานวิจัยทางด้านการแพทย์กว่าร้อยละ 40 มีศิษย์เก่าจำนวนมากกว่า 30 รายได้รับรางวัลโนเบล

มหาวิทยาลัยลุนด์ (Lund University)
มหาวิทยาลัยลุนด์ (Lund University) เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในทวีปยุโรปและเป็นมหาวิทยาลัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศสแกนดิเนิวีย ตั้งอยู่ที่เมืองลุนด์ (Lund) ทางตอนใต้ของสวีเดน ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1666 มีชื่อเสียงด้านการเรียนการสอนและด้านวิจัยเป็นเวลายาวนาน ถูกจัดอันดับอยู่ในมหาวิทยาลัยดีเด่น 100 ลำดับแรกของโลก สำหรับสาขาวิชาที่อยู่ในชั้นแนวหน้าของโลก ได้แก่ การศึกษาเพื่อการพัฒนา ภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม การพยาบาล การเงิน และนโยบายสังคม การบริหาร และกฎหมาย

มหาวิทยาลัยอุปซอลา (Uppsala University)
มหาวิทยาลัยอุปซอลา (Uppsala University) เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยระดับนานาชาติขนาดใหญ่มีชื่อเสียงและเก่าแก่ที่สุดของประเทศสวีเดน ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1477 (ช่วงราวต้นกรุงศรีอยุธยาของไทย) ในเมืองอุปซอลาอยู่ทางเหนือของกรุงสต็อกโฮล์ม ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 100 มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของโลกด้านงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง

ราชวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งสวีเดน (KTH Royal Institute of Technology)
ราชวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งสวีเดน เป็นสถาบันด้านเทคโนโลยีมีความโดดเด่นสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ และเป็นมหาวิทยาลัยด้านเทคนิคที่ใหญ่ที่สุดของสวีเดน ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1827

มหาวิทยาลัยสต็อกโฮล์ม (Stockholm University)
มหาวิทยาลัยสต็อกโฮล์มเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐตั้งอยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เริ่มก่อตั้งเป็นวิทยาลัยปี ค.ศ. 1878 และได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิทยาลัยปี ค.ศ. 1960 และเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่อันดับที่ 4 ของประเทศสวีเดน
มหาวิทยาลัยเปิดสอนและทำวิจัยสองกลุ่มหลัก คือ กลุ่มวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและกลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ แบ่งการสอนเป็น 4 คณะ (คณะนิติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ คณะคณิตศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์) โดยคณะวิทยาศาสตร์เป็นคณะที่ใหญ่ที่สุดในสวีเดน มหาวิทยาลัยจัดอยู่ใน 100 ลำดับแรกชั้นนำของโลก

การทำงานร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงสตอกโฮล์ม ผ่านโครงการ Thailand Nordic countries innovation unit (TNIU)
เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2565 โดย ดร.เศรษฐพันธ์ กระจ่างวงษ์ ได้เข้าร่วมประชุมกับตัวแทนองค์กร Thailand Nordic countries innovation unit (TNIU)
Thailand Nordic countries innovation unit (TNIU) เป็นหน่วยงานจัดตั้งขึ้นโดยการประสานงานของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงสตอกโฮล์ม รวบรวมนักศึกษาและนักวิชาชีพไทยใน 4 ประเทศ ได้แก่ สวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์ และเดนมาร์ก ทำงานร่วมกันเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมและการสร้างโครงการความร่วมมือด้าน อววน. ระหว่างประเทศไทยและ 4 ประเทศ โดยมีสวีเดนประสานงานหลักกับอีก 3 ประเทศ ภารกิจหลักของ TNIU มี 3 ประการ

  • เสริมสร้างการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากองค์กรในภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชนจาก 4 ประเทศ ไปสู่ประเทศไทย
  • ประสานการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างหน่วยงาน/บริษัทในไทยและใน 4 ประเทศในกลุ่มนอร์ดิก
  • ศึกษาหาโอกาสทางธุรกิจเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดของวิสาหกิจไทย ใน 4 ประเทศในกลุ่มนอร์ดิก

โดยสาขา/หัวข้อ ที่ให้ความสำคัญกับหน่วยงานในประเทศไทย ใน 4 รูปแบบดังนี้

  • การแบ่งปันและอัพเดทข้อมูลความก้าวหน้าที่สนใจด้าน อววน. ใน 4 ประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ให้แก่หน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. และประชาชนทั่วไปได้รับทราบ
  • การจับคู่ทางธุรกิจระหว่างหน่วยงาน/บริษัทในไทยและใน 4 ประเทศในกลุ่มนอร์ดิก
  • การจับคู่ระหว่างหน่วยงานด้านการวิจัย วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในประเทศไทยและใน 4 ประเทศในกลุ่มนอร์ดิก เพื่อสร้างความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยร่วมกัน
  • การเสริมสร้างทุนปัญญาในระดับอุดมศึกษาผ่านการสร้างเครือข่ายนักเรียนไทยในแต่ละประเทศของกลุ่มนอร์ดิก เพื่อเป็นแพลตฟอร์มในการส่งเสริมการศึกษาต่อของนักเรียนไทย ในการทำโครงการความร่วมมือหรือถ่ายทอดองค์ความรู้กลับสู่ประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านโอกาสในการทำงานทั้งในไทยและในกลุ่มประเทศนอร์ดิก

 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2022/20220915-newsletter-brussels-no01-jan65.pdf

 

 

เมื่อ “เมฆกันชน” มาเยือนกรุงเทพ

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ในตอนเช้าวันนั้นหลายๆ คนที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล คงแปลกใจกัน เพราะตื่นมาแล้วเห็นเมฆสีเข้มให้อารมณ์หม่นหนัก ครอบคลุมท้องฟ้าเป็นแนวกว้างสุดสายตา

ภาพโดยคุณ Maythavee Chantra

ดร. บัญชา ธนบุญสมบัติ ผู้อำนวยการฝ่ายเผยแพร่เทคโนโลยี ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติหรือ เอ็มเทค สวทช. และเป็นผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กแฟนเพจ “ชมรมคนรักมวลเมฆ” ที่มีสมาชิกกว่า 3 แสนคน ได้ให้ข้อมูลผ่านแฟนเพจว่า เมฆลักษณะดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า อาร์คัส (arcus) ซึ่งมีลักษณะเทียบได้กับ “กันชนหน้า” ของรถบรรทุกขนาดใหญ่

ชื่ออาร์คัสาจากภาษาละติน มีความหมายว่า “ส่วนโค้ง” บางคนก็เรียกว่าเป็น arch cloud (arch หรือ arc คือ ส่วนโค้งหรือช่องโค้ง) และ ดร.บัญชา เป็นผู้ตั้ง “ชื่อเล่น” เมฆดังกล่าวว่าเป็นคนแรกว่า “เมฆกันชน” โดยแนวโค้งของเมฆดังกล่าวอาจใช้ระบุทิศทางการเคลื่อนที่ของก้อนเมฆฝนฟ้าคะนองขนาดใหญ่ทั้งก้อนได้

ภาพโดยคุณ Nolyho H Wanderer

เมฆอาร์คัสเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยหลายครั้งแล้ว สามารถอ่านรายละเอียดคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ของการกำเนิดเมฆ และชมภาพเมฆดังกล่าวได้ในบทความของ ดร.บัญชา ตามลิงก์ต่อไปนี้
https://www.facebook.com/MatichonMIC/photos/a.590225254398696/5331657680255406/

อย่างไรก็ตาม การที่มีนักวิชาการบางคนระบุว่า เมฆอาร์คัสอาจแสดงให้เห็นถึงสภาวะอากาศแบบสุดขีด (extreme weather event) ที่เกิดจากภาวะโลกร้อน (global warming) หรือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) นั้น

ดร.บัญชา ระบุว่าน่าจะถือว่ายังเป็นเพียงสมมติฐาน (hypothesis) หรือข้อสันนิษฐานเบื้องต้นเท่านั้น ยังและต้องรอการพิสูจน์เพิ่มเติมต่อไป

ถอดบทเรียนองค์ความรู้ในการบริหารงานและการดำเนินโครงการวิจัยของผู้บริหารและบุคลากร สวทช.

เนื่องในโอกาสที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินงานมาจนครบ 30 ปี ฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) ร่วมกับ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ (PRD) ในสายงานกลยุทธ์องค์กรของ สวทช. ดำเนินการถอดบทเรียนองค์ความรู้ในการบริหารงาน และการดำเนินโครงการวิจัยของ สวทช. เพื่อรวบรวมและเผยแพร่ความรู้ โดยเฉพาะความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในคน ไม่ได้มีการบันทึกไว้ในสื่อใด ๆ (tacit knowledge) อันเป็นความรู้สำคัญขององค์กร เพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้ นำไปใช้ ต่อยอด และขยายผล ในการดำเนินงานให้เกิดผลที่ดีขึ้นสำหรับ สวทช. รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ที่สนใจ ในการพัฒนาคน กระบวนการ และองค์กร

ดาวน์โหลดเอกสาร PDF

เปิดเอกสารออนไลน์ 

แนวทางในการจัดทำคลังความรู้ของสถาบัน

หลายสถาบันขนาดใหญ่กำลังจัดทำคลังความรู้ เพื่อเป็นที่เก็บรวบรวมความรู้ที่เป็นผลงานของสถาบัน และเผยแพร่ความรู้นั้นแก่บุคลากรในสถาบันและบุคคลภายนอกสามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ โดยข้างล่างได้แนะนำแนวทางในการจัดทำคลังความรู้ของสถาบัน

แนวทางเพื่อการปรับปรุงหรือจัดทำคลังความรู้ของสถาบัน
1. จัดให้มีนโยบายคลังความรู้ของสถาบัน
โดยการวิเคราะห์หลายกระบวนการเกี่ยวข้องในการทำหน้าที่ของคลังความรู้ของสถาบัน แล้วสร้างกฎสำหรับแต่ละกระบวนการ เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการนำเข้าผลงานในคลัง การนำเสนอผลงานวิจัย และการจัดการข้อมูล ทำให้ทุกคนเห็นหน้าดังกล่าว รู้ว่าอะไรได้รับการอนุญาตและไม่อนุญาต
ดูตัวอย่างได้จากคลังความรู้ของมหาวิทยาลัย Kyoto ที่ชื่อ KURENAI ซึ่งผู้บริหารได้ระบุอย่างชัดเจนใครบ้างเหมาะสมที่จะนำเข้าผลงาน อะไรบ้างสามารถนำเข้าในคลัง และอื่น ๆ อีกมากมาย

2. ทำให้ขั้นตอนการนำเข้าผลงานในคลังเป็นเรื่องง่าย
คลังจะดำเนินการอย่างมั่นคง ต้องการการนำเข้าผลงานใหม่อย่างต่อเนื่องในคลัง หนึ่งวิธีที่จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นคือ ทำให้ขั้นตอนการนำเข้าผลงานในคลังเป็นเรื่องง่าย โดยค้นหาความยากที่นักศึกษาและคณะประสบในขณะนำเข้าผลงานในคลัง แล้วปรึกษาผู้จัดให้มีซอฟต์แวร์เพื่อทำให้ขั้นตอนการนำเข้าผลงานในคลังถูกปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

3. ทำให้เว็บไซต์และผลงานสามารถเข้าถึงได้ด้วย search engines เช่น Google

4. ติดตามตัววัดที่สำคัญ (key metrics) เป็นประจำ
ติดตามตัววัดที่สำคัญ เช่น การดาวน์โหลด และการอ้างอิง (citations) มีประโยชน์ เช่น
1. ช่วยผู้บริหารรู้ว่าอะไรใช้ได้และใช้ไม่ได้
2. คณะและนักวิจัยจะถูกสนับสนุนให้นำเข้าผลงานในคลังมากขึ้นหรือปรับให้เหมาะสมเนื้อหาที่มีอยู่ในคลังเพราะรู้ว่าผลงานได้รับการสืบค้นเจอ
ตัวอย่างคลังที่มีชื่อว่า LUME ได้จัดทำข้อมูลแสดง เช่น การดาวน์โหลดต่อประเทศ, การเข้าชมต่อปี และการดาวน์โหลดต่อปี เผยแพร่ต่อสาธารณะ

5. ทำให้เป็นหลายภาษา
ถ้าต้องการผลงานของสถาบันเข้าถึงได้โดยผู้ใช้ทั่วโลก ต้องทำให้ user interface เป็นหลายภาษา ตัวอย่างเช่น หน้า portal ของห้องสมุดดิจิทัลของวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัย Sao Paolo มีให้ทั้งภาษาโปรตุเกส, ฝรั่งเศส, สเปน และอังกฤษ

แนวทางที่ยั่งยืนเพื่อเพิ่มเนื้อหาในคลัง
มีแนวทาง เช่น
1. จัดให้มีสถิติการใช้สำหรับเนื้อหาในคลัง เช่น จำนวนครั้งที่เนื้อหาฉบับเต็มถูกดาวน์โหลด
2. จัดให้มีบริการตรวจสอบสิทธิและการเสนอให้พิจารณา (submission) โดยจะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ห้องสมุด
3. จัดให้มีการดาวน์โหลดโดยอัตโนมัติข้อมูลการอ้างอิง (citation) จากฐานข้อมูลการอ้างอิงมายังคลัง เช่น การโหลดการอ้างอิงบทความวิชาการจาก Web of Science มายังคลังบทความวิชาการ DSPACE
4. เชื่อมโยงคลังกับการประเมินคุณภาพงานวิจัย
5. เก็บเกี่ยวเนื้อหาฉบับเต็ม (full text harvesting) จากแหล่งที่สามารถเข้าถึงแบบเปิด
6. การนำเข้าเนื้อหาในคลังโดยตรงโดยสำนักพิมพ์ เช่น Nature Publishing Group (NPG) ให้บริการนำเข้าเนื้อหาต้นฉบับสู่คลัง (Manuscript Deposition Service) แก่ผู้แต่งที่ตีพิมพ์บทความวิจัยต้นฉบับในวารสารที่เผยแพร่โดย NPG

ที่มา:
1. Sucheth (October 11, 2021). Top Institutional Repositories Available for Open Access. Scispace. Retrieved May 10, 2022, from https://typeset.io/resources/top-institutional-repositories-available-for-open-access/
2. Confederation of Open Access Repositories (COAR, May 2012). Sustainable Best Practices for Populating Repositories. Retrieved May 10, 2022, from https://www.coar-repositories.org/files/Sustainiable-practices-preliminary-results_final.pdf

 

 

ทรัพยากรการศึกษาของการศึกษาในมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกา

รูปแบบของการกระจายและการเลือกวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรมีการเปลี่ยนแปลง หลังจาก 10 ปี ของการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของวิธีที่คณะค้นพบและนำตำราเรียนไปใช้ในหลักสูตร 5 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ

– มีการยอมรับ (แม้แต่ชอบ) มากขึ้นโดยคณะสำหรับวัสดุดิจิทัล คณะมากกว่าขณะนี้ชอบดิจิทัลมากกว่า print และคณะรายงานว่านักศึกษายอมรับเช่นเดียวกันวัสดุดิจิทัล
– คณะ, หัวหน้า, ผู้บริหาร และแม้แต่ระบบวิทยาลัยทั้งหมดกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับราคาของวัสดุสำหรับนักศึกษา
– ความเข้าใจของคณะว่านักศึกษาจำนวนมากกำลังศึกษาโดยไม่มีเนื้อหาที่ถูกต้องการ ถูกรายงานว่าเหตุผลที่สำคัญคือกังวลในเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ยังเพราะว่านักศึกษาไม่เชื่อว่าต้องการวัสดุ
– การแนะนำรูปแบบใหม่ของการตีพิมพ์และการกระจายโดยสำนักพิมพ์ทางการค้า สำคัญที่สุดคือ inclusive access ได้เปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางเลือกที่มีให้ของคณะ

การพัฒนาที่รวดเร็วของตลาดวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรมีผลที่สำคัญต่ออนาคตของตำราเรียนแบบเปิด (open textbook) 5 ปีที่ผ่านมามีสัญญาณเชิงบวกสำหรับการเติบโตของตำราเรียนแบบเปิด คือ

– คณะที่นำ OER (open educational resources, ทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด) มาใช้ บอกว่าคุณภาพของ OER เท่ากับทางเลือกทางการค้า
– ความตระหนักของการอนุญาตและ OER เพิ่มขึ้นทุกปี
– การริเริ่ม OER ที่ระดับสถาบันและระบบมีประสิทธิภาพโดยเพิ่มอัตราการนำ OER ไปใช้

นอกจากนี้มีสัญญาณเชิงลบเล็กน้อยสำหรับตำราเรียนแบบเปิด คือ

– คณะไม่คิดว่าต้องการ OER เพื่อใช้ 5Rs (Retain, Revise, Remix, Reuse และ Redistribute) คณะส่วนใหญ่กำลังใช้วัสดุทางการค้าเพื่อใช้ 5Rs
– การเพิ่มขึ้นของรายการทางเลือกการกระจายวัสดุทำให้เกิดความสับสนกับข้อความการเป็นแบบเปิด ทางเลือกหลายทางกำลังถูกนำเสนอในทางที่เหมือนกับ OER และแสดงข้อดีหลายข้อที่เหมือนกัน
– ในขณะที่ขณะนี้ส่วนใหญ่คุ้นเคยกับคำว่า OER หลายคณะยังคงไม่คุ้นเคยกับการอนุญาตหรือวิธีใช้วัสดุเหล่านี้ และอัตราการเติบโตในปัจจุบันจะไม่เปลี่ยนเรื่องนี้เป็นเวลาหลายปี

ที่มา: Julia E. Seaman and Jeff Seaman (2020). Inflection Point: Educational Resources in U.S. Higher Education, 2019. Bay View Analytics. Retrieved July 18, 2022, from https://www.bayviewanalytics.com/reports/2019inflectionpoint.pdf

บทบาทของ OER (open educational resource, ทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด) ต่อการศึกษาในมหาวิทยาลัย

Babson Survey Research Group ได้ทำการสำรวจใน 2,144 คณะของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา สิ่งที่พบหลัก คือ

– คณะไม่มีความตระหนัก OER มาก
ระหว่าง 2 ใน 3 และ 3 ใน 4 ของคณะทั้งหมดไม่มีความตระหนัก OER

– คณะเห็นคุณค่าแนวคิดของ OER
ไม่เหมือนเทคโนโลยีส่วนใหญ่ในการสอน OER ไม่ถูกปฏิเสธอย่างรุนแรง เมื่อได้รับรู้แนวคิดของ OER คณะส่วนใหญ่บอกว่ายินดีที่จะลอง

– ความตระหนักของ OER ไม่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการนำ OER ไปใช้
คณะที่มากกว่ากำลังใช้ OER แต่ไม่มีความตระหนัก OER การตัดสินใจนำทรัพยากรมาใช้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย บ่อย ๆ ทำโดยไม่มีความตระหนักในการอนุญาตที่จำเพาะของวัสดุหรือสถานะ OER

– คณะตัดสินคุณภาพของ OER อย่างคร่าว ๆ เท่ากับทรัพยากรการศึกษาแบบดั้งเดิม
คณะส่วนใหญ่รายงานว่าไม่มีความตระหนัก OER อย่างเพียงพอที่จะตัดสินคุณภาพ จากคณะที่ให้ความคิดเห็น 3 ใน 4 จัด OER เหมือนหรือดีกว่าทรัพยากรแบบดั้งเดิม

– อุปสรรคที่สำคัญที่สุดของการนำ OER ไปใช้กว้างขึ้นคือ การรับรู้ของคณะของเวลาและความพยายามที่ถูกต้องการเพื่อค้นหาและประเมิน
ผลการสำรวจแสดงว่า 38% ของคณะบอกว่าการค้นหา OER เป็นเรื่องยากหรือยากมาก

– คณะเป็นผู้ตัดสินใจหลักสำหรับการนำ OER ไปใช้
ผลการสำรวจก่อนหน้านี้กับเจ้าหน้าที่หัวหน้าการศึกษาแสดงว่าคณะเกือบจะเสมอ ๆ เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจนำมาใช้และในบางสถานการณ์มีบทบาทที่สำคัญ คณะในการสำรวจครั้งนี้เป็นไปในทางเดียวกัน ยกเว้นในส่วนน้อยของสถาบัน 2 ปีและแสวงหาผลกำไร คณะบริหารเป็นผู้นำ

ที่มา: I. Elaine Allen and Jeff Seaman (October 2014). Opening the Curriculum: Open Educational Resources in U.S. Higher Education, 2014. Babson Survey Research Group. Retrieved July 18, 2022, from https://www.bayviewanalytics.com/reports/openingthecurriculum2014.pdf

การศึกษาเพื่อสร้างเกณฑ์สำหรับตำราเรียนดิจิทัลและประเมินตำราเรียนดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ระหว่างฤดูร้อนของปี 2008 The Student PIRGs (The Student Public Interest Research Groups) ได้ทำการศึกษากับ 504 นักศึกษา ใน Oregon และ Illinois และวิเคราะห์ราคา e-textbook ของ 50 ตำราเรียนที่ถูกมอบหมายทั่วไป เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวข้างต้น สิ่งที่พบหลัก คือ

1. ตำราเรียนดิจิทัลต้องมี 3 เกณฑ์ ได้แก่ สามารถจ่ายได้ (affordable), สามารถพิมพ์ได้ (printable) และสามารถเข้าถึงได้ (acessible)

อย่างแรก ตำราเรียนดิจิทัลต้องสามารถจ่ายได้มากกว่าหนังสือแบบดั้งเดิม
เพื่อแก้ปัญหาค่าใช้จ่ายที่สูง ตำราเรียนดิจิทัลต้องเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าหนังสือแบบดั้งเดิม หมายความว่าตำราเรียนดิจิทัลต้องมีราคาต่ำกว่าราคาสุทธิของการซื้อตำราเรียน

อย่างที่สอง ตำราเรียนดิจิทัลต้องง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่ายมากสำหรับการสั่งพิมพ์ออกมา
การสั่งพิมพ์ออกมาทำให้ตำราเรียนดิจิทัลมีประโยชน์สำหรับนักศึกษาที่มีสไตล์การอ่านและการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน นักศึกษาเหมือนมีความชอบทั่วไปสำหรับหนังสือที่ถูกสั่งพิมพ์ออกมามากกว่าคอมพิวเตอร์

อย่างที่สาม ตำราเรียนดิจิทัลต้องสามารถเข้าถึงได้
เมื่อนักศึกษาซื้อตำราเรียนดิจิทัล ควรสามารถเข้าถึงได้ออนไลน์, เก็บสำหรับใช้ offline และเก็บสำเนาสำหรับใช้ในอนาคต ถ้าน้อยกว่าเป็นไปตามนี้จะทำให้หนังสือดิจิทัลไม่มีประโยชน์สำหรับนักศึกษาจำนวนมาก
– 45% ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจบอกว่าการเข้าถึงคอมพิวเตอร์ที่ถูกจำกัดจะทำให้อย่างน้อยค่อนข้างยากที่จะใช้ตำราเรียนดิจิทัล
– 71% บอกว่าเก็บอย่างน้อยหนึ่งตำราเรียนเพื่อใช้อ้างอิงในอนาคต

2. e-textbooks ไม่สามารถตอบเกณฑ์

E-textbooks มีราคาแพงเกินไป

การสั่งพิมพ์ออกมามีราคาแพงและยุ่งยาก
– การสั่งพิมพ์ออกมาถูกจำกัดไปที่ 10 หน้าต่อ session สำหรับแต่ละ e-textbooks ที่ถูกสำรวจ
– การซื้อและการสั่งพิมพ์ออกมาครึ่งหนึ่งของ e-textbook เป็นสามเท่าค่าใช้จ่ายในการซื้อ hard copy ที่ใช้แล้วและการขายกลับให้ร้านหนังสือ สำหรับหนังสือที่ถูกสำรวจ

E-textbooks ยากที่จะเข้าถึง
– นักศึกษาต้องเลือกระหว่างการใช้หนังสือออนไลน์หรือการใช้ offline ไม่สามารถทำทั้งสองได้
– ส่วนใหญ่ (75%) ของ e-textbooks ที่ถูกสำราจหมดอายุหลัง 180 วัน ดังนั้นนักศึกษาไม่สามารถเข้าถึงหนังสือในอนาคต

3. ตำราเรียนแบบเปิด (open textbooks) ตอบเกณฑ์ทุกข้อ
ตำราเรียนแบบเปิดเป็นตำราเรียนที่มีให้ใช้ฟรีอย่างดิจิทัลภายใต้การอนุญาตแบบเปิด ลักษณะหลักของการอนุญาตแบบเปิดคือยอมให้ผู้ใช้ทำสำเนาของตำราเรียนและแปลงเป็นรูปแบบต่าง ๆ ดังนั้นตำราเรียนแบบเปิดเป็นดิจิทัลแต่สามารถเป็นหลายรูปแบบ ในการศึกษาครั้งนี้พบว่าตำราเรียนแบบเปิดประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ e-textbooks ทำไม่ได้ โดยตำราเรียนแบบเปิดมีราคาไม่แพง, ง่ายที่จะสั่งพิมพ์ออกมา และสามารถเข้าถึงได้

ตำราเรียนแบบเปิดมีราคาไม่แพง
ตำราเรียนแบบเปิดมีให้ฟรีอย่างดิจิทัล และนักศึกษาสามารถซื้อรูปแบบอื่น ๆ โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อย

ตำราเรียนแบบเปิดง่ายที่จะสั่งพิมพ์ออกมา
นักศึกษาสามารถสั่งพิมพ์ตำราเรียนดิจิทัลเวลาไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้และในรูปแบบที่หลากหลาย

ตำราเรียนแบบเปิดสามารถเข้าถึงได้
นักศึกษาสามารถเข้าถึงตำราเรียนแบบเปิดเวลาไหนก็ได้จากคอมพิวเตอร์เครื่องไหนก็ได้โดยไม่มีการหมดอายุของหนังสือ

สรุปจากการศึกษา
ตำราเรียนดิจิทัลเป็นวิธีแก้ปัญหาที่สำคัญเพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่ต้องทำในหนทางที่ถูกต้อง การศึกษาครั้งนี้พบว่าตำราเรียนดิจิทัลต้องตอบ 3 เกณฑ์หลัก เพื่อมีศักยภาพสูงสุด ได้แก่ สามารถจ่ายได้ สามารถสั่งพิมพ์ได้ และสามารถเข้าถึงได้ มี 2 ชนิดหลักของตำราเรียนดิจิทัลขณะนี้ ได้แก่ e-textbooks และตำราเรียนแบบเปิด ซึ่งเป็นตัวอย่างของตำราเรียนดิจิทัลทำในหนทางที่ผิดและที่ถูกตามลำดับ

ที่มา: Nicole Allen (August 2008). Course correction how digital textbooks are off track and how to set them straight. The Student PIRGs. Retrieved July 18, 2022, from https://studentpirgs.org/2008/08/01/course-correction/

การประเมินศักยภาพในระยะยาวของการเช่า, e-books, e-readers และตำราเรียนแบบเปิด (open textbooks) ในการแก้ปัญหาราคาตำราเรียนที่สูง

The Student PIRGs (The Student Public Interest Research Groups) ได้ทำการสำรวจใน 1,428 นักศึกษา จาก 10 วิทยาเขต และการวิเคราะห์ราคาตำราเรียนสำหรับ 10 วิชาทั่วไปของวิทยาลัย เพื่อประเมินศักยภาพในระยะยาวของการเช่า, e-books, e-readers และตำราเรียนแบบเปิด ในการแก้ปัญหาราคาตำราเรียนที่สูง สิ่งที่พบ คือ

1. การแก้ปัญหาความสามารถในการจ่ายได้ของตำราเรียนต้องตอบสนองความชอบที่หลากหลายของนักศึกษา
– นักศึกษาแยกออกระหว่าง print และ digital 75% ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจบอกว่า print เป็นรูปแบบที่ชอบ 25% เลือก digital
– การรวมกันของ print และ digital อาจดีที่สุดสำหรับนักศึกษาบางคน 47% ของนักศึกษาบอกว่าพอใจกับการใช้อย่างน้อยหนึ่งของรูปแบบตำราเรียนดิจิทัล
– เช่าหรือซื้อ นักศึกษาส่วนใหญ่จะเลือกทั้งสอง 93% ของนักศึกษาจะเช่าอย่างน้อยบางตำราเรียน แต่เพียง 34% จะเช่าทั้งหมด

2. ทางเลือกการลดค่าใช้จ่ายแบบดั้งเดิมมีศักยภาพที่จำกัดเพราะเพียงดึงดูดกลุ่มย่อยของนักศึกษา
ทั้งการเช่า, e-books และ e-readers เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการซื้อตำราเรียนที่ถูกสั่งพิมพ์ออกมา แต่การประหยัดถูกจำกัดเพราะทางเลือกทั้งสามไม่ดึงดูดนักศึกษาทั้งหมด

3. ตำราเรียนแบบเปิดสามารถลดค่าใช้จ่ายสำหรับนักศึกษาทั้งหมดและมีศักยภาพในระยะยาวอย่างยั่งยืน
ตำราเรียนแบบเปิดมีรูปแบบที่สามารถจ่ายได้ที่หลากหลายซึ่งตอบสนองความชอบทั้งหมด และดังนั้นทำให้นักศึกษาทั้งหมดประหยัด

สรุปจากการสำรวจ
การสำรวจครั้งนี้แสดงว่าการแก้ปัญหาความสามารถในการจ่ายได้ของตำราเรียนต้องทั้งลดค่าใช้จ่ายและตอบสนองความชอบที่หลากหลายของนักศึกษา

ผลที่มีศักยภาพของการเช่า, e-books และ e-readers จำกัดเพราะเพียงตอบสนองความชอบของกลุ่มย่อยของนักศึกษา ในขณะทางเลือกทั้งสามสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะสั้น ไม่สามารถเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว

ตำราเรียนแบบเปิดสามารถลดค่าใช้จ่ายอย่างยั่งยืนและสามารถตอบสนองนักศึกษาทั้งหมด ตำราเรียนแบบเปิดเป็นการแก้ปัญหาที่ครอบคลุม มีรูปแบบที่จ่ายได้และทางเลือกของการซื้อที่หลากหลาย ตำราเรียนแบบเปิดไปเหนือกว่าช่วยลดค่าใช้จ่าย โดยกระตุ้นสำนักพิมพ์เชื่อว่านักศึกษาเป็นผู้บริโภคและเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากกว่าด้วยราคาที่สามารถจ่ายได้

ข้อแนะนำจากการสำรวจ
– สำนักพิมพ์ควรพัฒนารูปแบบใหม่ซึ่งสามารถผลิตหนังสือที่มีคุณภาพสูงโดยไม่ทำให้นักศึกษาต้องจ่ายมากเกินไป
– คณะควรค้นหา, พิจารณา และนำมาใช้ตำราเรียนแบบเปิดและทางเลือกที่จ่ายได้อื่น ๆ
– วิทยาลัยและรัฐบาลควรลงทุนในการสร้างตำราเรียนแบบเปิดมากขึ้น
– นักศึกษาควรปฏิบัติต่อต้านค่าใช้จ่ายที่สูงโดยพูดเกี่ยวกับตำราเรียนแบบเปิดกับคณะ, วิทยาเขต และชุมชน

ที่มา: Nicole Allen (September 2010). A cover to cover solution how open textbooks are the path to textbook affordability. The Student PIRGs. Retrieved July 18, 2022, from https://studentpirgs.org/2010/09/30/cover-cover-solution-2/